โดย พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก
วัดป่าสุนันทวนาราม
บ้านท่าเตียน ต.ไทรโยค อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี
ตอนที่ ๑
ชีวิตคือทุกข์.....ไม่มากก็น้อย
ชีวิตคนเราดูแล้วหลากหลายแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
ชีวิตของ..... เด็กเล็กๆ อายุ 3 – 4 ขวบ
ชีวิตของ..... คนเฒ่าคนแก่ อายุ 100 ปี
ชีวิตของ..... คนยากจน ขอทานข้างถนน
ชีวิตของ..... มหาเศรษฐี
ชีวิตของ..... คนอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้
ชีวิตของ..... คนจบปริญญาเอก
ชีวิตชอง..... นักโทษประหาร
ชีวิตของ..... ผู้ได้รับเกียรติเป็นบุคคลตัวอย่าง
ชีวิตของ..... นักเลงการพนัน
ชีวิตของ..... ผู้ดีในสังคม
แต่ดูลึกๆ แล้ว ชีวิตของเราก็พอๆ กัน
ในความรู้สึก สุข ทุกข์ ดีใจ พอใจ สุขใจ
โกรธ น้อยใจ เสียใจ กลัว ฯลฯ
ชีวิตคือทุกข์ ไม่มากก็น้อย
ทุกข์ร้อน ทุกข์หนาว ทุกข์แบบไม่รู้ร้อนรู้หนาวก็มี
แต่คนเราเกลียดทุกข์ กลัวทุกข์ พยายามหนีจากทุกข์
แสวงหาความสุขกันทั้งนั้น ตามสติปัญญาและ
ความสามารถของแต่ละบุคคล หัวใจของมนุษย์ต่าง
ก็เรียกร้อง “ความสุขๆ ๆ” กันทุกคน แต่ที่เราหนี
ไม่พ้นจากทุกข์ เพราะพวกเราอยู่ในท่ามกลางไฟกันทั้งนั้น
..... ดอกไม้ ..... ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้
ไฟ..... คือ..... โทสะ
ไฟ..... คือ..... โลภะ
ไฟ..... คือ..... โมหะ
เมื่อเราสามารถดับไฟได้ เมื่อนั้นก็เย็นสงบสุข
ไฟโทสะ ร้ายกาจ เป็นข้าศึกต่อความสุข
ถอนโทสะเพียงสิ่งเดียวออกจากจิตใจ
ก็จะไม่ต้องต่อสู้กับคนรอบตัว
โลกทั้งหมดจะสงบเย็น
มีแต่คนน่ารัก มีแต่คนน่าสงสาร
ควรแก่การเมตตา กรุณา
ไฟเสมอด้วยความโกรธไม่มี
พระพุทธเจ้าเปรียบเทียบ ความโกรธ ว่าเหมือนไฟ
เช่น ไฟไหม้ป่า เผาทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า
ความโกรธ มีพลัง มีอำนาจทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง
ยิ่งกว่าไฟไหม้ป่าเสียอีก มีแต่โทษ ไม่มีคุณแม้แต่นิดเดียว
จะเห็นได้ว่าคนโบราณมีการอบรมสั่งสอนลูกหลานให้กลัว
และระมัดระวังไฟ เพราะอันตรายมาก โดยเฉพาะ ไฟไหม้บ้าน
ไฟไหม้ป่า ล้วนแต่เผาทำลาย พรึบเดียว ชั่วข้ามคืน
ทำลายทั้งทรัพย์สมบัติจนหมดตัว และยังอาจ
ทำลายชีวิตผู้คน บางครั้งเป็นพันๆ หมื่นๆ คนทีเดียว
แต่ความโกรธ อันตรายยิ่งกว่าไฟ
ไฟเสมอด้วยโกรธไม่มี
เพราะความโกรธจะทำลายแม้แต่น้ำใจของเรา
คนที่เรารักสุดหัวใจก็ดี คนที่รักเราก็ดี
ชื่อเสียง คุณงามความดีที่สะสมไว้ตั้งแต่อเนกชาติ
ถูกทำลายย่อยยับได้ด้วยความโกรธ
ความโกรธ โมโห ครั้งเดียว สามารถทำลายได้ทุกสิ่งทุกอย่าง
น่ากลัวยิ่งกว่าไฟไหม้ !!!!!
ความโกรธนี้ฆ่าผู้มีพระคุณมาหลายต่อหลายคนแล้ว
ฆ่าคนที่เรารัก คนที่รักเรา คู่รักที่ต่างรักใคร่
ชอบพอกัน บางครั้งในที่สุด ความโกรธก็ทำให้
เลิกร้างกัน ทำให้ชีวิตครอบครัวต้องแตกแยก
จนถึงทำให้ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าลูกก็มี
ผู้ใหญ่ในระดับประเทศโกรธกัน จนเป็นเหตุให้กลายเป็นสงคราม
ฆ่ากันตาย เป็นพันๆ หมื่นๆ แสนๆ ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว
..... ดอกไม้ ..... พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า สัตว์ทั้งหลายที่เราเห็นกันด้วยตา
นับแต่มด ยุง กบ เขียด แมว สุนัข
วัว ควาย มนุษย์ อย่างน้อยชาติหนึ่งเคยเป็น
พ่อแม่พี่น้องกันในวัฏสงสารที่ยืดยาว
ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาเคยรักกันเกลียดกันมาอย่างนี้
จนทุกวันนี้ และต่อไปอีกหลายภพหลายชาติ
ตราบเท่าที่ยังไม่บรรลุมรรคผลนิพพาน
เมื่อเป็นเช่นนี้ เราไม่ควรประมาท ทำใจให้สงบน้อมเข้ามาสู่ตน
พิจารณาดูว่า มีใครบ้างที่เราอาฆาตพยาบาท ถ้ามีรีบให้อภัย
อโหสิกรรมเสียแต่บัดนี้ อย่างน้อย ก็ชาตินี้ ก่อนตาย
จะได้ไม่ต้องเป็นคู่เวรคู่กรรมกันอีกต่อไป
อย่าคิดว่า เราต่างคนต่างอยู่ไม่เป็นไร
แม้จะอยู่คนละจังหวัด คนละประเทศก็ตาม
ก็จะมีโอกาสพบกันในชาติหน้า
และมีโอกาสมากด้วย ถ้าหากมีอุปาทานยึดมั่นถือมั่น ดูใจของตน
ก็เห็นชัด คิดถึงใครก็ดี คิดแค้นใจอาฆาตพยาบาทใครก็ตาม
นั่นแหละ ! ระวังให้ดี
ต่อไปจะเกิดมาพบกัน
และทำความเดือดร้อนให้แก่กัน
นับภพนับชาติไม่ถ้วน
ฉะนั้น ไม่ให้คิดมีเวรแก่กัน จงให้อภัย และอโหสิกรรมแก่กัน
ไม่ให้คิดอาฆาตพยาบาท ไม่ให้คิดเบียดเบียนกัน
มีแต่ปรารถนาดีต่อกัน พยายามทำแต่กรรมดี ให้ทาน
เอื้อเฟื้อกัน มีปิยวาจา พูดดี พูดไพเราะ
ทำประโยชน์ ช่วยเหลือสังคม วางตนเหมาะสม
เสมอต้นเสมอปลาย การประพฤติปฏิบัติต่อกันอย่างนี้
จะทำให้เราอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขในปัจจุบัน
และเป็นการสร้างกรรมที่ดีต่อกัน
อนาคตถ้าเกิดมาพบกันอีก
ก็จะเป็น พ่อแม่พี่น้อง เพื่อนฝูงที่ดีต่อกัน
เกื้อกูลสนับสนุนซึ่งกันและกัน
ไฟไหม้บ้าน – ดับไฟก่อน
เมื่อเรากระทบอารมณ์ที่ไม่พอใจ จะโกรธ อยากโกรธ
หยุดทำ หยุดพูด หยุดคิด หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ
จนกว่าใจจะสงบสบาย เมื่อเราไม่พอใจ ไม่ต้องคิด
อย่าคิดไปตามอารมณ์ คิดว่า ทำไมเขาทำอย่างนี้
เขาไม่น่าทำเช่นนี้
..... ดอกไม้ ..... พิจารณาดู..... สมมติเมื่อเรากำลังกลับเข้าบ้าน
มองเห็นควัน มีไฟลุกขึ้น ไฟกำลังไหม้บ้านของเรา
ถึงแม้เรามองเห็นว่า มีใครวิ่งหนีไปก็ตาม
เราไม่ต้องคิดสงสัยว่า เขาเป็นผู้ร้ายหรือเปล่า
สิ่งที่ต้องทำก่อนทุกอย่างคือ วิ่งเข้าไปหาทางดับไฟ
ให้เร็วที่สุด หาน้ำ หาเครื่องดับไฟ ผ้าห่ม ฯลฯ
ทำดีที่สุดเพื่อที่จะดับไฟให้สำเร็จ
เมื่อดับไฟแล้ว จึงค่อยคิดหาสาเหตุว่า ทำไมจึงเกิดไฟไหม้
เช่น เป็นอุบัติเหตุ หรือมีใครลอบวางเพลิง
มีใครประสงค์ร้ายคิดทำลายทรัพย์สมบัติของเราหรือไม่
เมื่อเกิดอารมณ์ ไม่พอใจ ไม่ต้องคิดหาเหตุว่าใครผิด ใครถูก
ระงับความร้อนใจของตัวเองให้ได้เสียก่อน
หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ เมื่อใจสงบแล้ว
จึงค่อยคิดด้วยสติปัญญา ด้วยเหตุผล
สอนใจตัวเองก่อน
เมื่อเราเป็นผู้ใหญ่ เป็นครู เป็นพ่อแม่
มีลูกน้อง มีลูกศิษย์ มีลูก
สมมติว่าเราเป็นพ่อแม่ มีลูก
เมื่อลูกทำผิดจริงๆ แล้วเราโกรธ ใจร้อน อย่าเพิ่งสอนลูก
สอนใจตัวเองให้ระงับอารมณ์ร้อน ให้ใจเย็น ใจดี
มีเมตตาก่อน จนรู้สึกมั่นใจว่าใจเราพร้อมแล้ว
และดูว่าลูกพร้อมที่จะรับฟังไหม ถ้าเราพร้อม
แต่ลูกยังไม่พร้อม ก็ยังไม่ต้องพูด เพราะไม่เกิดประโยชน์
เราพร้อมที่จะสอน เขาพร้อมที่จะฟัง
จึงจะเกิดประโยชน์ เป็นการสอน
ถ้าเราสังเกตดู บางครั้ง ใจเรารู้สึกเหมือนอยากจะสอน
แต่ความจริงแล้ว เราเพียงอยากระบายอารมณ์ของเรา
สิ่งที่เราพูดแม้เป็นเรื่องจริง แต่ก็แฝงด้วยความโกรธ
เพราะยังเป็นความใจร้อน มีตัณหา
ถ้าใจเราโกรธ พูดเหมือนกัน คำพูดเดียวกัน นั่นคือโกรธ
ถ้าใจเราดี ใจเขาดี คำพูดของเราเป็นประโยชน์ นั่นคือสอน
เมื่อเราอยู่ในสังคม สิ่งที่ต้องระวังคือ หากเห็นใครทำผิด
อย่ายึดมั่นถือมั่นในความรู้สึกและความคิดของตน
อย่ายินดี ยินร้าย ใจเย็นๆ ไว้ก่อน
พยายาม อบรมใจตนเองว่า
ธรรมชาติของคนเรา มักจะมองข้ามความผิดของตนเอง
ชอบจับผิดแต่คนอื่น
..... ดอกไม้ ..... มองเห็นความผิดคนอื่นเหมือนภูเขาใหญ่
เห็นความผิดตนเท่ารูเข็ม
ตดคนอื่นเหม็นเหลือทน
ตดตนเองเหม็นไม่เป็นไร
ปากคนอื่นเหม็นเหลือทน
ปากของตนเหม็นไม่รู้สึกอะไร
เรามักทุ่มเทใจ
ไปอยู่ที่ความรู้สึกนึกคิดของตนเอง
อย่าเชื่อความรู้สึก อย่าเชื่ออารมณ์ อย่ายินดียินร้าย
พยายามรักษาใจเย็น ใจดี ใจกลางๆ
ปกติเราทำผิดเหมือนกัน เท่ากันหรืออาจจะมากกว่าเขา
แต่ความรู้สึกของเรา มักจะรังเกียจเขา
และไม่เห็นความผิดของตัวเองเลย น่ากลัวจริงๆ
สังเกตดู คนที่ขี้บ่น ขี้โมโห ว่าคนอื่นทำอะไรไม่ดี ไม่ถูก
ตัวของเขาเอง คิดดี พูดดี ทำดีไหม….. ก็อาจจะไม่
เราเองก็เหมือนกัน เมื่อเราเกิดอารมณ์ไม่พอใจ
อย่าเชื่อความรู้สึก ให้ระงับอารมณ์เสีย ทำใจเป็นกลางๆ ไว้
อย่าเชื่อความรู้สึก
อย่าเชื่ออารมณ์
อย่ายินดียินร้าย
เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ ก็เพราะโกรธ
..... ดอกไม้ ..... เรื่องนี้อาจเป็นประสบการณ์ของผู้ขับขี่รถยนต์
หลายๆ คนก็เป็นได้ แต่ที่ต้องมาเป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์
ก็เพราะผู้ขับรถยนต์เป็น ดาราสาวที่มีชื่อเสียง
คืนวันเกิดเหตุ เธอได้ขับรถไปบนถนนเส้นทางสายสุพรรณบุรี
เธอขับด้วยความเร็วเนื่องจากขณะนั้นดึกแล้ว
ถนนว่างและสองข้างทางก็เปลี่ยว
แต่ขณะขับอยู่ก็ได้มีรถกระบะคันหนึ่งเลี้ยวออกมา
จากข้างทางตัดหน้ารถเธอไปอย่างหวุดหวิด
เธอโกรธจัด เลยพยายามเร่งเครื่องตามจะแซง
และบีบแตรไล่หลังคิดว่า จะสั่งสอน
ฝ่ายเจ้าของรถกระบะคงมองเห็นว่าเป็นผู้หญิง
ขับรถมาคนเดียว จึงแกล้งเหยียบเบรกอย่างกระทันหัน
จนรถของดาราสาวเข้าไปชนท้าย แล้วเธอก็ต้องตกใจ
กลัวเป็นอย่างมาก เมื่อมองเห็นว่ารถกระบะคันหน้านั้นมีผู้ชาย
อยู่ในรถ 4–5 คนด้วยกัน เธอนึกถึงเหตุการณ์ร้ายแรงที่อาจจะเกิดขึ้น
หากผู้ชายกลุ่มนี้หน้ามืดขึ้นมาหรือคิดจะแก้แค้น เธอจะทำอะไรได้
แต่ก็ยังโชคดีที่รถไม่เป็นอะไรมาก เธอจึงรีบออกรถแล้วขับหนีไป
จนเจอสถานีตำรวจ และได้เข้าแจ้งความเรื่องเลยกลายเป็น
ข่าวหนังสือพิมพ์ให้ชาวบ้านได้ทราบไว้เป็นบทเรียนว่า.........
อารมณ์โกรธเพียงชั่ววูบที่ทำให้เราทำอะไรลงไป
อย่างขาดสติยั้งคิดนั้น อาจทำให้เกิดเรื่องร้ายแรง
ที่ต้องเสียใจไปตลอดชีวิตก็ได้
โดยเฉพาะเรื่องการแก้แค้น หรือเอาชนะกันบนท้องถนน
จุดจบของเรื่องมักไม่พ้นอุบัติเหตุที่ต้องสูญเสียด้วยกันทั้งนั้น
..... ดอกไม้ ..... มีเรื่องจริงที่ขอยกมาเป็นตัวอย่างอีกกรณีหนึ่ง คือ.....
เรื่องของ หนุ่มเจ้าโทสะ ที่ขับรถมาตามทางในซอยแคบๆ แห่งหนึ่ง
ในกรุงเทพ ซึ่งรถสวนกันไม่ได้ ระหว่างขับมาถึงทางแยก
ก็มีรถอีกคันหนึ่งเลี้ยวออกมา ทั้งๆ ที่ควรจอดรถชะลออยู่ก่อน
จึงทำให้อีกคันหนึ่งขับผ่านไปไม่ได้
รถสองคันจอดเผชิญหน้ากันอยู่สักครู่ ไม่มีใครยอมใครก่อน
หนุ่มเจ้าโทสะเกิดฉุนเฉียวหยิบปืนขึ้นมาคิดว่าจะขู่
แต่อีกฝ่ายหนึ่งก็มีปืน เลยชักปืนขึ้นมายิงหนุ่มเจ้าโทสะ
จนเสียชีวิตคารถไปเลย
จริงๆ แล้วเรื่องร้ายแรงแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น ถ้าคนเรารู้จัก
ระงับอารมณ์โทสะลงเสียบ้าง ไม่ต้องคิดจะเอาชนะกัน
และปล่อยวางเสียตั้งแต่แรก การขับรถบนท้องถนน
เป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องมีการกระทบกระทั่ง
ทั้งโดยเจตนาและไม่เจตนา การที่เราจะใช้รถใช้ถนน
ให้มีความปลอดภัยนั้น นอกจากจะไม่ประมาทแล้ว
เราต้องเรียนรู้ที่จะให้อภัยแก่กัน
รู้จักระงับโทสะ ไม่ทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่
จะได้ไม่เกิดความเดือดร้อนเสียหายอย่างคาดไม่ถึงดังกล่าว
เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
ในสมัยโบราณ มีหนุ่มใหญ่คนหนึ่งเกิดในตระกูลซามูไร
มีนามว่า เซ็นไก เมื่อเขาศึกษาวิชาการและจริยธรรมของ
ซามูไรจบแล้ว ไปทำงานเป็นเจ้าหน้าที่อารักขาขุนนางผู้หนึ่ง
เขาเป็นหนุ่มรูปงาม จึงเป็นที่ต้องตาต้องใจของภรรยาขุนนาง
เธอทอดสะพานให้ จนหนุ่มเซ็นไกลืมตัว ลืมหน้าที่
ลักลอบเป็นชู้กับภรรยาขุนนาง ต่อมาขุนนางผู้เป็นสามีจับได้
เซ็นไกจึงฆ่าขุนนางผู้นั้นเสีย แล้วพาภรรยาของเขาหนีไป
เมื่ออยู่ด้วยกัน ความรักเริ่มจืดจาง เป็นเหตุให้แหนงหน่าย
และแยกทางกัน เซ็นไกต้องอยู่อย่างเดียวดาย
และเริ่มมองเห็นความผิดของตนเอง สำนึกบาปของตน
รำพึงว่า ทำอย่างไรหนอจึงจะลบล้างบาปกรรมอันนี้ได้
วันหนึ่งเซ็นไกผ่านมาที่ภูเขาสูงชันลูกหนึ่ง
ประชาชนที่จำเป็นต้องสัญจรผ่านภูเขาลูกนี้
ต้องเสี่ยงอันตรายปีป่ายข้ามไป
เขาจึงตกลงใจเจาะภูเขาเพื่อเป็นทางสัญจร
เขาทำด้วยความเหนื่อยยาก ทำเพียงลำพังผู้เดียว
แต่จิตใจเต็มไปด้วยความสุข เพราะเขาเห็นว่าสิ่งที่เขาทำ
แม้ยากลำบาก แต่ผลที่ได้คือประโยชน์ของคนจำนวนมาก
บุตรของขุนนางที่ถูกฆ่า บัดนี้เป็นหนุ่มใหญ่และเป็นซามูไร
เที่ยวตามหาเซ็นไก เพื่อแก้แค้นแทนบิดา เมื่อมาพบเขาที่นี่
จึงลงมือจะแก้แค้น เซ็นไกขอร้องวิงวอนว่า
อย่าเพิ่งทำลายทางแห่งบุญโดยเอาชีวิตเขาในตอนนี้เลย
ขอเวลาอีก 2 ปี เมื่อเจาะภูเขาเสร็จแล้ว
ก็จะขอชดใช้ด้วยชีวิต
ซามูไรหนุ่มเห็นว่า คำขอร้องมีเหตุผล และเห็นว่าเซ็นไก
ไม่มีทางหนีรอดไปได้ จึงตกลงรอคอย ขณะที่รอก็ดูการทำงาน
เจาะภูเขาของเซ็นไกจนเกิดความเห็นใจ และในบางครั้ง
ซามูไรหนุ่มก็ลงมือช่วยทำงานด้วย เมื่องานเจาะภูเขาลุล่วง
ต่อไปก็เหลือแต่งานแก้แค้น เซ็นไกนั่งขัดสมาธิก้มหน้า
ก้มคอลงเพื่อให้ซามูไรหนุ่มใช้ดาบฟัน แต่แล้วซามูไรหนุ่ม
ก็กลับเก็บดาบเข้าฝัก ทรุดตัวลงเบื้องหน้าเซ็นไก
..... ดอกไม้ ..... กล่าวว่า “ข้าพเจ้าจะฆ่าครูของข้าพเจ้าได้อย่างไร”
เพราะในช่วงเวลา 2 ปี ที่เฝ้าดู ซามูไรหนุ่มได้บทเรียน
แห่งการใช้ชีวิตว่า คนที่เคยชั่วเมื่อเขาสำนึกชั่วแล้ว
มิใช่ว่าจะกลับมาเป็นคนดีไม่ได้ ควรให้โอกาสแก่ผู้ซึ่ง
กลับตัวเป็นคนดี ไฟพยาบาทที่อยู่ในจิตใจ
ของซามูไรหนุ่มมานานจึงดับมอดลง ใจของเขาสว่าง
เมื่อรู้จักให้อภัย และเข้าใจว่าเวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น