...+

วันอังคารที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2557

ชีวิตไม่ยาก ถ้าตั้งโจทย์ง่าย : ดร.วรภัทร

เคยได้ยินชื่อ ดร.วรภัทร ภู่เจริญ ไหมครับ

เขาเคยเป็นวิศวกรขององค์การอวกาศนาซา ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อเกือบ ๒๐ ปีก่อน

เคยได้รับรางวัลวิจัยที่ดีที่สุดระดับโลกเกี่ยวกับเครื่องยนต์ไอพ่น

ตัดสินใจกลับเมืองไทยเพราะ ๑.อยากดูแลพ่อแม่ ๒.ไม่อยากเป็นพลเมืองชั้นสองในบ้านพักคนชรา ๓.อยากเที่ยว และ ๔.ชอบกินอาหารอร่อย

เคยเป็นอาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก่อนจะออกมาตั้งบริษัทที่ปรึกษาของตัวเอง

ผมประทับใจบนสัมภาษณ์ของ ดร.วรภัทร ใน "เสาร์สวัสดี" ของ "กรุงเทพธุรกิจ" เมื่อประมาณ ๑ - ๒ เดือนก่อนมาก



คนอะไรก็ไม่รู้ ชีวิตมันส์เป็นบ้า

ความคิดก็กวนเหลือหลาย

ตอนที่เขาเป็นอาจารย์ วิธีการสอนหนังสือของเขาแปลกกว่าคนอื่น

"ผมออกนอกกรอบตลอดเวลา" เขาบอก

เขาเคยพาเด็กวิศวะไปริมสระว่ายน้ำ เรียนไปและดูนิสิตสาว ๆ ว่ายน้ำไปด้วย

คาดว่าคงไปเรียนเรื่อง "คลื่น"

ระหว่างท่าฟรีสไตล์ กับท่าผีเสื้อ คลื่นที่เกิดขึ้นของท่าไหนถี่กว่ากัน

ระหว่างชุดทูพีชกับวันพีช แรงเสียดทานกับน้ำ ชุดไหนมากกว่ากัน

แนวการศึกษาน่าจะออกไปทำนองนี้

แต่ที่ชอบที่สุด คือ ตอนที่เขาออกข้อสอบ

ข้อสอบของเขาสั้นและกระชับมาก

"จงออกข้อสอบเอง พร้อมเฉลย"

โหย...เด็กวิดวะอึ้งกันทั้งห้อง

คำตอบส่วนใหญ่เป็นการตั้งโจทย์แบบง่าย ๆ เช่น ปั้นจั่นมีกี่ชนิด

ผลปรากฎว่าได้ศูนย์กันทั้งห้อง เพราะเป็นคำตอบที่ไม่ได้แสดงความคิดเห็นที่ลึกซึ้งสมกับที่เรียนมาทั้งเทอม



เหตุผลที่ ดร.วรภัทร ออกข้อสอบด้วยการให้นิสิตออกข้อสอบเองเป็นเหตุผลที่ตรงกับใจผมมาก

"ชีวิตคนเราจะรอให้อาจารย์ตั้งโจทย์อย่างเดียวไม่ได้ ต้องหาโจทย์มาเอง คิดแล้วทำ ถ้าผิดแล้วอาจารย์จะปรับให้"

เขามองว่าเด็กรุ่นใหม่ติดนิสัยเด็กกวดวิชา รอคนคาบทุกอย่างมาป้อนให้ ไม่รู้จักคิดเอง

"ถ้ารอและตั้งรับ คุณก็เป็นพวกอีแร้ง" แต่พวกคุณแย่กว่า เพราะเป็นแค่ลูกอีแร้ง คือ รออาหารที่คนอื่นป้อนให้

โหย...เจ็บ


ผมเชื่อมานานแล้วว่า ชีวิตของคนเราเป็นข้อสอบอัตนัย ที่ต้องตั้งโจทย์เอง และตอบเอง

ไม่ใช่ข้อสอบปรนัยที่คนตั้งโจทย์ และมีคำตอบเป็นทางเลือก

ก-ข-ค-ง

ถ้าใครที่คุ้นกับ "ชีวิตปรนัย" ที่มีคนตั้งโจทย์ให้ และเสนอทางเลือก ๑-๒-๓-๔

คนคนนั้นชีวิตจะไม่ก้าวหน้า เพราะต้องพึ่งพาคนอื่นตลอดเวลา

ติดกับ "กรอบ" ที่คนอื่นสร้างให้

ไม่เหมือนกับคนที่รู้จักคิดและตั้งคำถามเอง

เรื่องการตั้งคำถามกับชีวิตเป็นเรื่องสำคัญมาก

อย่าลืมว่าเพราะมี "คำถาม" จึงมี "คำตอบ"

เมื่อมี "คำตอบ" เราจึงเลือกเดิน


พูดถึงเรื่องการตั้งคำถาม ผมนึกถึง "โสเครติส"

เขาเป็นนักปรัชญาเอกของโลก ที่สอนลูกศิษย์ด้วยการสนทนา

ตั้งคำถามให้ลูกศิษย์ตอบ สร้างองค์ความรู้จาก "คำถาม"

กลยุทธ์ของ "โสเครติส" ในการสอนคือไม่ให้ความเห็นใด ๆ แก่นักเรียน และทำลายความมั่นใจของนักเรียนที่เชื่อว่าตนเองรู้

"โสเครติส" เชื่อว่าเมื่อเด็กตระหนักใน "ความไม่รู้" ของตนเอง เขาจะเริ่มต้นแสวงหา "ความรู้"

แต่ถ้าเด็กยังเชื่อมั่นว่าตนเองมี "ความรู้" เขาก็จะไม่แสวงหา "ความรู้"

การตั้งคำถามของโสเครติสจึงมีเป้าหมายโจมตีและทำลายความเชื่อมั่นในภูมิความรู้ของนักเรียน

เป็นกลยุทธ์เท "น้ำ" ให้หมดจากแก้ว

เมื่อแก้วไม่มีน้ำแล้วจึงเริ่มให้เขาเท "น้ำ" ใหม่ใส่แก้วด้วยมือของเขาเอง

"น้ำ" ที่ลูกศิษย์แต่ละคนเทลงแก้วด้วยมือตัวเองมาจาก "คำตอบ" ที่เขาค้นคิดขึ้นมาเอง

"คำตอบ" จาก "คำถาม" ของ "โสเครติส"

"โสเครติส" นิยามศัพท์คำว่า "คนฉลาด" และ "คนโง่" ได้อย่างน่าสนใจ

"คนฉลาด" ในมุมมองของ "โสเครติส" นั้นไม่ใช่คนที่รู้ทุกเรื่อง

แต่ "คนฉลาด" คือ คนที่รู้ว่าตัวเองไม่รู้

ส่วน "คนโง่" นั้น คือ คนที่ไม่รู้ว่าตัวเองไม่รู้ แต่ทำตัวราวเป็นผู้รู้

ไม่น่าเชื่อว่า ก่อนหน้านี้ ผมยังมีความภาคภูมิใจใน "ความรู้" ของตนเอง

แต่พออ่านถึงบรรทัดนี้ ทำไมผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองไม่รู้อะไรเลย

แฮ่ม...


ตลอดเวลาผมก็พยายามบอกคนอื่นอยู่เสมอว่า ผมน่าจะถือว่าเป็นคนที่ "คิดนอกกรอบ" คนหนึ่ง

เพราะตอนเด็กเรียนวิชาวาดเขียนก็ยังระบายสีออกนอกกรอบเป็นประจำ

กินข้าวก็ชอบหกเละนอกจาน

เพราะฉะนั้น ผมจึงน่าจะเป็นคนที่คิดนอกกรอบอย่างแน่นอน

แต่ผมไม่รู้ที่มาที่ชัดเจน

จนกระทั่งวันหนึ่งผมไปงานศพพ่อ "ตั้ม" เพื่อนสมัยเรียนที่ธรรมศาสตร์ ผมจึงรู้ "ที่มา"

วันนั้นแม้จะเป็นงานโศกเศร้า แต่เพื่อที่ไม่เจอกันมานานมาเจอกันก็ทักทายกันเสียงดังลั่น

หยอกกัน อำกัน แบบไม่สนใจว่า ใครตำแหน่งหน้าที่สูงส่งขนาดไหน

เพื่อนก็คือเพื่อน

"พ่อเพื่อน" ก็ยังเป็น "ชื่อเล่น" ของเพื่อนเราเหมือนเดิม

หลังจากเรานัดกันไปคุยกันต่อที่ร้านอาหาร ผมติดรถของ "จูน" ไปที่ร้านพร้อมกับลูกชายของ "เอื้อย"

ส่วนลูกสาวของ "จูน" ไปนั่งรถ "เอื้อย"

ผมเพิ่งรู้ว่า "จูน" คุ้นเคยกับอาจารย์วรภัทรเป็นอย่างดี

เคยไปศึกษาธรรมะที่ป่าช้ามาด้วยกัน

คุยกันเรื่องอาจารย์วรภัทรพักหนึ่ง ก็กลับมาคุยกันเรื่องอดีต

"ตอนเป็นนักศึกษา เธอสกปรกมาก"

"เฮ้ย" ผมแหกปากทำท่าไม่พอใจทันที

"จริง ๆ" จูนยืนยัน

"เท้าก็ดำ"

"ก็ใส่รองเท้าแตะ เตะบอลทุกวัน เท้าก็ต้องดำเป็นธรรมดา" ผมเถียง

"โหน่งก็เตะบอล ใส่รองเท้าแตะ แต่เท่าไม่เห็นดำเลย"

ไม่น่าเชื่อว่าผู้หญิงจะช่างสังเกตขนาดนี้

"เสื้อผ้าก็ไม่ซัก" จูนยังไม่หยุด

"เป็นบางวันนนน..." ผมลากเสียงสู้ เพราะใส่ซ้ำแค่ตอนนอนค้างมหาวิทยาลัย หรือไปค้างบ้านเพื่อนเท่านั้น

อาทิตย์นึงก็แค่ ๔ - ๕ วัน

"แต่เธอดีที่เป็นคนกล้าคิดนอกกรอบ" จูนเปลี่ยนทิศทางเป็นคำชมแบบน่าประหลาดใจ

ผมยังไม่ทันเอ่ยปากขอบคุณ "จูน" ก็ถล่มซ้ำอีกครั้ง

เป็นการเฉลย "ที่มา" ที่ผมสงสัยมานาน

"เธอเป็นคนไม่มีกรอบ เพราะเธอไม่เคยเข้าเรียน"

♡♡♡♡♡♡♡♡♡♡♡♡♡♡
ที่มา : หนังสือ ชีวิตไม่ยากถ้าตั้งโจทย์ง่าย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น