มีสตรีผู้หนึ่ง ฐานะดี เธออยู่คนเดียว มีอายุมากแล้วบ่นให้ฟังว่าหาคนคุยด้วยยากทุกที เพื่อนจากหายไปหมด ลูกหลานหรือคนที่เคยอุปถัมภ์ค้ำจุนกันมาก็ไม่ค่อยมาหา แต่เวลาทุกข์ร้อนก็จะมาหาเพื่อขอความช่วยเหลือ
เธอเหงา...และเริ่มหน่ายชีวิต
ผมเตือนเธอว่าอย่าไปคาดหวังมากนักกับตนเองหรือคนอื่น ทำได้แค่ไหนก็แค่นั้น เก่งมาก-ดีมากแล้ว
ใครจะรักเราช่วยเราหรือไม่นั้นเราคาดหวังไม่ได้ ไม่แน่นอนทั้งนั้น ถ้าไม่คาดหวังมากก็ไม่ผิดหวังมาก และได้คุยให้ฟังถึงเรื่องเพื่อน 3 ประเภท ที่เคยได้รับรู้มาตามแนวคิดของพุทธศาสนา
เขาแบ่งเพื่อนออกเป็น 3 แบบ คือ
เพื่อนแบบที่ 1 เป็นเพื่อนที่เราสร้างขึ้นมาในชาติปัจจุบัน คือเมื่อเรามีเงินทอง ชื่อเสียง เกียรติยศ อำนาจ เพื่อนพวกนี้ก็จะล้อมหน้าล้อมหลังเพราะเขาชอบสิ่งที่เรามี ทำให้เราพลอยหลงตัวเองและมัวเมาไปกับมิตรภาพชั่วคราวแบบนั้น ถ้าเราไม่เกิดประโยชน์อีกแล้วเขาก็จาก...จางและหายไป จะกลับมาก็ในยามต้องการความช่วยเหลือ จึงต้องระวังตัวให้ดี อย่าหลงระเริงไปกับเพื่อนพวกนี้
เพื่อนแบบที่ 2 เป็นเพื่อนที่เราได้มาจากกรรมในอดีตและปัจจุบัน คือเป็นพวกที่มีความผูกพันกันลึกซึ้งกว่าพวกแรก แต่อาจจะนำความสุขหรือความทุกข์มาให้ก็ได้ ขึ้นกับชนิดของกรรมดีหรือไม่ดีของเราที่ทำร่วมไว้กับเขา
เพื่อนพวกนี้ได้แก่ พ่อ-แม่ พี่น้อง ญาติ คนรัก สามี-ภรรยา มิตรสนิท คนคุ้นเคยที่คบหากันอยู่ ซึ่งมีทั้งที่นำความสุขความเจริญหรือ
นำความทุกข์มาให้
เมื่อถึงคราวจากกัน ก็อย่างที่เรียกว่าหมดเวร...หมดกรรมนั่นแหละ...มีทั้งจากกันแบบดีๆ หรือแบบร้ายๆ แล้วแต่กรรมของเรากับเขา
เพื่อนแบบที่ 3 เป็นเพื่อนที่เกิดในชาตินี้และจะอยู่ติดตัวไปชาติหน้า ได้แก่การทำกรรมดีและกรรมชั่วของเรา
ถ้าทำกรรมดี ก็ได้ผลดี ที่เรียกว่า ได้บุญ
ถ้าทำกรรมไม่ดี ก็ได้ผลไม่ดี ที่เรียกว่า ได้บาป
ฉะนั้นบุญและบาปที่เราสร้างในชาตินี้จะเกิดผลตั้งแต่ชาตินี้และติดตัวไปถึงชาติหน้า
การทำความดีง่ายๆ ได้แก่ ทาน ศีล ภาวนานั่นเอง ถ้าทำมากๆ แล้วความเหงาหงอยก็จะหายไปด้วย
คิดดูแล้วกันว่าเราควรจะสร้างมิตรประเภทใดให้มากขึ้น เพื่อทำให้ตัวเองมีความสุขมากขึ้น
อย่าหลงระเริงและอย่าคาดหวังมากกับเพื่อนแบบที่ 1 และ 2
ให้หมั่นสร้างเพื่อนใหม่แบบที่ 3 ให้มากขึ้นเรื่อยๆ เถิด
ชีวิตจะมีความสุขและไม่เหงาด้วย
โดย ดร. นพ. วิทยา นาควัชระ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น