เขียนถึงปริพาชกชื่อ สุภัททะ ไปถามปัญหาธรรมกับพระพุทธเจ้า แม่ของลูกชาย (ก็เมียนั่นแหละครับ) ถามว่า สุภัททะปริพาชกเป็นอะไรกับสาวกองค์สุดท้ายของพระพุทธเจ้า รู้สึกดีใจอย่างยิ่ง
ดีใจที่เมียมหาเปรียญยังสนใจใคร่รู้ธรรมะธัมโม รีบบอกเธอว่า ก็คนเดียวกันนั่นแหละ พอได้วิสัชนาจากพระพุทธองค์จนหายสงสัยแล้ว ทูลขอบวช พระองค์จึงบวชให้ด้วยวิธีการบวชที่เรียกว่า "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" เป็นกรณีพิเศษ
ตามปกติ ถ้า "เดียรถีย์" (คือคนนับถือศาสนาอื่น) มาขอบวชจะไม่ให้บวชทันที จะต้องปฏิบัติทดสอบศรัทธาและความตั้งใจจริงถึง 4 เดือน (เรียกว่า อยู่ติตถิยปริวาส 4 เดือน) จึงจะบวชให้ แต่พระพุทธองค์จะเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว ไม่มีเวลา จึงทรงอนุญาตให้สุภัททะบวชด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทาเป็นกรณีพิเศษ เพราะเหตุนั้น พระสุภัททะจึงนับว่าเป็นสาวกองค์สุดท้ายของพระพุทธเจ้า
สุดท้ายที่บวชด้วยวิธีดังกล่าวข้างต้น ไม่ใช่ว่าหลังจากสุภัททะ มาแล้วไม่มีสาวกองค์อื่นนะครับ
สุภัททะผู้นี้เป็นใครมาจากไหน คัมภีร์มิได้บอกไว้ พจนานุกรมอสาธารณนามของ ดร.มาลาลา เสเกรา พูดถึง สุภัททะหลายคน ที่น่าพิจารณามีอยู่สองสุภัททะ คือ สุภัททะที่เป็นบุตร อุปกชีวกคนหนึ่ง กับสุภัททะสาวกสุดท้ายของพระพุทธเจ้า อีกหนึ่ง
อุปกาชีวกบิดาของสุภัททะ (คนแรก) พบพระพุทธเจ้าระหว่างทางจะไปป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เห็นบุคลิกงามสง่าของพระพุทธเจ้า ทูลถามว่าใครเป็นครูของพระองค์
พระองค์ตรัสตอบว่า พระองค์เป็นสัมมาสัมพุทธ (ตรัสรู้เองโดยชอบ) ไม่มีใครเป็นครู แกได้ยินแล้วสั่นศีรษะหลีกทางไป
ปราชญ์ไทยตีความว่า อุปกะแกไม่เชื่อ แต่ที่จริงแล้วตามวัฒนธรรมแขก ถ้าเขาสั่นศีรษะแสดงว่า เขาเชื่อครับ เรื่องนี้ผมเขียนไว้โดยละเอียดใน พุทธศาสนา ทัศนะและวิจารณ์ สนใจก็ไปหาอ่านเอา
ตอนหลังอุปกะแกไปตกหลุมรักลูกสาวนายพรานคนหนึ่ง สึกออกมามีลูกด้วยกันคนหนึ่ง ชื่อ สุภัททะ จากนั้นเห็นชีวิต ผู้ครองเรือนมีแต่ทุกข์ จึงกลับไปบวชใหม่ คราวนี้ไปบวชอยู่กับพระพุทธเจ้า จนสิ้นชีวิตในผ้าเหลือง
ทราบว่านางจาปาเมียของอุปกะตอนหลังก็ไปบวชเป็นภิกษุณีเหมือนกัน สุภัททะที่วิ่งกระหืดกระหอบไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ก็อาจเป็นสุภัททะคนที่เป็นบุตรของอุปกะกับจาปาก็ได้ อันนี้ผมเดาเอา ไม่มีตำราที่ไหนบอกไว้ดอกครับ
ฟ้าสางเมื่อใกล้ค่ำ/เสฐียรพงษ์ วรรณปก
ข่าวสดออนไลน์, 3 มีนาคม 2557
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น