...+
▼
วันอาทิตย์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2557
บทเรียนชีวิต มนุษย์เงินเดือน
ชีวิตฉันตอนนี้ คิดว่าน่าจะ Level Up เข้าสู้การเป็นมนุษย์เงินเดือนขั้น 2 แล้ว แต่ก็ไม่รู้หรอกว่ามันมีกี่ขั้น เพียงแต่ว่า ใช้ความคิด ตัวเองในการคิดแยกแยะว่า มันผ่านช่วงชีวิตมนุษย์เงินเดือนแบบเดิมๆ มาแล้วมันเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ นั้นแหละ แสดงว่าเราได้ข้ามขั้นมาแล้ว ทั้งที่จริงๆ มันอาจจะอยู่กับที่ก็ได้ใครจะไปรู้ ฉันก็แค่อุปโลก มันขึ้นเองก็เท่านั้นเองแหละ
ด้วยชีวิตนี้ ได้เปลี่ยนงาน จากเดิมเข้างาน 9 โมง ออก 6 โมง ชิวๆ ทำงานไม่ต้องคิดอะไำรมากมาย แผนงานไม่ต้องชัดเจนมากนัก แต่สำหรับที่ใหม่ เข้างานเช้าขึ้น เริ่ม 8.30 แต่เลิก 6 โมงเหมือนเดิม ซึ่งก็ไม่ได้ต่างอะไร เพียงแต่ฉันต้องเดินทางไกลกว่าเดิม เพราะเมื่อก่อนไปหาที่พักใกล้ที่ทำงาน ส่วนเรื่องงาน ก็ต้องชัดเจนว่าแต่ละวันจะทำอะไร ทุกอย่างต้องเปะๆ ฉันก็ถือว่านี่แหละเป็นอีกขั้นของการเป็นมนุษย์เงินเดือนแล้ว แต่ที่ใหม่ก็ยอมรับว่าฉันทำงาน ถึงจะหนัก จะเครียต แต่ก็ดีใจ เพราะได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ที่อยากเรียนรู้มากมาย ถึงจะเหนื่อยแค่ไหน ก็ยังยิ้มได้.. (ในใจนะ เพราะยิ้มออกมาจริงๆ คงยาก 555) คงเป็นเพราะ การซื้อใจแหละมั๊ง เพราะโดยส่วนตัวฉัน จะทำงานให้ใคร คนๆนั้น หรือ หัวหน้า ต้องซื้อใจฉันให้ได้เสียก่อน ส่วนตัวฉันเองเชื่อมาตลอดว่า การจะให้ใครทำงานให้ ถ้าเราซื้อใจเขาไม่ได้ ทำไมเขาจะต้องทำงานให้เรา และเรื่องนี้เอง ที่หัวหน้าเคยสอนฉันว่า
การจะให้คนอื่นทำงานให้นั้น มีเหตุผลที่เขาจะทำให้เราเพียง 3 ข้อเท่านั้น
1. เขาทำงานให้เพราะความเสน่หา มิตรภาพ หรือเพราะรัก
2. เขาทำงานให้เพราะมีผลประโยชน์ได้เสียกับเรา
3. เขาทำงานให้เพราะตำแหน่งหน้าที่การงาน หรือ เพราะคำสั่ง
และฉันก็เชื่อว่าจริง เพราะสำหรับตัวฉันเอง จะทำงานให้ใครก็คงไม่พ้น 3 ข้อนี้อยู่ดี เพียงแต่ว่า ทำงานให้แล้ว คุณภาพดีไม่ดี นั้นอีกเรื่อง แต่ถ้าทำหรือไม่ทำ ก็คงเป็นไปตามเหตุผลทั้ง 3 ข้อนี้แหละ
ทุกครั้งที่เบื่อจากการทำงาน มักทำให้ฉันคิดว่า ทำไมชีวิตมัน ต้องมาวนลูป แบบนี้วะ เมื่อไหร่จะหลุดลูปแบบนี้ออกไปซะที จริงๆ แล้วไอ้การทำงาน รูทีน เนี่ยมันก็แสนจะน่าเบื่อนะ บางครั้งเราเจอพี่บางคนก็เกิดคำถามว่า เขาทำงานแบบนี้มาเป็นสิบๆ ปีแล้วจริงเหรอ ทนทำไปได้ไงวะ ไม่เบื่อหรอ ฉันเชื่อว่าหลายคนก็คงเจอ ประเด็นนี้คิดว่า มีหลายปัจจัยนะ เรื่องของ Gen น่าจะมีส่วน เท่าที่เคยศึกษามา เขาบอกว่า คน Gen X หรือ Baby Boom เนี่ยมักจะไม่ค่อยเปลี่ยนงาน จะทำงานเดิมๆ ซ้ำๆ สิบปีก็ทำได้่ ผิดกับพวก Gen Y ที่เบื่องานง่ายๆ ถ้าเห็นงานน่าเบื่อ ไม่ท้าทายก็คิดจะย้ายออก หรือไปหางานใหม่เอาได้ง่ายๆ
ไอ้ชีวิต รูตีน ..เอ้ย … รูทีน …เอ้ย… ถูกแล้ว! รูทีน เนี่ย มันมาจาก ภาษาอังกฤษที่ว่า Routine ซึ่งจริงๆแล้วไอ้ รูทีนเนี่ย มันก็คลอบคลุมไปถึงชีวิตประจำวันในทุกๆ ส่วนเลยหละ เรามักจะใช้แค่ งานรูทีน คือ งานที่ต้องทำเป็นประจำทุกวัน ซ้ำๆเดิมๆ เช่น ทำบันทึกการประชุมทุกครั้ง การทำรายงานยอดขายทุกสัปดาห์ ฯลฯ แต่จริงๆ แล้วชีวิตเรา มันก็ถูกกำหนดมาให้เป็น รูทีนอยู่แล้ว เช่น วันนึงต้องกินข้าว 3 มื้อ เช้า กลางวัน เย็น ตื่นเช้าต้องแปรงฟัน อาบน้ำ ตกเย็นก็ อาบน้ำ อย่างงี้เป็นต้น มนุษย์เราเหมือนถูกออกแบบมาให้เป็นอย่างนี้อยู่แ้ล้ว ดังนั้นไอ้รูทีน เนี่ยมันคงไม่ผิดอะไรหรอก มันคงจะอยู่ที่ มุมมองของเราต่างหาก อยู่ที่ทัศนคติของเราต่างหาก ว่าจะมองมัน หรือ ใช้ชีวิืตกับมันยังไง ให้มันไม่ซ้ำซาก ไม่น่าเบื่อ ซึ่งเรื่องพวกนี้ เราก็ทำมันอยู่เพียงแต่ว่า เราไม่เห็นเท่านั้นเอง อย่างการกินข้าวเป็นรูทีน เช้า กลางว้น เย็น เราก็แก้ไขมันด้วยการ หาอะไรกินแปลกๆ ใหม่ๆ ไม่ซ้ำเดิม ถามว่าทุกวันนี้ ถ้าเลือกได้เราอยากกินของเดิมๆ ทั้งสามมื้อเหรอ ก็คงไม่ อย่างงี้เป็นต้น ถ้าเราสามารถทำให้งานที่น่าเบื่อๆ สนุกขึ้นมาได้ ก็คงจะดี แต่ประเด็นก็คือ เราจะมองยังไงนั้นแหละ 55 5
สุดท้ายแล้ว ฉันก็คิดว่า ชีวิตเรามันก็ควรจะมีจุดมุ่งหมายด้วยกันทั้งนั้น ว่าอนาคตแล้ว ปลายทางชีวิต เราอยากจะเป็นแบบไหน หาเป้าหมายให้เจอแล้ว ก็ค่อยๆ เดินตามทางไปให้ถึง พอดีฉันไม่ได้เป็นสาวกศาสดาจ๊อบอ่านะ ที่จะต้องคิดว่าทำวันนี้ให้ดีที่สุดเพราะพรุ่งนี้จะตายแล้ว เนี่ย แต่สำหรับฉัน มันย่อมมีวันพรุ่งนี้เสมอ ทำวันนี้ให้ดี ถ้ายังไม่ดี ก็ยังมีพรุ่งนี้ให้แก้ตัว ..
พอดีว่าไปเจอ บทเรียนมนุษย์เงินเดือนใน Google ก็เอามาแชร์ให้อ่านกัน ถือว่าเป็นประสบการณ์จากรุ่นพี่ มนุษย์เงินเดือนดี
เสียดายไม่ตั้งใจทำงานในช่วงแรกของชีวิตการทำงาน
ไม่ว่าจะเป็นอดีตมนุษย์เงินเดือนหรือมนุษย์เงินเดือนรุ่นพี่ๆ ในปัจจุบัน มักจะรู้สึกเสียดายกับชีวิตการทำงานที่ผ่านมาเนื่องจากช่วงแรกๆ ของการทำงานไม่ค่อยตั้งใจและทุ่มเทมากนัก เนื่องจากตอนนั้นคิดว่าทำงานแลกกับเงิน ได้เงินน้อยก็ทำน้อย ที่ไหนให้มากก็ขยันขึ้นมาหน่อย คิดอย่างเดียวว่าถ้าขยันทำงาน เจ้านายจะติดใจและใช้มากขึ้นเรื่อยๆ เราก็เหนื่อยอยู่คนเดียว มารู้ตัวอีกครั้งก็ต่อเมื่อทำงานไปตั้งนานไม่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งเสียที เด็กรุ่นใหม่ๆ ที่พึ่งเข้ามาแซงหน้าไปเสียแล้ว ที่สำคัญชีวิตช่วงแรกที่ทำงานมักจะเป็นช่วงที่เรารู้สึกว่าทำงานเหนื่อยกว่าตอนเรียน ดังนั้น วัยนี้คนทำงานบางคนก็เริ่มเที่ยว ดื่ม กิน ใช้ชีวิตเปลืองมาก เลิกงานเสร็จเที่ยวต่อจนดึกจนดื่น เผลอๆ บางวันใส่ชุดเดิมมาทำงาน (เพราะยังไม่ได้กลับบ้าน) แล้วจะทำงานดีได้อย่างไร กายและใจมาทำงานเพียงครึ่งเดียว เพื่อนบางคนก็มัวแต่ทำงานเพื่อค้นหาตัวเองว่างานที่กำลังทำอยู่นั้นใช่สิ่งที่ต้องการหรือไม่ บางคนก็ทำงานเพื่อรอโอกาสหางาน ใหม่ สุดท้ายชีวิตการทำงานในช่วงแรกๆ แทนที่จะมีเส้นการเรียนรู้ที่สูงชันกลับกลายเป็นเส้นการเรียนรู้ที่แบนราบ อายุงานผ่านไป แต่อายุใจที่มีต่องานยังอยู่เท่าเดิม ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากจะตั้งใจและขยันทำงานตั้งแต่ปีแรกที่เข้ามาทำงาน และจะกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ทั้งที่เกี่ยวและไม่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ที่รับผิดชอบ และจะลดหรืองดการเที่ยวและดื่มให้น้อยลง เพราะตอนนี้ผลกรรมเริ่มสนองให้เห็นแล้วว่าการใช้ชีวิตแบบประมาทนั้นส่งผลต่อสุขภาพร่างกายระยะยาว
เสียดายที่แต่งงานเร็วไปหน่อย
มนุษย์เงินเดือนเงินหลายคนเสียโอกาสในความก้าวหน้าในอาชีพไปเพราะรีบเป็นฝั่งเป็นฝาเร็วเกินไป คิดว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่แล้ว หาเงินได้เองแล้ว ปกครองและดูแลตัวเองได้แล้ว ก็ริคิดที่จะไปเอาคนอื่นมาดูแลเพิ่มเติม (ทั้งๆ ที่ยังไม่ทันได้ดูแลพ่อแม่ที่ส่งเสียให้เรียนมาจนจบ) เมื่อชีวิตแต่งงานเข้ามาเร็วชีวิตครอบครัวเข้ามาเร็ว ปัญหาประจำตำแหน่งชีวิตคู่ก็เข้ามาเร็ว ทั้งๆ ที่อายุงานและประสบการณ์ชีวิตในหน้าที่การงานยังน้อยอยู่ ทำให้ปัญหาครอบครัวเริ่มมาเป็นตัวถ่วงในเรื่องความก้าวหน้าในอาชีพ เพราะไหนจะต้องให้เวลากับครอบครัวมากขึ้น เวลาที่ทุ่มเทกับงานก็น้อยลง ถ้าใครยังทุ่มเทกับงานมากอยู่อีกก็จะทำให้เกิดปัญหาครอบครัว เงินเก็บที่ยังไม่เต็มที่ก็ต้องควักออกมาใช้ เพราะมีลูกทั้งๆ ที่ยังไม่พร้อมในหลายๆ ด้าน คิดง่ายๆ ว่าในช่วงเวลาเดียวกันเพื่อนเราที่ยังไม่แต่งงานเขามีเวลาทุ่มเทกับการทำงานเพื่อปีนป่ายขึ้นไปสู่จุดหมายแห่งความสำเร็จ ในขณะที่เราต้องปีนป่ายเหมือนกับเขา แต่เราต้องกระเตงคู่สามีหรือภรรยาและลูกไปด้วย นึกดูเอาเองก็แล้วกันนะครับว่าใครจะปีนไปได้สูงและไกลกว่ากัน ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากจะทำงานก่อนสักระยะหนึ่ง อย่างน้อยก็ได้มีโอกาสเลื่อนตำแหน่งมาบ้างแล้วจึงคิดจะแต่งงาน อย่างน้อยก็ต้องมีเงินเก็บมาบ้างแล้ว หรืออาจจะต้องมีประสบการณ์ในการทำงานที่เพียงพอต่อการหางานใหม่ที่มีตำแหน่งที่สูงกว่าก่อนจึงจะแต่งงาน และการที่เรามีเวลาทำงานผ่านไปสักระยะหนึ่งก็น่าจะมีเวลาในการคบหาหรือดูใจกับที่เราจะเลือกมาเป็นคู่ได้ดีขึ้น
เสียดายที่ไม่ได้ศึกษาต่อ ความเสียดายข้อนี้เชื่อว่าเกินครึ่งของมนุษย์เงินเดือนที่มีความรู้สึกแบบนี้ เพราะตอนเข้ามาทำงานแรกๆ เกือบทุกคนมักจะคิดว่าจะหาเวลาศึกษาต่อ รอเก็บเงินค่าเทอมไปสักพักก่อนและรอให้ทำงานเข้าที่ก่อน แต่ด้วยเหตุปัจจัยหลายอย่างทำให้มนุษย์เงินเดือนส่วนใหญ่พลาดเป้าหมายนี้ไป เช่น งานยุ่งไม่มีเวลาเรียน พอจะเรียนก็เปลี่ยนงาน (เหตุผลเดิม คือ รอให้งานเข้าที่แล้วค่อยเรียน) ไม่มีเงินค่าเทอม ขี้เกียจอ่านหนังสือ สอบไม่ได้ (เพราะไม่ตั้งใจ) ใจอยากเรียนแต่ไม่เคยแม้แต่จะลงมือทำอะไรเลย เลือกที่เรียนมากเกินไป บางคนลองไปเรียนแล้วแต่ไปไม่รอดเพราะแบ่งเวลาไม่เป็น อดีตมนุษย์เงินเดือนหลายคนคิดย้อนกลับไปว่าถ้าตอนนั้นเรียนต่อในระดับนั้นระดับนี้ ป่านนี้คงจะประสบความสำเร็จไปมากกว่านี้แน่นอน เพราะมีอยู่ช่วงหนึ่งมีโอกาสดีๆ เข้ามาในชีวิต คุณสมบัติครบทุกอย่าง ขาดอย่างเดียวคือวุฒิการศึกษาไม่ถึง เลยเสียโอกาสที่สำคัญในชีวิตการทำงานไป มาถึงตอนนี้ก็แก่เกินเรียนแล้ว ยิ่งออกมาทำธุรกิจส่วนตัวถึงแม้เวลาจะมีมากขึ้น แต่กำลังใจมีน้อยลง แรงใจมีน้อยลง และไม่รู้จะเรียนไปทำไม เพราะงานธุรกิจส่วนตัวที่ทำอยู่ไม่จำเป็นต้องมีวุฒิการศึกษาสูงๆ ก็ได้ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ คิดว่าจะต้องตัดสินใจเรียนตั้งแต่เพิ่งเริ่มทำงานใหม่ๆ สักปีสองปี จะยอมอดทนไปสักระยะหนึ่ง และจะเรียนให้จบก่อนที่จะเปลี่ยนงานใหม่หรือมีครอบครัว
เสียดายที่มัวแต่ทะเลาะกับเจ้านายและเพื่อนร่วมงาน มนุษย์เงินเดือนหลายคนเสียเวลาไปกับปัญหาคนเยอะมาก ทั้งปัญหาหัวหน้า ปัญหาเพื่อนร่วมงาน บางคนก็มีปัญหากับลูกน้องอีก วันๆ เสียเวลาของสมองไปกับการคิดถึงปัญหาคนอื่น ตอนที่เป็นลูกจ้างเรามักจะคิดว่าปัญหาทะเลาะกับคนทำงานเป็นปัญหาใหญ่ เลยใช้เวลากับมันมาก เครียดกับมันบ่อยแทบจะไม่มีเวลาไปพัฒนาหรือปรับปรุงหรือพัฒนาตนเองเลย ตอนนั้นลืมไปว่าจริงๆ แล้วไม่มีใครทำงานอยู่กับเราไปตลอดชีวิตและเราเองก็ไม่ได้ทำงานอยู่กับคนที่เราไม่ชอบไปตลอดชีวิตเช่นกัน แต่ตอนนั้นไม่ได้คิดแบบนี้ คิดอย่างเดียวว่าวันนี้เรากับเขาจะมีปัญหากันเรื่องอะไรอีก คิดว่าเรื่องเมื่อวานมันเกิดขึ้นได้อย่างไร ใครเป็นคนผิด ทำไมเขาจึงเป็นคนแบบนั้น สุดท้ายเราก็จะจมอยู่กับปัญหา คนที่บางครั้งเคยหนีจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งแล้ว ปัญหาคนเก่าหายไป แต่….ปัญหาคนใหม่ก็เกิดขึ้น ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากจะคิดเสียว่าปัญหาคนเหมือนกับปัญหารถชนกันบนถนนที่เราไม่ต้องไปสนใจกับมันให้มากนัก แต่เราควรจะสนใจว่าเส้นทางที่เรากำลังจะเดินไปนั้นอยู่ไกลหรือไม่ เรามีเวลาเหลืออีกนานหรือไม่ ต้องคิดว่าไม่มีใครทำงานกับเราไปตลอดชีวิตและเราเองก็ไม่ได้ทำงานกับใครไปตลอดชีวิตเช่นกัน และคิดว่าถ้าเรารับปัญหาคนอื่นไม่ได้ เราคงจะก้าวขึ้นไปในตำแหน่งหน้าที่การงานที่สูงขึ้นไปไม่ได้ เพราะยิ่งสูงปัญหาคนยิ่งมากและซับซ้อนมากขึ้น
เสียดายที่เปลี่ยนงานมากไปหน่อย ถ้าดูประวัติมนุษย์เงินเดือนบางคน จะเห็นว่าเปลี่ยนงานทุกปีๆ ละครั้งสองครั้ง ตอนที่เปลี่ยนงานก็มีเหตุผลมาสนับสนุนมากมาย เช่น เงินเดือนสูงกว่า อยู่ใกล้บ้าน เบื่อที่ทำงานเก่า งานใหม่ท้าทายกว่า อยากทำงานกับบริษัทข้ามชาติ ฯลฯ แต่เมื่อมาถามตอนนี้ว่าผลการเปลี่ยนงานบ่อยในอดีตสรุปว่าดีหรือไม่ คำตอบที่ได้ก็มีทั้งดีและไม่ดี แต่หลายคนตอบถ้าพิจารณาถึงผลระยะยาวแล้วอาจจะไม่เป็นผลดีมากนัก เพราะประสบการณ์ในแต่ละที่นั้นน้อยเกินไป ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากจะทำงานในแต่ละที่ไม่น้อยกว่า 3 ปี เพราะน่าจะเป็นเวลาที่เราได้ครบทั้งการเรียนรู้ (Learn) การทำงาน (Perform) และการพัฒนาปรับปรุงงาน (Improve) แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นอาจจะต้องขึ้นอยู่กับช่วงชีวิต เพราะบางช่วงอาจจะเปลี่ยนบ่อยเพราะตลาดกำลังโต ชีวิตกำลังรุ่ง แต่บางช่วงอาจจะต้องอยู่นาน เพราะต้องหยุดพักหายใจและสั่งสมประสบการณ์ ก่อนที่จะไต่ระดับขึ้นสู่เพดานบินที่สูงขึ้น
เสียดายที่ไม่ตั้งใจเรียนภาษาต่างประเทศ “ เสียดายภาษาอังกฤษไม่ดี “ เป็นคำพูดที่ได้ยินจากอดีตมนุษย์เงินเดือนที่ไปสัมภาษณ์งานมาใหม่ๆ ที่มักจะรู้สึกเสียดายบริษัทฝรั่งที่เสนอเงินเดือนให้สูงๆ แต่ติดที่ภาษาอังกฤษไม่กระดิกเลย เพราะไม่ได้จบ (เมือง) นอก และทำงานแต่บริษัทคนไทยจึงไม่มีโอกาสได้ใช้ภาษาอังกฤษเลย บางคนจะหันมาเอาดีในการเรียนภาษาก็ต่อเมื่อบินสูงแล้ว ซึ่งพัฒนาได้ยากแล้วเพราะมีเวลาน้อยและภารกิจทั้งเรื่องงานและเรื่องครอบครัวที่เพิ่มมากขึ้น ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ จะเรียนภาษาโดยเฉพาะภาษาอังกฤษตั้งแต่เริ่มทำงานและจะเลือกทำงานกับบริษัทต่างชาติตั้งแต่ต้น หรือไม่ก็อาจจะหาเงินไปเรียนต่อต่างประเทศ
เสียดายที่หาตัวเองเจอช้าไปหน่อย มนุษย์เงินเดือนบางคนทำงานมาเป็นสิบปีแล้ว ยังหาตัวเองไม่เจอเลยว่าเป้าหมายชีวิตของตัวเองคืออะไร จะทำงานเป็นลูกจ้างไปเรื่อยๆ จนเกษียณหรือจะออกไปทำอาชีพอิสระ ขนาดถามว่างานที่ชอบหรืออยากทำคืองานอะไรยังตอบไม่ได้เลย อย่างนี้จะก้าวหน้าในอาชีพการงานได้อย่างไรละ พูดง่ายๆ คืออดีตมนุษย์เงินเดือนหลายคนทำงานเหมือนกับพายเรืออยู่ในอ่าง วันๆ ก็ตื่นขึ้นมาไปทำงานเสร็จงานกลับบ้าน จันทร์ถึงศุกร์ทำงาน เสาร์อาทิตย์อยู่บ้าน รูปแบบชีวิตเหมือนเดิมเป็นเดือนเป็นปีบางคนเป็นสิบปี มารู้ตัวอีกทีก็ช้าไปเสียแล้ว เพื่อนๆ รุ่นเดียวกันไปไหนต่อไหนจนมองไม่เห็นหลังกันแล้ว ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากจะวางแผนชีวิตตัวเองตั้งแต่เริ่มทำงานว่าอีกกี่ปีจะเป็นอะไร จะทำอะไร จะต้องได้อะไร และแต่ละวันแต่ละเดือน แต่ละปีควรจะทำอะไรบ้าง อย่างไร
เสียดายที่ทำงานอยู่ที่ใดที่หนึ่งนานเกินไป คนบางคนไม่ได้เปลี่ยนงานบ่อย แต่ไม่เคยเปลี่ยนงานเลย ตอนที่ทำงานอยู่รู้สึกว่าเราเป็นคนดีขององค์กรที่ไม่ยอมเปลี่ยนงานไปไหนเลย แต่พอชีวิตการทำงานผ่านเลยไปก็รู้สึกเสียใจและเสียดายเหมือนกันที่ชีวิตการทำงานอยู่ในสภาพแวดล้อมเดียว สังคมเดียว คนบางคนอยู่ที่ใดที่หนึ่งนานเกินไปช่วงเวลาที่กำลังรุ่งก็ไม่ยอมเปลี่ยนงาน พอจังหวะชีวิตผ่านไปก็คิดจะเปลี่ยนงาน ก็ทำได้ยากแล้ว เพราะเงินเดือนสูง อายุงานเยอะ แต่ตำแหน่งต่ำ ไปสมัครตำแหน่งที่สูงเกินไปเขาก็ไม่รับ สมัครในตำแหน่งที่เท่าเดิมก็แก่กว่าคนอื่นๆ (แถมเงินเดือนสูงอีกต่างหาก) ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากจะเปลี่ยนงานในจังหวะที่เหมาะสมเพื่อปรับเพดานบินให้เหมาะสมกับอายุตัวและอายุงาน โดยไม่ต้องยึดติดว่าจะต้องอยู่กับองค์กรใด องค์กรหนึ่งนานจนเกินไป
ทั้งหมดนี้ ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์เงินเดือนควรจะเชื่อและเอาแบบอย่าง แต่ก็ไม่อยากให้มนุษย์เงินเดือนมองข้ามคำว่า “ เสียดาย “ ของมนุษย์เงินเดือนรุ่นพี่ๆ หรืออดีตมนุษย์เงินเดือนไป อย่างน้อยก็น่าจะนำไปเป็นคำถามตัวเองว่าเราอยากรู้สึกเสียดายในเรื่องนั้นเรื่องนี้เหมือนรุ่นพี่ๆ หรือไม่ ถ้าไม่เราควรจะทำอย่างไรตั้งแต่วันนี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น