...+

วันจันทร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2557

จับมือฉันให้แน่นๆ


สภาวะวิกฤติได้เกิดขึ้นแล้ว กำลังโหมกระหน่ำอย่างไม่ปราณี ทุกคนวิ่งหาทางออกอย่างเร็วที่สุด เราเองก็วิ่งทุกเส้นทางเพื่อที่จะไปสู่ทางออกให้ได้เช่นกัน อีกทั้งภายในก็โกน เรียกหาทุกสิ่งที่คิดว่าจะช่วยได้ ไม่ว่าจะเป็นการสวดมนต์ อธิฐาน รองขอ ภาวนาฯ
"ต้องมีทางออก..ขอให้มีทางออก"
ดูเหมือนว่ามันจะไม่ทันกาล เพราะเรายังไม่เห็นทางออกที่แน่ชัด
"ทำไมต้องจบแบบนี้..!!"
"แต่..นั่นทางออก..มีช่องทางนี้ด้วยหรือ..."
"เอาน่า..ทุกคนก็ไปช่องนี้ จับมือฉันให้แน่นๆนะ.."
แม้ว่าศรัทธาเชื่อมั่นที่มีอยู่ในตัวคุณตอนนี้ใกล้หมดสิ้น หรือหมดหวังแล้วในทุกสิ่งทุกอย่าง
แม้จะลุกขึ้นสู้มาหลายต่อหลายรอบแล้วก็ตาม
แต่เราจะบอกคุณว่า ในยามที่คุณหมดหวัง ใกล้จะสิ้นหวัง คุณจะพบกับชีวิตใหม่ อย่างน่าอัศจรรย์
เพราะจิตวิญญาณของคุณได้นำพาคุณมาถึงจุดหมายที่วางไว้แล้ว และกำลังรอให้คุณก้าวผ่านสถานการณ์ที่เลวร้ายนั้นทันที ปลายทางอุโมงค์ที่คุณกำลังเข้าใกล้นั้นเต็มไปด้วยความจริงที่คุณต้องการให้เปิดเผย รวมถึงรางวัลแห่งความเจ็บปวด และความเหน็ดเหนื่อยจากการทุ่มเททั้งกายและใจ ที่รออยู่ ณ.จุดนั้น
จับมือฉันให้แน่นๆ จะพาคุณก้าวเดินต่อไปสู่ประตูแห่งความสำเร็จ
จับมือฉันให้แน่นๆ จะทำให้คุณรู้ว่าสิ่งใดคือ แก่นแท้ที่แท้จริงของชีวิต
จับมือฉันให้แน่นๆ จะพลิกพลังด้านลบที่เป็นอุปสรรคให้เป็นพลังด้านบวกเพื่อสนับสนุนเป้าหมาย
จับมือฉันให้แน่นๆ คือ ความตั้งใจศึกษาเรียนรู้ความหมายของคุณสมบัติที่แท้จริงของตัวเอง
เป็นสัญลักษณ์ความพร้อมที่จะก้าวเดินต่อไป รวมทั้งการสร้างศรัทธาเชื่อมั่นในทิศทางที่ถูกต้อง
มนุษย์ทุกคนมีอำนาจจิต เพื่อโน้มนำชีวิตให้อยู่รอด(จงศึกษาเรียนรู้เรื่องอำนาจจิตให้กระจ่างแจ้ง)
เมื่อทุกคนมีอำนาจจิต การปฏิสัมพันธ์ของอำนาจก็เกิดขึ้น เช่น แค่มองตาก็รู้ใจ หรือ สื่อสัมผัสพิเศษต่างๆ การส่งกระแสจิต รวมถึงสัญชาตญาณ
มนุษย์นั้นมีความเข้าใจเรื่องอำนาจจิตมาตั้งแต่ยุคประวัติศาสตร์แรก โดยแสดงออกทางพิธีกรรมต่างๆ ของทุกศาสนาทุกนิกาย โดยมีพื้นฐานมาจากความศรัทธาเชื่อมั่น แม้ว่าความศรัทธาเชื่อมั่น จะมาจากความกลัวมากกว่าความรู้แจ้งเห็นจริง
เมื่อมองมาที่ตัวเองให้ตั้งคำถามว่า เราศรัทธาเชื่อมั่นในสิ่งใด เกิดขึ้นเพราะความกลัว หรือเพราะความรู้แจ้งเห็นจริง
และถามต่อไปอีกว่า ผู้นำทางศาสนา ผู้นำนิกาย องค์เทพทั้งหลาย มีความศรัทธาเชื่อมั่นในสิ่งใด
แม้คำตอบที่ได้จะแตกต่างกันว่า ศรัทธาเชื่อมั่นในพระเจ้าของตน พุทธศรัทธา เชื่อมั่นใน ธรรมะ แต่แก่นแท้ของเนื้อหา มุ่งไปในทิศทางเดียวกัน คือ การให้ การแบ่งปัน อันปราศจากผลตอบแทน โดยผ่านกระบวนการทางจิต
จะเห็นว่า องค์ศาสดาทั้งหลายมิได้มีความศรัทธาเชื่อมั่น ในรูปของวัตถุเลย พระองค์หยุดอยู่กับตัวตนที่แท้จริงของพระองค์ พร้อมทั้งเรียนรู้จากการสร้างปฏิสัมพันธ์ของอำนาจจิต จนตรัสรู้ได้เอง และเกิดเป็นบทบัญญัติขึ้น
ต่อมาเราได้สร้างตัวแทนของพระองค์ทั้งหลายในรูปแบบวัตถุ และยึดถือวัตถุเป็นตัวแทนของพระองค์สืบมา
แม้ว่าเราได้ใช้คำสอนของพระองค์ทั้งหลายเป็นแนวทางชี้นำ แต่ก็มีการตีความแตกแยกออกไป จนห่างไกลจากความจริง โดยเน้นพิธีกรรม อันเป็นกุศโลบาย ซ่อนความจริงเอาไว้ และยิ่งนานวัน ยิ่งทำให้เราห่างไกลความจริงมากขึ้น
ความจริงที่ว่าคือ ความสำเร็จ มาจากภายในตัวตนของผู้นั้น(จิต) ไม่อาจปฏิบัติแทนกันได้
ไม่ว่าจะเป็นวิธีการ สวดมนต์ อธิษฐาน ร้องขอ การบูชา การทำบุญ ทุกความศรัทธาเชื่อมั่น ต้องใช้อำนาจจิตในตัวตนเป็นตัวขับเคลื่อนความปรารถนาให้ไปสู่ความสำเร็จ ยิ่งมีความศรัทธาเชื่อมั่นมากเท่าใด อำนาจจิตยิ่งมากตาม อีกทั้งการปฏิบัติต่อจิตอย่างต่อเนื่องเป็นประจำมิได้ขาด จะนำไปสู่การหลุดพ้นทั้งปวง
อำนาจจิต เปรียบได้กับตัว ลูกกุญแจ ที่เราใช้ไขแม่กุญแจเพื่อ เข้าไปเอาสิ่งของที่เราปรารถนา
ลูกกุญแจ จะทำงานได้ดีก็ต่อเมื่อ มีความแม่นยำ ตรงกับคุณสมบัติของตัวแม่กุญแจ
เมื่อเราเปิดกุญแจนั้นได้ เราก็จะพบกับสิ่งของที่เราปรารถนา คือ สิ่งที่มนุษย์ทุกคนค้นหาเช่นกัน
จับมือฉันให้แน่นๆ ได้พาคุณออกเดินอย่าง เร็วและข้ามขั้นตอนไปมาก จึงขอกลับมาที่ กลไกลการทำงานของจิตอีกครั้ง
เมื่อสมัยตอนเป็นเด็ก ทางโรงเรียนจะให้เด็กๆสวดมนต์ ก่อนเข้าห้องเรียน และสวดมนต์ในห้องก่อนเลิกเรียน สิ่งที่เกิดขึ้นนี้มาจากรูปแบบทางการของศาสนา แม้ว่าเด็กๆจะยังไม่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องความเชื่อความศรัทธา แต่สิ่งที่ได้รับตามมาคือ เมล็ดพันธุ์การทำงานของจิต ที่ถูกบ่มเพาะขึ้นแล้ว แม้จะยังไม่มีความรู้ความศรัทธาก็ตาม
หาก เราต้องการขับเคลื่อนการทำงานของจิตต่อไป สิ่งที่ต้องใช้คือ พลัง
พลังที่ว่านี้คือ ได้มาจาก ความศรัทธา เชื่อมั่น
บทสวดมนต์ บทร้องขอ บทอธิษฐาน และพิธีกรรมต่างๆ แม้จะเป็น กุศโลบาย หรือเทคนิค ก็ตามหากเติมเต็มไปด้วยความศรัทธาเชื่อมั่น ความสัมฤทธิ์ผลย่อมเกิดขึ้นแน่นอน
เราจะศรัทธา เชื่อมั่นสิ่งใดดี
เราจะสร้างพลัง ศรัทธา เชื่อมั่น ได้จากอะไร
“ไม่มีมนุษย์คนใด ดำเนินชีวิต โดยปราศจาก ความศรัทธาเชื่อมั่น ต่างกันที่ว่า ศรัทธาในสิ่งใด”
ขอให้ตรวจสอบความ ความศรัทธาเชื่อมั่น ที่มีอยู่ในขณะนี้ และในอดีตที่ผ่านมาว่า คงอยู่ เปลี่ยนแปลง ไปมาอย่างไร เพราะการสำรวจตรวจสอบ จะทำให้เราทราบข้อมูลที่เป็นจริงมากขึ้น
ในความสำเร็จที่เกิดขึ้นนั้น ผู้คนมากมายไม่รู้ตัวว่า เบื้องหลังความสำเร็จนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร ด้วยเหตุนี้ทำให้เราหลงตัวเองว่า ตนมีความเก่ง มีความฉลาด และการที่ไม่ได้เรียนรู้เบื้องหลังของความสำเร็จ สิ่งที่ตามมาคือ ปัญหาที่เกิดขึ้นภายในตัวเอง เช่น ความทุกข์ ความกังวล ความเบื่อหน่าย ความไม่สงบสุข ความล้มเหลวรวมถึงปัญหาด้านสุขภาพที่เกิดก่อนเวลาอันสมควร
เบื้องหลังความสำเร็จ จะกล่าวในเรื่อง จิตฟุ้งซ่าน Life5
มนุษย์เราเริ่มต้นจากจุดใด ระหว่าง การศึกษาเรียนรู้ และ ความศรัทธาเชื่อมั่น
แน่นอน ความศรัทธาเชื่อมั่น ควรจะมาจากการศึกษาเรียนรู้ก่อน เมื่อมีความเข้าใจ รู้เหตุรู้ผล ก็เกิดเป็นความรู้ เกิดเป็นสัจธรรม เป็นความศรัทธาเชื่อมั่น มิใช่ใครพูดอะไร หรือบอกสิ่งใดก็เชื่อและศรัทธาตามกระแส
จะอย่างไรก็ตามเราไม่ได้มีเป้าหมายให้ คุณมีความศรัทธาในตัวผู้นำเสนอ
แต่เป้าหมายของเราคือ การสร้างศรัทธาในตัวคุณเอง เฉกเช่นเดียวกับผู้นำศาสนาทั้งหลาย ล้วนค้นพบสัจธรรมจากภายในตัวตน แม้ชื่อที่เรียกออกมาจะแตกต่างกัน (พระเจ้า,พระธรรม)
หากเราปราศจาก ความศรัทธาเชื่อมั่น ในตัวเอง เราก็ไม่อาจควบคุม อำนาจจิตของตนได้ พลังสนับสนุนจะหายไป
หากเราปราศจาก ความศรัทธาเชื่อมั่น ในตัวเอง เราก็ปราศจากจุดยืนที่มั่นคง เช่น ศรัทธาในวัตถุ
หากเราปราศจาก ความศรัทธาเชื่อมั่น ในตัวเอง ย่อมไม่มีผู้ใด ศรัทธาเชื่อมั่นในตัวเรา การเป็นผู้นำที่ดีก็ล้มเหลว
หากเราปราศจาก ความศรัทธาเชื่อมั่น ในตัวเอง ย่อมไม่อาจเข้าถึง แก่นแท้ ที่แท้จริงของชีวิต การหลุดพ้นยังคงเป็นภาพเหตุการณ์ ลวง
เราจะสร้างพลัง ศรัทธา เชื่อมั่น ได้จากอะไร
ภายในตัวเรานั้นมีสิ่งใดที่คู่ควรศรัทธา..
สิ่งใดที่สังคมให้ความศรัทธา มากที่สุด..
ความดี ไม่แยกเผ่าพันธุ์เชื้อชาติ ไม่แยกศาสนา
ความดี มีในทุกศาสนา
ทุกศาสนาสอนให้มนุษย์ทำความดี การศรัทธาในพระธรรมคำสอน ย่อมก่อเกิดพลังขับเคลื่อนชีวิตที่ดี
การศรัทธา เชื่อมั่น ในความดี จึงเท่ากับการมี ความศรัทธา ในพระธรรมคำสอนของทุกศาสนา และเป็นการศรัทธาเชื่อมั่นในตัวเอง โดยมีความดีเป็นแก่นยึดมั่น
ความดี เกิดจากจิต คิดสร้างสรรค์ขึ้นมา ขณะเดียวกันจิตก็สามารถสร้าง ความเลวได้
การศรัทธา เชื่อมั่น ในความดี จึงเท่ากับ การศรัทธาในอำนาจจิตของตนเอง
ถึงจุดนี้ เนื้อหาที่กล่าวมาคล้ายกับหลักของพุทธ เรื่อง อิทธิบาท 4 (ฉันทะ,วิริยะ,จิตตะ, วิมังสา) ซึ่งความจริงข้าพเจ้าก็พยายามเข้าไปศึกษาในอิทธิบาท, อริยสัจ แต่ด้วยความเบาปัญญาด้านภาษาบาลี ทำให้ยากในทำความเข้าใจและจดจำ
การเขียนของข้าพเจ้าจึงสื่อเพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น ส่วนการปฏิบัติแล้วแต่บุคคล
การศรัทธา เชื่อมั่น ในความดี แน่นอน ความดีย่อม มีอยู่ภายในตัวเรา
แต่หากภายในตัวเรา ไม่มีความดี เราจะต้อง สร้างความดีให้กับตัวเอง เรียนรู้การทำความดี เรียนรู้ความหมายของความดี สังเกตง่ายๆ ทุกครั้งที่เราได้ทำความดี เราจะพบว่า เรานั้นมีความสุข และผู้ที่เรายื่นความดีให้ก็มีความสุข นี้คือพลังของความดี เช่น รอยยิ้มที่คุณยิ้มให้กับตัวเองและผู้อื่นด้วยความจริงใจ การแบ่งปันความรู้ การให้ที่ปราศจากการหวังผลตอบแทนสู่ตัว เหล่านี้เป็นตัวอย่างของความดี
กระนั้นก็ยังมีผู้ที่มีความกลัวที่จะกระทำความดี โดยให้เหตุผลว่า ไม่อยากทำดี เพราะเพื่อนๆร่วมงานเขม่น บ้างว่าเป็นการเลียแข้งเลียขา ฯ
ซึ่งถ้าเรามีความศรัทธา เชื่อมั่น ในความดีจริง ความดีนั้นจะเป็นตัวแก้อุปสรรคให้ แต่หากเป็นการกระทำเพื่อ หวังดีเด่น หวังประโยชน์เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น นั่น ไม่ใช่ การทำ ความดี
เมื่อภายในตัวเรา เติมเต็มไปด้วยความดี ผลของความดีจะทำให้จิตของเราเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง เมื่อเรามีพลังอำนาจทางจิต การกระทำสิ่งใดย่อมสัมฤทธิผลได้โดยง่าย แต่หากเมื่อใดอำนาจจิตตก(จิตตก) เรื่องเลวร้ายหรืออุปสรรคก็จะเข้าแทรกได้โดยง่าย ในแต่ละวันเราจึงสำรวจสภาวะจิตอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้เพราะในแต่ละวันจะเต็มไปด้วยเรื่องราวที่มากมาย ซึ่งบางครั้งอาจทำให้เราเผลอติดไปกับเรื่องที่ไม่ควรกระทำ
สำหรับเรื่อง การใช้อำนาจจิต เพื่อการธุรกิจ จะเขียนในหัวข้อเรื่อง ผู้อนุมัติความรวย
ไม่ว่า คุณจะมีความรู้ในระดับใดในทางกายภาพ หากคุณปราศจากการศึกษาตัวเอง
การศึกษาที่คุณมีอยู่นั้นก็ยังไม่ล้ำเลิศพอ
ทั้งนี้เพราะความรู้ทั้งหลายที่คุณมีล้วนต้องการเครื่องมือที่ทรงพลังที่จะนำความรู้ไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพ
เครื่องมือนั้นก็คือ อำนาจจิตภายในตัวของคุณเอง
การศึกษาเรียนรู้อำนาจภายในตัวตน จนเกิดความรู้แจ้งเห็นจริง จะเป็นตัวสร้าง พลังความ ศรัทธาที่เข้มแข็ง
รูปแบบการทำงานของอำนาจจิต
อำนาจจิต = ความงบ+ พิธีกรรม/เทคนิค + พลังความรู้ ความศรัทธาเชื่อมั่น = ลูกกุญแจ
ในกระบวนการ สร้างลูกกุญแจ หรือ การสร้างอำนาจจิต ย่อมต้องใช้เวลาที่แตกต่างกันออกไป แล้วแต่บุคคล
ความสงบ บางคนยังไม่เคยทำได้
พิธีกกรม หรือ เทคนิค บางคนก็ไม่เคยทำ
ศรัทธาเชื่อมั่น บางคนก็ไม่เคยมี นอกจากปล่อยไปตามกระแส
ทั้งสามข้อที่กล่าวมาข้างต้น จะทยอยนำวิธีการมาแนะนำในโอกาสต่อๆไป
จับมือฉันให้แน่นๆ เพื่อจะนำพาเข้าไปเปิดกล่องของขวัญ
เมื่อเราเปิดกุญแจนั้นได้ เราก็จะพบกับกล่องของขวัญ คือ กล่องที่มนุษย์ทุกคนค้นหา และต้องการเปิดออกมา
ข้าพเจ้าค้นหาคำตอบ ของคำถามที่ว่า ทำไมชีวิตของข้าพเจ้าจึงเต็มไปด้วยความวุ่นวาย เรื่องราวที่เจ็บปวดใจ และความขัดสนทางการเงิน ตลอดเวลาสองปีกว่าที่ค้นหาไม่มีคำตอบจากฝ่ายศาสนาใดๆ ให้ความกระจ่างได้เลย คำตอบ
ที่จดจำได้อย่างแม่นยำในทางพุทธ คือ มันเป็นวิบากกรรม ในทางศาสนาอื่นๆ มันเป็นความปรารถนาของพระเจ้า และอื่นก็ในลักษณะคล้ายคลึงกัน แม้ว่าจะเป็นคำตอบที่ไม่ผิด แต่ก็ไม่อาจสร้างความศรัทธาเชื่อมั่นได้ในขณะนั้น กระทั่งได้พบข้อความจากสารเล่มหนึ่ง “ คุณไม่มีวันได้รู้ความจริง จนกว่าคุณจะเข้าใกล้ความจริง”
ความจริง คืออะไร
ฉันคือใคร
ฉันเกิดมาเพื่ออะไร
ฉันทำอะไรผิดพลาด!! ข้าพเจ้าค้นหาความหมายของมันต่อ ด้วยความกระหายใคร่รู้ และในเวลาต่อมาได้เปิดกล่องนั้นออกมาด้วยความตื่นเต้น จิตวิญญาณของข้าพเจ้าในขณะนั้นมันตื่นตัวอย่างสุดๆ
“ ในกล่องนั้นเต็มไปด้วยเรื่องราวที่มากมายเกี่ยวกับตัวของเรา ” และคุณก็จะพบกับกล่องนั้นเมื่อคุณเข้าใกล้ความจริง
จงก้าวเดินต่อไป และจับมือฉันให้แน่นๆ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น