...+

วันเสาร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ไปที่ชอบชอบ.................เถอะนะ


                   

                      คำว่าที่ชอบชอบนั้น ผู้คนมักจะพูดกันเมื่อได้ยินข่าวร้ายหรือข่าวการตายของคนที่รู้จัก หรือไม่ก็เห็นศพแล้วเกิดรู้สึกอนาถใจ ไม่ก็พูดในงานศพพี่น้องพ้องเพื่อน ให้ไปที่ชอบๆคือให้ไปสู่สุคติหรือภพภูมิที่ดี ที่คนเชื่อหรือถูกฝังใจว่าดี
                    แต่สำหรับผู้ที่ยังคงกระพันเวียนว่ายในโลกนั้น ที่ชอบๆหมายถึงสถานที่ บุคคล ตัวตนหรือแม้แต่ที่มีวัตถุของการแสวงหาแห่งตน เพื่อให้กายและใจนี้ได้เกิดสุขเวทนาหรือมีความรู้สึกว่ามีความสุข อันเป็นเป้าหมายของมวลมนุษย์ทั้งหลาย
                   ตัวอย่างที่พอจะยกให้เห็นในบทความนี้ก็คือคำอวยพรที่ผู้อวยพรพูดให้กับผู้รับพร ก็มักจะอวยพรให้มีความสุข คำว่าสุขซึ่งเป็นที่ชอบๆของคนทั้งหลาย อาจหมายรวมถึง ลาภ ยศ สรรเสริญ สุขหรือโลกธรรมสี่ส่วนอีกด้านหนึ่งที่เป็นตรงกันข้ามคือเสื่อมลาภ เสื่อมยศ  นินทา หรือทุกข์ คงจะไม่มีใครอวยพรให้กัน ความสุขยังหมายรวมถึงสุขเพราะเหตุอื่นๆอีกมากมาย
                   ที่ชอบๆของผู้คนบางกลุ่มก็อาจจะเป็นสถานเริงรมย์ ไม่ว่าจะเป็นโรงภาพยนตร์ ห้างสรรพสินค้า ร้านเหล้า โรงอาบอบนวด หรือสถานบริการของผู้ที่ชอบเที่ยวยามค่ำคืน หรือแม้กระทั่งบ้านกิ๊ก
                   สุขเวทนาหรือความสุขนั้นเกิดจากความพอใจ รู้สึกชอบที่รับรู้ได้ทั้ง รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมมารมณ์อันหมายถึงความรู้สึกนึกคิด ที่ทำให้เกิดรู้สึกชอบหรือรักมันแล้วทำให้ใจฟูมีความสุข
                   รูปที่สวยงาม เสียงที่รื่นหู กลิ่นที่หอมหวลรัญจวนใจ รสอร่อยที่ปลายลิ้น สัมผัสอ่อน นุ่ม หยุ่น แข็ง หรือความคิดเห็นที่ถูกใจ ที่เกิดจากการสัมผัสที่เรียกว่าผัสสะนั้นแหละ
                   ความรู้สึกเสียวซ่านทางกายหรือทางใจ ก็มาจากผัสสะนี้ ไม่ว่าจะกระทบที่ไหนๆก็ไปลงอยู่ที่ใจเรานี้
                   ที่ชอบๆในทางพุทธศาสนาหมายถึงสุขเวทนาอันเกิดจากเหตุที่กระทบดังกล่าวข้างต้น ไม่ใช่สวรรค์หรือวิมานอะไรที่ชอบพร่ำกันไป
                   แม้กระทั่งนักบวชที่แสวงหาโมกขธรรมหรือธรรมอันเป็นเครื่องหลุดพ้นทั้งหลาย ท่านก็มุ่งหาที่ชอบๆหรือที่ๆสงบ จึงปลีกกายเพื่อไปแสวงหาทีวิเวก เงียบสงัดจากความวุ่นวายทางโลก ไม่ว่าจะเป็น ทะเล ภูเขาหรือในป่า หากท่านยังไม่สงบท่านก็ยังไม่ถึงที่หมายยังไม่ได้ไปถึงที่ชอบๆ
                    เพราะความเบื่อของท่านยังเป็นความเบื่อแบบมิจฉาทิษฐิคือเบื่อในอารมณ์นั้นอารมณ์นี้ แต่ยังไม่ได้เบื่อกิเลสอย่างเห็นจริง หากท่านเบื่อกิเลสแล้วความเบื่อของท่านเป็นสัมมาทิษฐิหรือความเห็นถูก ที่เรียกว่านิพพิทาที่เบื่อหน่ายคลายกำหนัดจากวัตถุกามทั้งหลาย
                    การเดินทางของนักบวชที่ยังไม่ถึงความสงบหรือที่ชอบๆนั้น ก็เหมือนคนทั่วๆไปที่เดินทางไปไหน หากยังไม่ถึงบ้านก็ยังไม่รู้สึกว่าสบาย จนกว่าจะไปถึงบ้าน แล้วก็ทิ้งบาตสึก
                    สมเด็จพระบรมศาสดาทรงตรัสสอนไว้ว่า" ธรรมทั้งหลายเกิดแต่เหตุ จึงเป็นผล เหตุดับผลจึงดับ "
                    เวทนานั้นมีทั้งสุขที่ชอบๆ แต่ทุกข์คือที่ๆไม่มีใครชอบเอาเสียเลย แต่ในความเป็นจริงแล้ว โลกล้วนเต็มไปด้วยความทกข์ที่เกิดจากความอยากในสุขเวทนาเท่านั้นเอง
                    สมเด็จพระบรมศาสดาทรงตรัสสอนให้เหล่าพุทธบริษัทฯให้สำรวมในอินทรีย์สังวรศีล คือให้สำรวมใน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนี้ที่เป็นเหตุแห่งการเกิดทุกข์เวทนา เมื่อกระทบสิ่งใดเวทนาใดๆเกิดขึ้น ชอบหรือไม่ชอบ ทุกข์หรือสุขก็ให้เรารู้ให้เราเข้าใจ
                    หากเข้าใจความจริงแท้ในเวทนานั้นแล้ว ทุกข์ก็จะลดลงและลดลงไปเหลือแต่ความสงบ และความสุขอันประณีตที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆตามขั้นแห่งความสงบทางใจที่มีศีล สมาธิ ปัญญาครบถ้วนที่พัฒนาจากความศรัทธาในศักยภาพแห่งตนที่เรียกว่า"ตถาคตโพธิสัทธา "
                    ที่ชอบๆแห่งนักบวชจึงเป็นที่รู้ความจริงแจ้งแห่งเวทนาสุขทุกข์แล้ว ตระหนักรู้ความจริงแห่งสัมผัสหรือผัสสะทั้งหลาย เห็นทุกข์เห็นความจริงทั้งปวง เห็นว่าอุปทานหรือความยึดติดเป็นภพ แล้วละเสียได้ในความสงบแห่งปัญญานั้น
                    กายนี้มีระยะแห่งความเสื่อม เป็นเครื่องมือที่จะพัฒนาศักยภาพแห่งใจ( ผู้รู้)ให้สูงขึ้น ประณีตขึ้น ไม่หยาบกระด้าง เพื่อหนทางแห่งโพธิญาณที่ตื่นรู้ เบิกบานในธรรมทั้งหลายอย่างแท้จริง
                    ขอท่านทั้งหลายอย่าอยู่ในความประมาทกันเลยกับกายที่เสื่อมลงไปทุกเวลา เพื่อไปสู่ที่ชอบๆอันแท้จริง......................  เอวัง
                                                 
                                                    ธรรมะสวัสดี

                                                    อนาคาริก

                     ชอบหรือไม่ชอบ สุขหรือทุกข์ในชีวิตที่ก้าวเดินอย่างไม่เคยหยุดสักวินาทีหนึ่ง ทุกย่างก้าวหากมีสติรู้ตัวอยู่เนืองๆ
                     แล้วเห็นความจริงแท้ดังที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์เมตตาพร่ำสอนอยู่เสมอและปฎิบัติให้ดูเป็นเยี่ยงอย่าง และหากได้ปฎิบัติเองจนเห็นจริงแล้ว เหมือนคำว่าอิ่มหนึ่งของคนทุกคน ไม่ว่าจะอิ่มแบบไหนก็เหมือนกัน
                     พระอาจารย์ชยสาโร เคยสอนไว้ว่าไม่จำเป็นต้องปฎิบัติชอบอะไรนักหรอก หากชอบปฎิบัติก็จะปฎิบัติชอบในที่สุด
                     ขออนุโมทนาและสาธุการแด่ท่านอนาคาริก ว่างๆเขียนมาใหม่และขอให้เจอที่ชอบๆอย่างเร็วไวครับ

                                                               แทนสะมะชัยโย
                                 
                    หมายเหตุแก่นธรรม
                   1. ขอขอบพระคูณเรื่องราวและรูปที่ท่านเผยแพร่ทางเน็ทเป็นธรรมทานครับ
                   2. ผู้เขียนและคณะเป็นผู้เขลาทางปัญญา หากมีข้อผิดพลาดบกพร่อง ขอน้อมรับทุกประการ บุญกุศลที่เกิดจากบทความนี้ขอน้อมถวายแด่หลวงปู่ หลวงตา หลวงพ่อ ครูบาอาจารย์ และอุทิศให้แก่บรรพบุรุษ อันมีพ่อแม่ปู่ย่าตายายเป็นปฐม เจ้ากรรมนายเวร สรรพสัตว์ทั้งหลายในสากลโลกนี้ รวมทั้งท่านผู้อ่านทุกท่าน ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป อ่านต่อ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น