...+

วันศุกร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2556

นิทานเรื่องยายผู้ไม่ยินดีในวิมาน




มีนิทานเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องของยายคนหนึ่งแกทำบุญสร้างโบสถ์ วิหาร สร้างวัด ให้ทานแก่บุคคล ถวายเครื่องอุปโภค บริโภคแด่พระสงฆ์จำนวนมาก

มีครั้งหนึ่งเทวดาท่านดลบันดาลให้ยายได้เห็นวิมาน อาหารที่เป็นทิพย์ พร้อมทั้งบริวารที่รอยายอยู่บนสวรรค์ และบอกกับยายว่านี่คือวิมานของยาย นี่คืออาหารของยาย นี่คือบริวารของยาย

เมื่อยายตายโลกมนุษย์แล้ว วิมานนี้ อาหารนี้ พร้อมทั้งบริวารเหล่านี้จะเป็นของยาย ด้วยหวังจะให้ยายยินดี แต่ยายกลับไม่ได้รู้สึกยินดีกับวิมาน อาหาร พร้อมทั้งบริวารเหล่านั้นเลย

เพราะยายเข้าใจในพระธรรม รู้ซึ้งในพระธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างดี ยายเห็นความ"ไม่เที่ยง" ยายเห็นว่าแม้แต่พรหมชั้นสูงสุดที่มีอายุยาวนานถึง ๘๔,๐๐๐ มหากัป

พระพุทธเจ้าท่านก็เรียกว่า “ท่านผู้มีอายุ" คือยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไปเมื่อหมดอายุก็ต้องจุติ(ดับ,ตาย)จากภพนั้นและมีกำเนิดในภพอื่นต่อไป ยายเห็นว่าความสุขนั้นเป็น "วิปรินามธรรม ที่สามารถแปรเปลี่ยนกลับเป็นทุกข์ได้"

ยายรู้ดีว่าบุญที่ยายทำนั้นจะเป็นเครื่องนำไปสู่สุคติสวรรค์ และยายอาจจะได้เสวยสุขอยู่บนสวรรค์ชั่วอายุหนึ่ง อาจจะสัก ๒๕๐๐ ปี แต่เมื่อหมดอายุจากภพนั้นแล้ว ยายกลัวว่ายายอาจจะได้มาเกิดเป็นมนุษย์ในสมัยกลียุค เป็นยุคที่โลกมนุษย์มีแต่ความทุกข์ยากลำบาก เป็นยุคที่ไม่มีธรรมะของพระพุทธเจ้าอยู่แล้ว เป็นยุคที่พุทธศาสนาครบ ๕๐๐๐ ปีแล้ว

ศาสนาพุทธเสื่อมไปแล้วตามที่พระพุทธเจ้าท่านทรงพยากรณ์ไว้ ยายกลัวว่าจะประสบกับความทุกข์ในช่วงสมัยนั้น กลัวว่าจะไม่ได้พบกับสัจจธรรมในช่วงสมัยนั้น ยายจึงไม่รู้สึกยินดีในวิมาน อาหาร พร้อมทั้งบริวารเหล่านั้น


เมื่อเห็นในทุกข์อันเกิดจากภพ ยายจึงไม่ปรารถนาในภพ ยายปรารถนาที่จะออกจากภพ จึงเพียรศึกษาพระธรรม เพียรปฏิบัติตามองค์มรรควิธี เพื่อให้ถึงซึ่งความดับแห่งภพ

เวลาที่ยายทำบุญบริจาคทาน ยายก็ไม่ปรารถนาในภพ ไม่ปรารถนาว่าจะได้ไปสู่วิมาน อาหาร พร้อมทั้งบริวารในภพใดๆ เพราะยายรู้ดีว่านั่นคือ "ภวตัณหา"(ยินดีติดใจในภพ) ยายทำบุญบริจาคทานก็เพราะยายเพียรพยายามที่จะทำให้โลภะเบาบางลง


ยายรู้ว่าการทำบุญบริจาคทานเพื่อที่จะขจัดโลภะนี้คือกุศลที่มีอานิสงส์มากกว่าบุญ ไม่ใช่เป็นแค่บุญ เพราะการทำบุญอย่างเดียวไม่อาจทำให้ยายหลุดพ้นได้ แต่กุศลคือสิ่งที่ทำให้ยาย คิด พูด และกระทำสิ่งใดๆอย่างฉลาด รู้เท่าทัน โลภะ โทสะ โมหะ ต่างหากจะทำให้ยายหลุดพ้นได้

นอกจากนี้ ยายยังได้เพียรเจริญเมตตาธรรมก็เพื่อที่จะทำให้โทสะเบาบางลง เพื่อขจัดโทสะให้สิ้นไป ยายเพียรทำจิตให้ผ่องใสควรแก่งาน เพื่อน้อมไปสู่วิชชา ๓ เพื่อความสิ้นอาสวะ เพื่อละสังโยชน์ทั้ง ๑๐ ให้ได้(เครื่องร้อยรัดสัตว์๑๐ อย่างให้วนเวียนอยู่ในวัฏฏะ)


"เพื่อบรรลุโสดาบันในชาตินี้ ซึ่งจะไม่มีความเสื่อมลงได้อีก เพื่อบรรลุสกทาคามีในชาตินี้ ซึ่งจะกลับมาเกิดในโลกนี้อีกเพียงครั้งเดียวก็จะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ เพื่อบรรลุอนาคามีในชาตินี้ ซึ่งจะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ในสวรรค์ชั้นพรหมสุทธาวาส ไม่กลับมาเกิดในโลกนี้อีก เพื่อบรรลุอรหันต์นิพพานในชาตินี้"


เพราะจุดมุ่งหมายของยาย คือปรมัตถประโยชน์ คือ ประโยชน์อย่างยิ่ง คือ นิพพาน


ยายเพียรทำอยู่อย่างนี้โดยที่ยายไม่ได้คำนึงถึง ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ คือประโยชน์ในปัจจุบัน และสัมปรายิกัตถประโยชน์ คือ ประโยชน์ในภายหน้าเลย


"เพราะยายรู้ดีว่า ประโยชน์สองอย่างนี้ยายจะพึงมีพึงได้อยู่แล้วจากการกระทำที่ดีเป็นบุญเป็นกุศลในปัจจุบันของยายโดยไม่จำเป็นต้องเพ่งเล็งขวนขวาย นี่คือจุดมุ่งหมายของยายผู้ไม่ยินดีในวิมาน อาหาร พร้อมทั้งบริวาร ในสุคติภพใดๆ"


และยายได้กล่าวภาษิตฝากถึงผู้ที่ยังปรารภนาในประโยชน์ว่า


“ ผู้ไม่เห็นในทุกข์

ย่อมไม่ปรารถนาที่จะออกจากทุกข์

ผู้ไม่เห็นในคุณของพระนิพพาน

ย่อมไม่ปรารถนาปรมัตถประโยชน์

ผู้ไม่เห็นในปรมัตถประโยชน์

ย่อมไม่ปรารภความเพียร"

1 ความคิดเห็น: