...+

วันอังคารที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

เชิญร่วมปฏิบัติธรรม วันอาสาฬหบูชา กับหลักสูตร "อิ่มเอมใจ-กาย" ในวันที่ 2 สิงหาคม 2555 นี้

    เชิญร่วมปฏิบัติธรรม วันอาสาฬหบูชา
    กับหลักสูตร "อิ่มเอมใจ-กาย"
    
    ในวันที่ 2 สิงหาคม 2555 นี้


             เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา และเจริญกุศลร่วมกัน ณ อาคาลพิศาลพร (ชั้น4) ตรงข้ามเซ็นทรัลพระราม 2 กรุงเทพฯ  ซึ่งถือเป็นการฝึกอบรมพิเศษที่จัดขึ้น เพื่อให้ผู้ที่สนใจได้เข้าร่วมปฏิบัติธรรมในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา โดยมีกำหนดการ ดังนี้

      08.30 น.           เริ่มลงทะเบียนผู้ปฏิบัติ

      09.00 น.           แนะนำการปฏิบัติ สำหรับผู้ไม่มีพื้นฐาน, ร่วมกันสวดมนต์ ทำวัตรเช้า,   

                           เจริญพระคาถาธััมมจักรกัปปวัตตนสูตร, สวดบทเจริญพุทธคุณ,

                           ปฏิบัติบูชา,  ฟังธรรมบรรยาย

    11.20 น.           พักรับประทานอาหารกลางวัน

    12.30 น.           ชมภาพยนต์เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า, ร่วมกันเจริญ พุทธชัยมงคลคาถา,

                           พระพุทธคุณร้อยบท, คาถาบูชาพระ(คาถามหาจักรพรรดิ) ของหลวงปู่ดู่ 19 จบ,

                           พระคาถาชินบัญชร, บทสรรเสริญพระพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ

                           (ทำนองสรภัญญะ), เจริญเมตตา, ปฏิบัติบูชา, ฟังธรรมบรรยาย, 

                           ฝึกสติในอิริยาบถต่างๆ,  ยืดกล้ามเนื้อ (ตันเถียนโยคะ)
    16.30 น.           เดินทางกลับ



    หมายเหตุ :  ผู้สนใจ เข้าร่วมโปรดแจ้ง เพื่อการเตรียมอาหาร

                      กรุณาโทรแจ้งที่ 02-416-8002-4 กด 0 หรือ 02-895-7555
                           (ผู้ที่ต้องการนำอาหารมาร่วมบริจาค โปรดแจ้งด้วยค่ะ)


--

*ขอบคุณค่ะ*

ไนยการ สุบานงาม (น้องแอ้ม)
เจ้าหน้าที่ประสานงาน หลักสูตร "อิ่มเอมใจ-กาย"
โทร. 02-416-8002-4 ,02-895-7555

เชิญร่วมอบรมการดูแลจิตใจผู้ป่วยเรื้อรังและระยะสุดท้าย วันที่ 18 สิงหาคมนี้




 เครือข่ายพุทธิกา ขอเชิญบุคคลทั่วไปและอาสาสมัคร
อบรมการดูแลจิตใจผู้ป่วยเรื้อรังและระยะสุดท้าย
วันที่ 18 สิงหาคม 2555 
กลุ่มผู้ป่วยโรคมะเร็งเรื้อรัง หรือผู้ที่เจ็บป่วยด้วยโรคระยะสุดท้ายทั้งในโรงพยาบาลหรือที่บ้าน ไม่ได้ต้องการการรักษาทางกายจากแพทย์เท่านั้น หากยังต้องยังต้องการกำลังใจ การรับฟังและความเข้าใจ หากคนใกล้ชิดมีความเข้าใจและดูแลได้อย่างเหมาะสม ก็สามารถทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ทั้งทางกาย ใจ และจิตวิญญาณ อันจะไปสู่การใช้ชีวิตในช่วงสุดท้ายอย่างสงบผ่อนคลาย ด้วยเหตุนี้ เครือข่ายพุทธิกาและองค์กรภาคี  จึงอยากเชิญชวนผู้สนใจ ผู้ดูแลผู้ป่วย อาสาสมัคร เข้าฟังการบรรยายเพื่อทำความเข้าใจหลักการพื้นฐานและทักษะการดูแลทางด้านจิตใจผู้ป่วยเรื้อรังและระยะสุดท้าย 

เนื้อหาการอบรม

1.      ความเข้าใจการดูแลผู้ป่วยเรื้อรังและระยะสุดท้าย คืออะไร มีความสำคัญอย่างไร

2.      หลักการพื้นฐานและทักษะการดูแลทางด้านจิตใจผู้ป่วยเรื้อรังและระยะสุดท้าย

3.      บทบาทในการช่วยเหลือและเยียวยาจิตใจผู้ป่วยเรื้อรังและระยะสุดท้าย

4.      ทักษะการรับฟังอย่างลึกซึ้ง

จัดโดย
โครงการเผชิญความตายอย่างสงบ เครือข่ายพุทธิกา ร่วมกับ
ชมรมบริบาลผู้ป่วยระยะท้ายแห่งประเทศไทย
และหน่วยการุณรักษ์ (Palliative Care Unit) รพ.ศรีนครินทร์ ขอนแก่น

วันที่
เสาร์ที่ 18 สิงหาคม 2555 เวลา 08.30-17.00 น.

สถานที่
ห้องประชุมใหญ่ ตึกภปรชั้น 18 โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์

วิทยากร
พญ.ศรีเวียง ไพโรจน์กุล วรรณา จารุสมบูรณ์ และเพ็รชลดา ซึ้งจิตสิริโรจน์

เหมาะสำหรับ
คนที่มีผู้ป่วยอยู่ในบ้าน ผู้ดูแลผู้ป่วย อาสาสมัครดูแลผู้ป่วย และผู้สนใจทั่วไป

วิธีสมัคร
โทรศัพท์เพื่อสำรองที่นั่ง โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

สำรองที่นั่ง
เครือข่ายพุทธิกา เนตรประวีณ์ อัมรนันทน์  โทร. 02-882-4387 085-242-1096

หมายเหตุ
การอบรมไม่มีอาหารว่างและอาหารกลางวัน

การเป็นอยู่เหนือโลก

ดวงตาเห็นธรรม (ตอนที่ ๖)
พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท) วัดหนองป่าพง อุบลราชธานี

การเป็นอยู่เหนือโลก
สมเด็จพระบรมศาสดาท่านจึงตรัสว่า พระอรหันต์ทั้งหลาย นั้นไกลกิเลส ความจริงแล้วไม่ใช่ว่าท่านจะไปไกลไปไหน ไม่ใช่ว่าท่าน จะหนีไปจากกิเลส ไม่ใช่ว่ากิเลสจะหนีไปจากท่าน มันมีอยู่อย่างนั้น แหละ มีอยู่อย่างนั้น ท่านจึงเปรียบเสมือนกับ น้ำกับใบบัว ใบบัวก็อยู่ ในน้ำ น้ำก็อยู่กับใบบัว ถึงแม้ใบบัวกับน้ำจะอยู่ด้วยกันก็จริง เมื่อน้ำ กระเด็นขึ้นมาบนใบบัว น้ำก็กลิ้งถูกันอยู่เหมือนกัน แต่น้ำไม่สามารถ ซึมซาบเข้าไปในใบบัวได้
กิเลสทั้งหลายก็เปรียบเสมือนน้ำ จิตของผู้ประพฤติปฏิบัติก็ คือใบบัว ถูกกันอยู่ไม่หนีไปไหน แต่ว่าไม่ซึมซาบเข้าไป จิตของพระ โยคาวจรเจ้า ผู้ปฏิบัติก็เหมือนกัน ไม่ได้หนีไปไหน อยู่ที่นั่นแหละ ความดีมาก็รู้ ความชั่วมาก็รู้ ความสุขมาก็รู้ ความทุกข์มาก็รู้ ความ ชอบมาก็รู้ ความไม่ชอบมาก็รู้ รู้หมด รู้หมดอยู่ที่นั่น แต่ว่าท่านรับ ทราบไว้เฉยๆ มันไม่ได้เข้าไปในจิตของท่าน เรียกว่าไม่มีอุปาทาน เป็นผู้รับทราบไว้เรื่อยๆ ๆ ๆ ไป
อาการที่ท่านรับทราบไว้นั้น ก็อย่างที่ภาษาเราว่า รับทราบไว้ วางใจเป็นกลางๆ วางใจเป็นกลาง ตามภาษาสามัญว่ารับทราบไว้ คือไม่ไปแตะไปต้อง รับทราบไว้เฉยๆ อาการเช่นนี้เหล่านี้มีอยู่ตลอด กาลตลอดเวลา เพราะสิ่งเหล่านี้มันมีอยู่ในโลก มันมีโลก พระพุทธ เจ้าท่านก็ตรัสรู้อยู่ในโลก ท่านเอาอาการของโลกนี้ไปพิจารณา ถ้า ท่านไม่พิจารณาก็ไม่เห็นโลก ท่านก็จะอยู่เหนือโลกไม่ได้
ฉะนั้น องค์พระบรมครูของเรา ตรัสรู้ก็ด้วยเอาเรื่องของโลกนี้ แหละมารู้เท่าโลกนี่เอง โลกก็ยังมีอยู่อย่างนั้น ลาภก็มี เสื่อมลาภก็มี ยศก็มี เสื่อมยศก็มี สรรเสริญก็มี สุขก็มี ทุกข์ก็มี นินทาก็มี (หมายเหตุ 10) ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้ก็ไม่มีอะไรจะตรัสรู้
เมื่อท่านตรัสรู้ตามเป็นจริงแล้ว คือรู้โลกนี้ โลกธรรม ธรรมอัน ครอบงำสัตว์โลกอยู่ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามธรรม ครอบหัวใจสัตว์ ครอบหัวใจคน มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ สรรเสริญ สุข ทุกข์ นินทา เป็นของโลก
ถ้าหากว่าใจมนุษย์ทั้งหลายเป็นไปตามอำนาจ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ทุกข์ เป็นไปตามอำนาจของมัน นั่นแหละคือโลก ท่าน จึงเรียกว่า โลกธรรม โลกธรรมเป็นธรรมอันหนึ่ง ทำให้มองไม่เห็นทาง มรรคแปดที่จะเดินไปหาทางพ้นทุกข์นั้น มีแต่โลกท่วมหัวอยู่นี่ ชื่อว่า สัตว์โลกเป็นไปตามธรรม ธรรมนั้นมันให้สัตว์เป็นโลก โลกก็เดินไป ตามธรรมนั้น มันจึงเป็นโลกธรรม ผู้อยู่ในโลกธรรมคือเป็นสัตว์โลก วุ่นวายอยู่ตลอดกาลตลอดเวลา
ฉะนั้นในการประพฤติหรือปฏิบัติในทางพระพุทธศาสนา ท่านจึงสอนว่า ให้เจริญมรรคคือตัวปัญญา รวมแล้วคือ ปฏิบัติศีลให้ มันยิ่ง สมาธิให้มันยิ่ง ปัญญาให้มันยิ่ง นี่คือเครื่องทำลายโลก นี่ หนทางเดินเข้าไปทำลายโลก โลกมันอยู่ที่ไหนล่ะทีนี้ โลกมันอยู่ที่ใจ ของสัตว์ที่ลุ่มหลงนั่นแหละ อาการที่มันติดลาภ ติดยศ ติดสรรเสริญ ติดสุข ติดทุกข์ นั่นแหละ เมื่อมีอยู่ในใจเมื่อใด ใจก็เป็นโลก เมื่อใจ เป็นโลก อยู่ที่ไหนโลกก็อยู่ที่นั่นแหละ
หลวงปู่พจนารถ โอภาโส

สธ.สงขลา ขอความร่วมมือเร่งทำความสะอาดของเล่นเด็ก อุปกรณ์ของใช้ และบริเวณที่เด็กส่วนใหญ่มีโอกาสสัมผัส เพื่อลดการติดต่อของโรคมือ เท้า ปาก


by ฝ่ายสุขศึกษาประชาสัมพันธ์และประสานเครือข่ายพันธมิตรสุขภาพ สำนักงานสาธารณสุขจังหว
น.พ.ศิริชัย ลีวรรณนภาใส นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสงขลา ได้เปิดเผยว่า เชื้อไวรัสโรคมือเท้าปาก มีโอกาสแพร่กระจายจากน้ำมูก น้ำลาย น้ำจากตุ่มพอง และอุจจาระของเด็ก ที่ป่วยไปสู่เด็กคนอื่น จากมือที่สัมผัสและการปนเปื้อนในอาหาร เครื่องดื่ม แล้วเข้าสู่ปาก จึงต้องเน้นมาตรการป้องกันโรคด้วย การกินอาหารสุกใหม่ ใช้ช้อนกลาง ล้างมือบ่อยๆ และการทำความสะอาดของเล่นเด็ก อุปกรณ์เครื่องใช้ และบริเวณที่เด็กมีโอกาสสัมผัส อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ นอกจากนี้พ่อแม่ผู้ปกครองต้องร่วมมือในการเฝ้าระวังป้องกันโรคร่วมกับทางโรงเรียน ศูนย์เด็กเล็ก โดยการหมั่นสังเกตอาการผิดปกติของลูกในระยะนี้ โดยเฉพาะ เด็กทารกและเด็กเล็กที่อายุต่ำกว่า 5 ปี หากมีอาการไข้ มีตุ่มในปากและส่วนอื่นๆของร่างกาย ขอให้หยุดเรียนทันที เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรคไปสู่เด็กอื่นๆในโรงเรียน และหากเด็กมีอาการรุนแรงขึ้น เช่น ซึมลง ไม่ยอมกินอาหาร ไม่ดื่มน้ำ ต้องรีบพาไปพบแพทย์ทันที นพ.ศิริชัย ลีวรรณนภาใส ได้กล่าวย้ำว่า โรคมือเท้าปากโดยทั่วไปอาการไม่รุนแรง เด็กจะหายเป็นปกติภายใน 7 – 10 วัน แต่ควรระมัดระวังป้องกันเป็นพิเศษโดยเฉพาะในเด็กที่มีโรคหอบหืด เด็กทารกมีน้ำหนักตัวน้อย ไม่แข็งแรง หรือเด็กที่มีโรคประจำตัว ซึ่งร่างกายมีความอ่อนแอกว่าเด็กทั่วไป ส่วนการป้องกันโรคทั่วไปนั้น ขอให้เน้นเรื่องการรักษาความสะอาด ดูแลเรื่องสุขวิทยาส่วนบุคคล โดยเฉพาะการล้างมือด้วยน้ำและสบู่ให้สะอาดก่อน กินอาหาร และหลังขับถ่ายทุกครั้ง กินอาหารที่ร้อนสุกใหม่ ไม่ใช้แก้วน้ำ หลอดดูดและของใช้ส่วนตัวร่วมกับคนอื่นๆ และไม่ควรพาเด็กไปในสถานที่แออัดที่มีคนอยู่กันจำนวนมากๆ สำหรับสถานการณ์โรคมือเท้าปากของจังหวัดสงขลา ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 26 ก.ค.2555 มีรายงานผู้ป่วยโรคมือเท้าปาก จำนวน 392 ราย คิดเป็นอัตราป่วยต่อประชากรแสนคน เท่ากับ 31.98 ผู้ป่วยส่วนใหญ่อายุต่ำกว่า 4 ปี (ร้อยละ 90.3) และพบกระจายทุกอำเภอ อย่างไรก็ตามขอให้ประชาชนป้องกันโรคมือเท้าปากอย่างต่อเนื่อง ด้วยการปฏิบัติตามมาตรการ “กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ” และทำความสะอาดสถานที่ที่เด็กอยู่รวมกันและสถานที่สาธารณะอย่างต่อเนื่อง *****นายทีปวัฑฒ์ มีแสง รายงาน /30 ก.ค.2555

กลุ่มการพยาบาล รพ.สรรพสิทธิประสงค์ จัดทำแผนปฏิบัติการโครงการพัฒนาฯ ประจำปีงบประมาณ 2556


by กลุ่มงานสุขศึกษาและประชาสัมพันธ์ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์

 เมื่อระหว่างวันที่ 26-27 กรกฎาคม 2555  กลุ่มการพยาบาล โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ โดยนางวันเพ็ญ ดวงมาลา รองผู้อำนวยการฝ่ายการพยาบาลและหัวหน้าพยาบาล โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ได้นำหัวหน้างานหอผู้ป่วยและหัวหน้าหอผู้ป่วย ทั้งหมดในโรงพยาบาลจำนวนกว่า 120 คน  จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ ,การจัดทำแผนปฏิบัติการ/โครงการพัฒนากลุ่มการพยาบาลประจำปีงบประมาณ 2556  ณ ห้องประชุม เขื่อนสิรินธร อำเภอสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี  เพื่อวางแผนจัดทำโครงการพัฒนาของกลุ่มการพยาบาล

ข่าว วิชิราภรณ์ /ภาพ ปัทมา

บรรณาธิการ : นพ.มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์ รองผู้อำนวยการฝ่ายกิจการพิเศษ


ติดตามข่าวอื่นได้ทาง http://www.sappasit.go.th/sappasit/

รพ.นครพนม จัดพิธีทำบุญตักบาตร ถือศีล5 ลด ละ เลิก อบายมุข เข้าพรรษา


by สำนักสารนิเทศ

นายแพทย์ สมคิด สุริยะเลิศ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลนครพนม พร้อมด้วย แพทย์ พยาบาล และ เจ้าหน้าที่ ร่วมทำบุญ ตักบาตร ข้าวสาร อาหารแห้ง พร้อมทั้งถวาย เทียนพรรษา และผ้าอาบน้ำฝน แด่พระภิกษุสงฆ์ จำนวน9รูป นำโดย พระบวรปริยัติกิจ รองเจ้าคณะจังหวัดนครพนม เจ้าอาวาส วัดสว่างสุวรรณาราม เป็นประธานสงฆ์ เนื่องในเทศกาลเข้าพรรษา ซึ่งโรงพยาบาลนครพนม จัดขึ้น ณ บริเวณศาลามิตรภาพ ภายในโรงพยาบาลนครพนม เพื่อให้แพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ ของโรงพยาบาลนครพนม ได้ถือศีลบำเพ็ญภาวนา ในช่วงตลอดฤดูกาลเข้าพรรษา3เดือน โดยจัดพิธีให้ เจ้าหน้าที่กล่าวคำปฏิญาณตน และพิธีลงนามปฏิญาณตน ว่าจะงดเหล้า เข้าพรรษา ในช่วง3เดือน ตลอดฤดูกาลเข้าพรรษา เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ และในโอกาสนี้ พระบวรปริยัติกิจ รองเจ้าคณะจังหวัดนครพนม เจ้าอาวาสวัดสว่างสุวรรณาราม ประธานสงฆ์ ได้กล่าวสัมโมทนียคถา ให้พุทธศาสนิกชน ถือปฏิบัติรักษาศีล5 ตลอดฤดูกาลเข้าพรรษา (เมื่อ 27 กค.55 ณ ศาลามิตรภาพ รพ.นครพนม)

สคร.2 จังหวัดสระบุรี ดึงสื่อมวลชนชัยนาทถกเพื่อนำเสนอข่าวสารป้องกันควมคุมโรคสู่ประชาชนอย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ


by งานสารนิเทศและประชาสัมพันธ์ กลุ่มงานประกันสุขภาพ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดชัยนาท

 วันนี้(วันที่ 30 กรกฎาคม 2555) นายแพทย์รุ่งฤทัย  มวลประสิทธิ์พร  นายแพทย์เชี่ยวชาญ(ด้านเวชกรรมป้องกัน) สำนักงานสาารณสุขจังหวัดชัยนาท เปิดการประชุมการดำเนินงานและการสื่อมวลชนสัมพันธ์ เขตพื้นที่รับผิดชอบของ สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 2 จังหวัดสระบุรี ณ ห้องประชุมสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดชัยนาท โดยได้เชิญ กลุ่มงานควบคุมโรค, งานประชาสัมพันะธ์  สำนักงานสาารณสุขจังหวัดชัยนาท ,สำนักงานสาธารณสุขอำเภอ,รพสต.,สำนักงานการประถมศึกษา,เทศบาล องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น,สื่อมวลชน ร่วมอภิปราย ประชุมกลุ่มย่อยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ เพื่อการดำเนินงานเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร หาปัญหาและอุปสรรคต่างๆระหว่างนักสื่อสารสุขภาพ อันจะส่งผลให้เพิ่มศักยภาพการดำเนินงานรณรงค์ป้องกันและควบคุมโรคและภัยสุขภาพที่ีทั่วถึงและทันต่อเหตุการณ์ และประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารอย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ

สสจ.สุราษฎร์ธานี จัดการประกวดหมู่บ้านดีเด่นในการคัดเลือกหมู่บ้านปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพลดโรคฯ ระดับจังหวัด

by งานสุขศึกษาประชาสัมพันธ์ สสจ.สุราษฎร์ธานี

วันที่ 30 กรกฎาคม 2555 นายเชิดศักดิ์ ชูศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นประธานมอบรางวัลหมู่บ้านดีเด่นในการคัดเลือกหมู่บ้านปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพลดโรคฯ ระดับจังหวัด จัดโดย งานสุขศึกษาประชาสัมพันธ์ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยนายสามารถ สุเมธีวรศักดิ์ รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสุราษฎร์ธานี กล่าวรายนามอำเภอที่เข้ารับรางวัล ดังนี้
? รางวัลชนะเลิศ   คือ บ้านท่าหัก หมู่ที่ 3 ตำบลป่าเว อำเภอไชยา รับเกียรติบัตร และเงินรางวัล 30,000 บาท  

? รางวัลรองชนะเลิศอันดับหนึ่ง  คือ บ้านบางขนุน หมู่ที่ 2 ตำบลบ้านทำเนียบ อำเภอคีรีรัฐนิคม รับเกียรติบัตร และเงินรางวัล 20,000 บาท
     
? รางวัลรองชนะเลิศอันดับสอง  คือ บ้านคลองลำพลา หมู่ที่ 4 ตำบลเขานิพันธ์ อำเภอเวียงสระ รับเกียรติบัตร และเงินรางวัล  15,000 บาท
   
? รางวัลรองชนะเลิศอันดับสาม  คือ บ้านคลองนา หมู่ที่ 6 ตำบลท่าอุแท อำเภอกาญจนดิษฐ์   รับเกียรติบัตร และเงินรางวัล 10,000 บาท    
    

วันศุกร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

รับสั่ง ๖๐ ปี ทำหน้าที่คนไทย



"การทำนุบำรุงชาติ ไม่ใช่หน้าที่ของคนคนเดียว ต้องร่วมกันรับผิดชอบ"

พระราชดำรัสตอนหนึ่ง เนื่องในโอกาสทรงครองสิริราชสมบัติครบ๖๐ ปี

ข้าพเจ้ามีความยินดีที่ได้มาอยู่ในท่ามกลางบุคคลสำคัญ จากทุกสถาบันในชาติ รวมทั้งพระประมุข และพระราชวงศ์จากนานาประเทศ ที่มีไมตรีจิตเสด็จมาร่วมงานเฉลิมฉลองในโอกาสพิเศษนี้ ขอขอบใจท่านนายกรัฐมนตรีเป็นอย่างมากที่ได้อวยพรในนามของประชาชนชาวไทย และกล่าวถึงการปฏิบัติงาน รวมทั้งโครงการพัฒนาในด้านต่างๆ ของข้าพเจ้าตลอดระยะเวลา ๖๐ปี

ข้าพเจ้าใคร่จะกล่าวแก่ทุกท่านว่า การทำนุบำรุงประเทศชาตินั้น มิใช่เป็นหน้าที่ของผู้หนึ่งผู้ใดโดยเฉพาะ หากเป็นภาระความรับผิดชอบของคนไทยทุกคน ที่จะต้องขวนขวายกระทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด เพื่อธำรงรักษา และพัฒนาชาติบ้านเมืองให้เจริญมั่นคง และผาสุกร่มเย็น

ข้าพเจ้าในฐานะที่เป็นคนไทยคนหนึ่ง จึงมีภาระหน้าที่เช่นเดียวกันกับคนไทยทั้งมวล จึงขอขอบใจทุกๆ คน ที่ต่างพยายามกระทำหน้าที่ของตน ด้วยเต็มความกำลังความสามารถ และให้ความร่วมมือสนับสนุนข้าพเจ้าในภารกิจทั้งปวงด้วยดีตลอดมา

ทีี่มา:http://www.thaimonarchy.com/special.php?page_show=bestwish

สติ คือความไม่ประมาท (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)





อปฺปมาเทน อณฺณวํ
ความไม่ประมาท คือว่าไม่ลืมตัว
บุคคลจะพ้นจากมหรรณพภพสงสารได้ เพราะความไม่ประมาท

ความไม่ประมาทนั้นหมายถึง เรื่องจิตอันเดียว คือ มีสติไม่พลั้งเผลอหลงลืม อย่างเช่นเราเดินตามถนนหนทางไปไม่เพลินไม่หลงมัวเมา หมายถึงว่าเราต้องเดินด้วยความระมัดระวังกลัวรถจะชนเอา กลัวขโมยเขาจะมาตีชิงวิ่งราวอะไรต่างๆ อันนั้นเรียกว่าความไม่ประมาท ความไม่ประมาทนี้เป็นเหตุให้รักษาตัวได้

อย่างชั้นดีขึ้นไปกว่านั้นอีก ความไม่ประมาท
คือมีสติควบคุมจิตให้อยู่ในอำนาจของตน ไม่หลงพลั้งเผลอ
สติ คือความไม่ประมาทนี้ สามารถที่จะป้องกันภัยอันตรายหลายอย่าง
ป้องกันกิเลสไม่ให้เกิดขึ้นก็ได้ รักษากิเลสของตนก็ได้

ถ้าไม่เชื่อก็ลองคิดดู เราคิดจะทำลายคนอื่นเพราะเผลอสติ เมื่อมีสติตั้งมั่นแล้วไม่สามารถจะทำลายคนอื่นได้ เรามีสติอยู่ทุกเมื่อ ยืน เดิน นั่ง นอน ทุกอิริยาบถ นั่นแหละ คือความไม่ประมาท

ความไม่ประมาท คือมีสตินี้ แม้แต่ความเจ็บ ความปวด ความเมื่อยล้าสารพัดทุกอย่าง เอาสติตัวนั้นแหละไปควบคุม เอาสติไปมองดู เอาสติตัวนั้นแหละไปกำจัดหายไปเลย สติตั้งมั่นในที่ใดกิเลสเหล่านั้นต้องหายไปในที่นั้น ถ้าหากสติตั้งมั่นอยู่ทุกอิริยาบถ กิเลสมันก็ไม่เกิดเท่านั้นซี ทีนี้เราตั้งมั่นแต่ในขณะที่เราเจ็บปวด ในเวลาที่เราเมื่อยล้า เอาสติไปตั้งมั่นแล้วมันก็หายไป แต่พอมันหายไปแล้วก็ลืมสติอันนั้นเสีย มันก็เลยประมาทต่อไปอีก นั่นแหละจึงว่า อปฺปมาเทน อณฺณวํ

ครั้นเมื่อมี สติแล้วคราวนี้เกิด อุบายปัญญา คือรู้จักจิตของตน รู้จักว่าจิตคิดดีคิดชั่ว คิดหยาบคิดละเอียดรู้เท่ารู้ทันอยู่ตลอดเวลา นั่นเรียกว่าปัญญา ปัญญาในขั้นนี้ไม่ใช่ปัญญาวิปัสสนา แต่เป็นปัญญาที่รู้เท่ารู้ตัวของเราระมัดระวังไม่ให้กิเลสเกิดขึ้น ไม่ให้ทำความชั่ว ส่วนปัญญาวิปัสสนานั้นอีกอย่างหนึ่งต่างหาก ผู้ที่เจริญวิปัสสนามันต้องเกิดเองเป็นเอง เราต้องรักษาสติเรียกว่าไม่ประมาทเสียก่อน เมื่อรักษาสติตัวนี้แก่กล้าแล้วมันเกิดปัญญาของมันเองหรอก

ปัญญาวิปัสสนาไม่ได้ตั้งใจให้เกิดแต่เกิดเอง
(ปัญญาที่ตั้งใจเรียกว่าปัญญารักษาตัวเบื้องต้น)
ของมันเกิดเองเป็นเองจึงเป็นของอัศจรรย์นัก
เป็นของเหลือวิสัยที่มนุษย์ปุถุชนจะให้มันเกิดขึ้น

ปัญญาวิปัสสนาพิจารณาเห็น ไตรลักษณ์ชัดแจ่มแจ้งด้วยตนเอง
ไม่มีใครบอกใครสอนและไม่ต้องปรารมภ์ถึงเรื่องอะไรทั้งหมด
มันเป็นเอง ปัญญานั้นเป็นของสูงสุด

ปัญญาวิปัสสนาเป็นชั้นของพระอริยะเจ้า
ไม่ใช่ของที่จะเกิดบ่อยๆ และแต่ละชั้นๆ นั้น
(โสดาบัน สกทาคา อนาคามีและอรหันต์) ก็เกิดครั้งเดียว
ไม่ใช่เกิดได้ถึงสองสามครั้ง นั้นแหละคือปัญญาวิปัสสนาแท้

: ศรัทธา ความไม่ประมาทและความบริสุทธิ์หมดจด
: หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี แสดง ณ วัดหินหมากเป้ง อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย
: วันที่ ๑๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๔

คุณมีแม่แค่เพียงคนเดียว จงใช้เวลากับท่านให้คุ้มค่า


3ปี "รักแม่ที่สุดในโลก"
13ปี "แม่อ่ะจะงกไปไหน?"
15ปี "แม่อย่ามายุ่งได้ป่ะ บ่นอยู่นั่นแหละ"
18ปี "โอ๊ย ทนไม่ไหวแล้ววว จะอะไรนักหนา ไปอยู่ที่อื่นก็ได้วะ
25ปี "แม่หนูผิดไปแล้ว"
......30ปี "อยากกลับไปเยี่ยมแม่บ่อยๆจัง"
50ปี "แม่อย่าทิ้งหนูไปนะ"

คุณมีแม่แค่เพียงคนเดียว จงใช้เวลากับท่านให้คุ้มค่า
กด" Like"และ"แชร์ต่อ"เพื่ออวยพรให้แม่มี"ความสุข"ในวันแม่ที่จะถึงนี้ และในทุกๆวัน ..ตลอดไป

( Devil_Vampire / club4g.com )

รพ.สรรพสิทธิประสงค์ นำเครือข่าย CMU และ อสม. ในสังกัด เข้าร่วมอบรมการควบคุมยาสูบในชุมชน


by กลุ่มงานสุขศึกษาและประชาสัมพันธ์ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์
 เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2555  เวลา 08.00-16.00 น. นพ.มนัส กนกศิลป์ ผู้อำนวยการ รพ.สรรพสิทธิประสงค์ ได้มอบหมายให้ นางวันทนีย์ ทองหนุน พยาบาลวิชาชีพชำนาญการกลุ่มงานจิตเวชและผู้รับผิดชอบงานบุหรี่ รพ.สรรพสิทธิประสงค์ นำเครือข่ายผู้รับผิดชอบงานบุหรี่ใน  ศูนย์สุขภาพชุมชน (CMU) จำนวน 5 แห่ง และเจ้าหน้าที่อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน  (อสม.) ในสังกัด เข้าร่วมอบรม เรื่อง  การควบคุมยาสูบในชุมชนและการช่วยผู้ป่วยโรคเรื้อรังในชุมชนให้เลิกบุหรี่ ซึ่งจัดโดยมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่   ภายใต้โครงการโรงพยาบาลปลอดบุหรี่  :  ศูนย์กลางการแก้ปัญหาบุหรี่และสุขภาพระดับชุมชน  และขยายผลลงสู่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553 ณ ห้องแกรนบอลลูมซี โรงแรมลายทอง อ.เมือง จ.อุบลราชธานี  โดยการอบรมในครั้งนี้  เพื่อเป็นการพัฒนาศักยภาพผู้รับผิดชอบงานบุหรี่ใน CMU และ อสม. ในแต่ละพื้นที่ในด้านการช่วยคนให้เลิกสูบบุหรี่ในชุมชน  ทั้งยังเพื่อขยายเครือข่ายรณรงค์เพื่อช่วยให้คนเลิกสูบบุหรี่  สำหรับกิจกรรมในการอบรมประกอบด้วย การบรรยายเรื่อง ยาสูบกับโรคเรื้อรัง ,ถนน ปชต 5A กับการช่วยให้ผู้ป่วยโรคเรื้อรังในชุมชนเลิกยาสูบ โดย ผศ.กรองจิต วาทีสาธกกิจ   ที่ปรึกษามูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ , บทบาทของ รพ.สต. และ อสม. ในการควบคุมยาสูบในชุมชน โดย นางสาวบุษริน เพ็งบุญ และการแลกเปลี่ยนประสบการณ์การทำงานของแต่ละพื้นที่

ข่าว/ภาพ  วิชิราภรณ์
บรรณาธิการ : นพ.มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์ รองผู้อำนวยการฝ่ายกิจการพิเศษ
ติดตามข่าวอื่นได้ทาง http://www.sappasit.go.th/sappasit/

สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ(สพฉ.)จัดอบรมเรื่อง เกณฑ์และวิธีปฏิบัติการคัดแยกระดับความฉุกเฉิน


by ประชาสัมพันธ์โรงพยาบาลสระบุรี


น.พ.ชุติเดช ตาบ-องครักษ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสระบุรี เป็นประธานในพิธีเปิดการอบรม
เรื่อง เกณฑ์และวิธีปฏิบัติการคัดแยกระดับความฉุกเฉิน โดยสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ(สพฉ.)                                 สำหรับบุคลากรแพทย์/พยาบาลโรงพยาบาลทั่วประเทศ เพื่อพัฒนาแนวคิด ความรู้และทักษะการประเมิน
การคัดแยกระดับความฉุกเฉิน รวมถึงสามารถจัดลำดับการปฏิบัติการฉุกเฉินได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
วิทยากร ร.อ.น.พ.อัจฉริยะ แพงมา ผู้อำนวยการสำนักจัดระบบการแพทย์ฉุกเฉิน/ดร.ปวีณ ผู้เชี่ยวชาญสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ/น.พ.ชาติชาย คล้ายสุวรรณ แพทย์เวชศาตร์ฉุกเฉินโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศ/
ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ ผู้อำนวยการสำนักบริหารการชดเชยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ/
น.พ.รัฐพงษ์ บุรีวงษ์,พ.ญ.สุธาสินี เสนาสุ  แพทย์เวชศาตร์ฉุกเฉินโรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา
เมื่อวันที่ 25-27 กรกฎาคม 2555 ณ ห้องประชุมศิริพานิชโรงพยาบาลสระบุรี

โรงพยาบาลหาดใหญ่จัดงานทอดผ้าป่าการกุศล



by งานประชาสัมพันธ์ โรงพยาบาลหาดใหญ่


โรงพยาบาลหาดใหญ่ ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพทอดผ้าป่าการกุศล
เพื่อสมทบทุนจัดซื้อรถยนต์ตรวจการได้ยินเคลื่อนที่  ในวันที่ 19 สิงหาคม 2555
ตั้งแต่เวลา 09.00 – 12.00 น. ณ โรงพยาบาลหาดใหญ่

โรงพยาบาลพระปกเกล้า จังหวัดจันทบุรี จัดโครงการแลกเปลี่ยนถ่ายทอดเทคโนโลยี และประสบการณ์เพื่อพัฒนาศักยภาพ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป ปี 2555


โรงพยาบาลพระปกเกล้า จังหวัดจันทบุรี จัดโครงการแลกเปลี่ยนถ่ายทอดเทคโนโลยี และประสบการณ์เพื่อพัฒนาศักยภาพ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป ปี 2555
by งานประชาสัมพันธ์ โรงพยาบาลพระปกเกล้า
     วันนี้(27 กรกฎาคม 2555) เวลา 08.30 น. ณ ห้องประชุมรำไพพรรณี ชั้น 7 อาคารประชาธิปกศักดิเดชน์ โรงพยาบาลพระปกเกล้า โดยรองศาสตราจารย์(พิเศษ)นายแพทย์อัษฎา ตียพันธ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระปกเกล้า กล่าวต้อนรับคณะรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไปทั่วประเทศ เพื่อเข้าร่วมโครงการแลกเปลี่ยนถ่ายทอดเทคโนโลยี และประสบการณ์เพื่อพัฒนาศักยภาพ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป

     เนื่องจากสภาวะการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสังคมและเศรษฐกิจ รัฐบาลได้มุ่งเน้นการเพิ่มคุณภาพระบบหลักประกันสุขภาพ เพื่อให้ประชาชนได้รับบริการที่มีคุณภาพมาตรฐานทั่วถึงเป็นธรรม จึงได้จัดโครงการนี้ขึ้น เพื่อให้ผู้บริหารซึ่งเป็นรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไปทั่วประเทศได้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์การบริหารงานซึ่งกันและกัน เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในการบริหารงานในองค์กรต่อไป

เนื้อเพลง Lyric เพลง ดื้อ - พอล ภัทรพล (Be My Guest)


เนื้อเพลง Lyric เพลง ดื้อ - พอล ภัทรพล (Be My Guest)

ไม่รู้ว่าฉันคิดเองมากเกินไปรึเปล่า
คล้ายๆ ว่าเรากำลังห่างกันไปทุกที
ทั้งๆที่ฉันรักเธอก็นานมาหลายปี
ไม่เคยจะมีเรื่องราวบาดหมางในหัวใจ
ทุกครั้งที่ขอฉันยอมให้เธอหมดทุกอย่าง
ไม่คิดเหนี่ยวรั้งฉันยอมทุ่มเทหมดหัวใจ
แต่แล้ววันนี้ท่าทางของเธอดูแปลกไป
ไม่รู้จริงๆ เธอเป็นอย่างนี้เพราะอะไร

* อยากค้นหาคำตอบ แต่ใจก็ยังไม่กล้า
กลัวรู้ความจริงว่าเธอไม่มีเหลือใจ
อยากค้นหาทางออก หาทางที่จะแก้ไข
เพราะฉันยังรักเธอมาก กว่าจะยอมให้ใคร

** ฉันจะดื้อ ฉันจะเหนี่ยวรั้ง จะไม่ยอมหยุดยั้ง
รักเธอเป็นทางออกที่ฉันเลือก
จะรั้งไว้อย่างนี้ จะไม่มีเหตุผล
เพราะฉันก็แค่คน หนึ่งคน
ที่ไม่ยอมจะเสียเธอให้กับใคร

ถ้ารักกันแล้วต้องยอมให้กันหมดทุกอย่าง
ฉันขอได้ไหมแค่เพียงเรื่องเดียว อย่าจากฉันไป
สุดท้ายจะคิดร้ายกันอย่างไรก็ไม่เสียใจ
อย่าจากกันไปก็พอไม่ขออะไรมากมาย

*,**

**

ฉันไม่ยอม

ท่านที่ใช้นามสกุลรักในหลวง ถ้ารักจริงต้องตั้งในสติ ยึดมั่นในคำสอนของพ่อ


ของ Red Intelligence
โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านที่ใช้นามสกุลรักในหลวง ยิ่งต้องเดินตามรอยเท้าพ่อ เพื่อสานก่องานแผ่นดิน ไม่ใช่ใช้คำหยาบ ก่นด่า ใส่ร้ายว่าคนอื่นไม่รัก ยิ่งใหญ่ขนาดอาฆาตมาดร้ายใครต่อใครอย่างไม่ประคองสติ ถ้ารักจริงต้องตั้งในสติ ยึดมั่นในคำสอนของพ่อ ทำดีเพื่อพ่อ ความรักสามัคคีในชาติก็จะเกิดขึ้น

รัฐมนตรีโคต้าเสื้อแดงมีตำแหน่งเดียว!



ไทกร พลสุวรรณ
รัฐมนตรีโคต้าเสื้อแดงมีตำแหน่งเดียว!
แหล่งข่าวที่สำนักงาน นปช.ตึกอิมพีเรียลลาดพร้าวยืนยันว่าเกิดข่าวลือในแวดวง นปช.เรื่องการปรับคณะรัฐมนตรีจริง ที่แกนนำ นปช.ลือกันคือ
-พรรคเพื่อไทยให้ตำแหน่งรัฐมนตรีกับเสื้อแดงเพียงตำแหน่งเดียว
-ตามหลักความจริงนายจตุพรต้องได้เป็นรัฐมนตรีก่อนนายณัฐวุฒิ
-นายณัฐวุฒิควรมอบตำแหน่งรัฐมนตรีให้นายจตุพร
-แกนนำ นปช.หลายคนไม่พอใจพรรคเพื่อไทยที่ให้โคต้ารัฐมนตรีกับเสื้อแดงน้อย พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งได้เพราะเสื้อแดงหนุน
-มีกระแสข่าวว่านายจตุพรและแกนนำ นปช.จะคุยเรื่องนี้กับนายณัฐวุฒิเพื่อเสียสละตำแหน่งรัฐมนตรีให้นายจตุพรหลังวันที่ 9 สิงหาคม หลังปรากฎความชัดเจนว่าคำตัดสินของศาลเรื่องการถอนประกันแกนนำเสื้อแดงออกมาอย่างไร ช่วงนี้นายจตุพรกำลังซาวเสียงสนับสนุนจากแกนนำเสื้อแดงอยู่
-แกนนำ นปช.หวังว่านายณัฐวุฒิจะยอมเสียสละไม่กอดเก้าอี้ไว้แน่นเหมือนที่ทำอยู่ในขณะนี้

เชิญร่วมปลูกป่าโครงการสร้างป่าเพื่อแม่ ณ ป่าชุมชน ต.ฉมัน อ.มะขาม จ.จันทบุรี


เชิญร่วมปลูกป่าโครงการสร้างป่าเพื่อแม่ ณ ป่าชุมชน ต.ฉมัน อ.มะขาม จ.จันทบุรี
31 ก.ค.นี้ เพิ่มเติม โทร 039-317066 039-397134
วันเวลาราชการ

ชะมวง ชื่อวิทยาศาสตร์ : Garcinia cowa Roxb.


ชะมวง


ชื่อวิทยาศาสตร์ : Garcinia cowa Roxb.
อันดับ :
ชื่อวงศ์ : GUTTIFERAE
ชื่อสามัญ : Cowa
ชื่ออื่น : กะมวง มวง ยอดมวง ส้มมวง
ประเภทไม้ : ไม้ยืนต้น



ลักษณะพฤกษศาสตร์
ต้น ไม้ยืนต้นขนาดกลาง สูง 4 – 10 เมตร แตกกิ่งสาขาของลำต้นเปลือกต้นสีน้ำตาลเข้ม
ใบ ใบเดียวขอบใบเรียบ ใบหนายาวสีเขียวอ่อนหรือเขียวอมม่วงแดง ใบออกเป็นคู่ตรงข้ามกัน บริเวณปลายกิ่งมักแตกเป็น 1 – 3 ยอด ตัวใบค่อนข้างหนาและด้านสีขาวกว้าง

1.2 – 1.9 ซม. ตัวใบยาว 18 – 20 ซม. ขอบใบเรียบมีกลิ่นเล็ก น้อย ไม้ผลัดใบ
ดอก ดอกสีขาวนวลมี 3 กลีบ มีขนาดเล็กกลีบแข็งสีนวลเหลืองมีกลิ่นหอม ออกจำนวนมาก ขนาด 1 – 1.5 ซม. ดอกออก ตามกิ่ง
ผล ผลทรงกลมข้างผลเว้าเป็นพู เมื่อสุกมีสีเหลืองส้ม ผลมีเนื้อหนาสีเหลืองรสฝาด และมีเมล็ดอยู่ภายใน จำนวน 4 – 6 เมล็ด
แหล่งที่พบ ภาคใต้ ภาคตะวันออก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ประโยชน์และความสำคัญ
ทางยา ใบและผลรสเปรี้ยว สรรพคุณ ระบายท้อง แก้ไข้ กัดฟอกเสมหะ แก้ธาตุพิการและใบผสมกับยาชนิดอื่นปรุงเป็นยาขับเลือดเสีย ราก สรรพคุณแก้ไข้
ทางอาหาร ส่วนที่เป็นผัก/ฤดูกาล ยอดอ่อนรับประทานเป็นผัก ออกในฤดูฝน ส่วนลูกของชะมวงมีรสเปรี้ยว เป็นผลไม้ป่าที่รับประทานเล่นรสและประโยชน์ต่อสุขภาพยอดอ่อน

และใบอ่อนของชะมวงรสเปรี้ยว ช่วยระบาย แก้ไข้ เสมหะ แก้ธาตุพิการใบชะมวง 100 กรัม ให้พลังงานต่อร่างกาย 51 กิโลแคลอรี่ มีเส้นใย 3.2 กรัม

วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

เราเกิดมาทำไม?





เราไม่ได้เกิดมา เพื่อแสวงหาความสำเริงสำราญให้กับชีวิตไปวันๆหนึ่งเท่านั้น
เราไม่ได้เกิดมาเพื่อลุ่มหลงมัวเมาอยู่ในรสอร่อยของโลก คือ "กิน กาม เกียรติ"
เราไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นทาสของชีวิต
เราไม่ได้เกิดมาเพียงเพื่อศึกษาเล่าเรียน ทำงานทำการตั้งหลักปักฐาน
มีครอบครัว มีลูก มีหลาน แล้วก็ แก่ แล้วก็เจ็บ แล้วก็ตายไป

ถ้าเราเกิดมาเพียงเพื่อแค่นั้นก็เท่ากับว่า เกิดมาเพื่อเวียนว่ายอยู่ในวัฏฏสงสาร เท่านั้น
เป็น "เหยื่อ" ของหนอนไปชาติหนึ่งๆ ไม่พ้นโลกนี้ไปได้
แม้จะมั่งมีเงินทองสักปานใดก็ไร้ความหมาย

แต่เราเกิดมา เพื่อที่จะปลดเปลื้องพันธนาการโซ่ตรวน เครื่องร้อยรัด
ที่ผูกมัดจิดใจของเราไว้ ไปสู่ความเป็นอิสระ เพื่อปลดปล่อยตัวเองให้พ้นจากอำนาจ
ความครอบงำ ของกิเลส ตัณหา เพื่อพัฒนาชีวิต และจิตวิญญาณให้สูงขึ้น
เจริญขึ้นสู่ฐานะอันสูงสุดเท่าที่จะขึ้นถึงได้ นั่นคือการทำให้จิดใจบริสุทธิ์ ข้ามแดนแห่งความมืดมนของชีวิต
เพื่อเข้าถึงจุดจบของชีวิต ที่สุดแห่งทุกข์ คือ "พระนิพพาน"

แหล่งที่มา สำนักวิปัสสนาวิเวกอาศรม จ.ชลบุรี

เกิดมาเพื่อเดินทาง




ข้อแรกสุด  จะต้องระลึกให้กว้างกันไปสักหน่อยว่าคนธรรมดาทั่ว ๆ ไป  มีปัญหาอยู่ในใจว่า  เกิดมาทำไม  จริงหรือเปล่า

เกิดมาทำไม ?

ปัญหาข้อนี้ถือกันว่าทุกคนสนใจและสงสัย  แม้กระนั้นก็อาจจะมีบางคนมีเล่ห์เหลี่ยมที่จะเยาะเย้ยว่า  ก็พระพุทธศาสนาสอนถึงความไม่มีสัตว์  บุคคล  ตัวตน  เรา  เขา  คือไม่มีใครเกิดดังนี้  แล้วเหตุใดจึงมีปัญหาว่าเกิดมาทำไมด้วยเล่า  ถ้าผู้ใดถามซักไปในทำนองนั้น  เราจะต้องถือว่าเขาอาศัยหลักของพระพุทธศาสนาชั้นสูงสุด  คือ  ขั้นที่ว่าด้วยความหลุดพ้น  มาพูดกับคนธรรมดาสามัญที่ยังไม่มีความหลุดพ้นเป็นเรื่องที่ไม่ถูก  ไม่ตรง  คือ  ไม่ถูกฝาถูกตัว  เพราะว่าตามธรรมดาของคนที่ยังไม่รู้ธรรมะ  ถึงที่สุดแล้วจะต้องมีความรู้สึกว่าตนกำลังเกิดอยู่  และตนมีปัญหามากมายที่จะต้องทำ  กระทั่งไม่รู้ว่าเกิดมานี้เพื่ออะไรกัน

โดยทั่ว ๆ ไป  ผู้ที่เป็นอรหันต์  ถึงที่สุดแห่งธรรมในพระพุทธศาสนาแล้วเท่านั้น  ที่จะรู้สึกว่ามิได้มีการเกิดอยู่ในบัดนี้  ไม่มีสัตว์บุคคล  ตัวตนของใครที่เกิดอยู่ในบัดนี้  ดังนั้น  ปัญหาที่ว่าเกิดมาทำไม  จึงไม่มีแก่พระอรหันต์  แต่สำหรับบุคคลที่ยังไม่เป็นพระอรหันต์  แม้ที่ยังเป็นพระอริยเจ้าในขั้นต้น ๆ เช่น  พระโสดาบันก็ดี  ก็ยังมีความรู้สึกว่ามีตัวตนของตนและตนกำลังเกิดอยู่ทั้งนั้น  จึงจัดได้ว่าเป็นผู้ที่ล้วนแต่มีปัญหาอยู่ในใจว่า  เกิดมาทำไม  ด้วยกันทุกคน  โดยเหตุนี้ขอให้สรุปใจความของปัญหานี้สั้น ๆ ว่า  เกิดมาทำไม  และเป็นปัญหาของคนทั่วไปที่ยังไม่เป็นพระอรหันต์

เราจะพิจารณากันดูถึงความรู้สึกที่เกิดอยู่เองในใจของคนซึ่งต่างคนก็มักจะมีความคิดเป็นของเขาด้วยกันทั้งนั้นว่า  เขาเกิดมาทำไม

นานาทัศนะในเรื่องเกิดมาทำไม

ถ้าจะถามเด็ก ๆ ดู  ก็จะตอบว่าเกิดมาเพื่อเล่นกันให้สนุกสนานทีเดียว  ถ้าจะถามคนหนุ่มสาวก็คงจะตอบว่า  เกิดมาเพื่อความสวยความงาม  ความรื่นเริงบันเทิงกันในระหว่างเพศ  ถ้าจะถามคนที่สูงอายุขึ้นไปในวัยเป็นพ่อบ้านแม่เรือน  ก็คงจะตอบกันเป็นเล่นมากว่า  เกิดมาเพื่อสะสมทรัพย์สมบัติเอาไว้กินต่อแก่เฒ่าและให้ลูกหลานดังนี้เรื่อย ๆ ไปด้วยกันทั้งนั้น  ครั้นอยู่ไปจนถึงชราแก่หง่อม  เมื่อถามดูว่าเกิดมาทำไม  คงจะงง  และคงจะคิดว่า  เกิดมาเพื่อตายไปสำหรับจะเกิดใหม่ต่อ ๆ ไปมากกว่าอย่างอื่น  ข้อนี้น้อยคนที่จะคิดว่าเกิดมาแล้วก็สิ้นสุดกันเพียงตาย  เพราะว่าได้ถูกอบรมสั่งสอนกันมาตั้งแต่อ้อนแต่ออกถึงเรื่องโลกอื่นถึงชาติอื่นหลังจากตายแล้ว  จนฝังอยู่ในจิตใจด้วยกันแทบทั้งนั้น  สำหรับผู้ที่มีวัฒนธรรมที่รับมาจากอินเดีย  ไม่ว่าจะนับถือพุทธศาสนาหรือศาสนาพราหมณ์  หรือศาสนาอื่น ๆ ส่วนมาก  มีความเชื่อไปในทางตายแล้วเกิดใหม่  คนแก่ ๆ คนชราหมดปัญญาที่จะนึกคิดอะไรแล้วก็คงจะตอบว่าเกิดมาเพื่อตาย  แล้วไปเกิดใหม่ดังนี้  นี้หลักใหญ่ ๆ ทั่ว ๆ ไปก็ตอบได้แค่นี้

ถ้าจะพิจารณาดูกันอีกทางหนึ่ง ในส่วนรายละเอียดปลีกย่อย และบางคนก็คงจะตอบว่า เกิดมาเพื่อกิน  เพราะมักมากในการกิน  และบางคนก็คงจะตอบว่าเกิดมาเพื่อกินเหล้า  เพราะว่าเป็นทาสของเหล้าอยู่ตลอดเวลา  ไม่บูชาอะไรยิงไปกว่าเหล้า  ดังนี้ก็มี  บางคนเกิดมาเล่นไพ่  จนถึงกับมีคำกล่าวว่า  ยอมหย่าผัวไม่ยอมหย่าไพ่  ดังนี้ก็มี  บางคนยังหลงใหลในสิ่งอื่น ๆ ในอบายมุขอื่น ๆ แม้กระทั่งของเล่น  จนเห็นว่าเป็นสิ่งที่สูงสุด  ในสิ่งที่เขาควรจะได้อย่างนี้ก็มี  โดยทั่ว ๆ ไป  คนที่เรียกว่าได้รับการศึกษาดีนั้น  มักจะนิยมหลงใหลในเรื่องเกียรติ  คือ  อยากจะมีเกียรติว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ให้สูงสุดขึ้นไป  เพราะเกิดมาเพื่อจะสร้างเกียรติ

เท่าที่กล่าวมานี้  พอจะสรุปได้ว่า  เกิดมาเพื่อกิน  เกิดมาเพื่อกาม  เกิดมาเพื่อเกียรติ

พวกที่ ๑  คือ  เกิดมาเพื่อกิน  เรื่องกินนั้นเป็นของจำเป็น  ครั้งไปติดในรสของอาหารเข้าก็หลงใหลในเรื่องการกิน  ดูคนสมัยนี้สนใจในเรื่องการกินกันมากยิ่ง ๆ ขึ้นทุกที  ตามหน้าหนังสือพิมพ์ก็ดี  หรือเครื่องมือสื่อมวลชนอย่างอื่นก็ดี  มีโฆษณาเรื่องกินอย่างมีศิลปะกันยิ่งขึ้นจนเป็นที่เชื่อได้ว่าคนจำนวนไม่น้อยหลงใหลบูชาในเรื่องการกิน  เกิดมานี้เพื่อกิน  นี้เป็นพวกที่ ๑

พวกที่ ๒  เกิดมาเพื่อกาม  ที่เรียกว่าเรื่องกามนั้น  หมายถึง  ความสนุกสนาน  เอร็ดอร่อย  ทางตา  ทางหู  ทางจมูก  ทางลิ้น  ทางกาย  ทุกชนิด  เพราะว่าเมื่อเสร็จจากเรื่องกินแล้ว  คนก็หันมาเรื่องความสนุกสนานทางอายตนะเป็นส่วนใหญ่  นี้เรียกว่าเป็นเรื่องกาม  กลายเป็นคนที่ตกอยู่ใต้อำนาจของสิ่งเหล่านี้ถึงขนาดที่เรียกว่าเป็นทางด้วยกันทั้งนั้น  แม้ที่สุดแต่อบายมุขต่าง ๆ ที่กล่าวนามมาแล้วนั้นก็รวมอยู่ในเรื่องกาม  คือ  ความรู้สึกเอร็ดอร่อยทางจิตใจ  ซึ่งเป็นอายตนะที่ ๖  เป็นเรื่องหลงใหลได้ถึงที่สุดด้วยกันทุกอย่าง  นี้เรียกว่าคนเหล่านี้เกิดมาเพื่อสิ่งที่เรียกว่ากาม  คือ  วัตถุอันเป็นที่ตั้งของความใคร่  อันอาศัยอายตนะ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นเครื่องมือ  นี้เป็นพวกที่ ๒

พวกที่ ๓  เกิดมาเพื่อเกียรติ  นี้ได้รับการอบรมสั่งสอนมาให้บูชาเกียรติ  แม้ชีวิตนี้ก็สละให้เพื่อเกียรติ  ถ้าหนทางที่ตนถือเอาสำหรับแสวงเกียรตินั้น เป็นไปเพื่อประโยชน์ผู้อื่น และประโยชน์ตนรวมกันไป  ก็ยังนับว่าเป็นประโยชน์อยู่มาก  ไม่เป็นที่ตั้งแห่งการติเตียนตามวิสัยชาวโลกทั่ว ๆ ไป  แต่ในทางธรรมะนั้น  ถ้าหลงใหลถึงขนาดตกเป็นทาสของสิ่งที่เรียกว่าเกียรติแล้ว  ก็ยังถือว่าเป็นสิ่งที่น่าเวทนาสงสาร  คือ  ยังไม่ดับทุกข์นั่นเอง  เพราะฉะนั้น  เรื่องกินก็ดี  เรื่องกามก็ดี  เรื่องเกียรติก็ดี  จึงมีไว้สำหรับเป็นเครื่องหลงใหลอย่างยิ่งได้ด้วยกันทุกอย่าง

อย่างที่เราจะได้ยินได้ฟังอยู่มากกว่าอย่างอื่น ในหมู่คนที่ยากจนว่า จำเป็นที่จะต้องประกอบอาชีพ เพื่อได้วัตถุมาเลี้ยงชีวิต  แต่แล้วก็ดูเหมือนว่า  ไม่ได้คิดว่ามีสิ่งอื่นซึ่งสำคัญหรือจำเป็นยิ่งกว่าเรื่องทำมาหากิน  จึงถือเอาเรื่องทำมาหากินเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดในชีวิตของตน  จนกลายเป็นว่าเกิดมาก็เพื่อทำมาหากิน  ทำไร่  ทำนา  ค้าขาย  หรืออะไรก็แล้วแต่ถนัด  ทำอย่างนี้เรื่อยจนเน่าเข้าโลงไปทีเดียว  ก็ยังไม่มีจุดที่ถือได้ว่าเพียงพอ  นี้เรียกว่าเกิดมาเพื่อทำมาหากินแท้ ๆ  ไม่เคยนึกว่ามีสิ่งใดที่สำคัญไปกว่า  เพราะเหตุว่าคนเหล่านั้นไม่ได้นั่งใกล้พระอริยเจ้า  ไม่ได้ฟังธรรมของพระอริยเจ้า  คงนั่งใกล้แต่เพื่อนปุถุชนด้วยกัน  เขาถือว่าเป็นการถูกต้องครบถ้วนสมบูรณ์ถึงที่สุดเพียงแค่นั้น

แต่ที่แท้แล้วมันจะเป็นการถูกต้องเพียงครึ่งเดียวหรือไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำไป  เพราะว่าคนเรานั้นมีวัตถุประสงค์มุ่งหมายในการเกิดมา  มากไปกว่าที่จะเกิดมาเพียงเพื่อทำมาหากิน  นี่แหละคือข้อที่ทุกคนจะต้องสนใจศึกษากัน ให้เป็นที่เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่า การเกิดมาเพื่อทำมาหากินให้มีชีวิตอยู่นี้ อยู่ไปทำไมกัน  ต่อเมื่อมีความเข้าใจอันถูกต้องว่าชีวิตนี้จะอยู่เพื่ออะไร  ในที่สุดแล้วจึงจะรู้ว่า การทำมาหากินนี้เป็นเพียงเรื่องที่สอง รองลงมาจากเรื่องทีใหญ่ที่สำคัญเรื่องหนึ่งคือเรื่องที่ว่า  เกิดมาเพื่ออะไรนั่นเอง

เราทำมาหากินนี้สำหรับจะได้เลี้ยงชีวิต  เพื่อมีชีวิตอยู่  แล้วจะได้ทำสิ่งอื่นที่ดีกว่านี้  หรือว่าการทำมาหากินนี้ สำหรับจะได้สะสมทรัพย์สมบัติไม่มีขอบเขต  เท่าที่เห็นกันอยู่โดยมาก เป็นไปในทำนองมาหากินเพื่อสะสมทรัพย์สมบัติ อย่างไม่มีขอบเขต  ไม่ได้ทำมาหากินเท่าที่จำเป็นจะต้องทำ  เช่น  ทำเพียงเพื่อเลี้ยงตนเองและครอบครัวให้มีความเป็นอยู่ผาสุก  ไม่มีความยากลำบากให้มีการก้าวหน้าไปตามทางของคนธรรมดาทั่ว ๆ ไป  คนโดยมาก เฝ้าสะสมทรัพย์เท่าไรไม่พอ ไม่มีขอบเขต จนกระทั่งตัวเองก็บอกไม่ได้ว่าจะเอาไปทำอะไร  อย่างนี้ก็มีอยู่มากมายในโลกนี้  การกระทำอย่างนี้ของบุคคลประเภทนี้  ตามทางศาสนาถือว่าเป็นการทำบาปอยู่ในตัวโดยตรงบ้าง  โดยปริยายบ้าง

ศาสนาคริสเตียนถือว่า การแสวงหาทรัพย์เกินกว่าจำเป็นนั้น เป็นบาปโดยตรง  ในศาสนาอื่นก็มีว่าอย่างนั้น  ในศาสนาพุทธเรานี้ก็มีหลักการในทำนองนั้น  คือ  ว่าผู้ที่มัวคอยสะสมทรัพย์สมบัติไม่มีขอบเขตนั้น  มีความหลง ความโง่ ความเขลา อย่างใดอย่างหนึ่งอยู่  ขึ้นชื่อว่าความหลงแล้วก็เป็นบาปอยู่ในตัว  แม้ไม่ใช่บาปอย่างฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเขาก็ยังเป็นบาปชนิดใดชนิดหนึ่ง  ดังนั้นควรยุติกันเสียสักทีว่า  คนเราไม่ควรจะเกิดมาเพื่อการสะสมทรัพย์สมบัติอย่างไม่มีที่สิ้นสุด  คนเราไม่ควรจะเกิดมาเพื่อสะสมทรัพย์สมบัติอย่างไม่มีที่สิ้นสุด  ควรจะนึกถึงเรื่องอีกเรื่องหนึ่งซึ่งดีกว่านั้นหมายความว่า  เราสะสมทรัพย์  ก็เพื่อซื้อความสะดวกแก่การเป็นอยู่ในทุกประการ  แล้วก็แสวงหาสิ่งอื่นที่ดีไปกว่าทรัพย์ให้ได้  สิ่งนั้นได้แก่อะไร  ก็ควรจะได้คิดดูเอาเองตามใจชอบไปพลางก่อน

เมื่อปราศจากธรรมะแล้วคนกับสัตว์ก็เสมอกัน

ทีนี้มาถึงข้อที่ว่า  คนที่เกิดมาลุ่มหลงในทางกามนั้นน่าจะระลึกนึกถึงภาษิตโบราณสักบทหนึ่งว่า  “อาหารนิทฺทา  ภย  เมถุนนญฺจ  สามาญฺญเมตปฺปสุภิ  นรานํ”  การแสวงหาความสุขจากการกิน  อาหารก็ดี  การแสวงหาความสุขจากเมถุนธรรมก็ดี  และการรู้จักขี้ขลาดต่อันตรายหนีภัยก็ดี  ๔ อย่างนี้มีเสมอกันในระหว่างสัตว์มนุษย์กับสัตว์เดียรัจฉาน

 “ธมฺโม  หิ  เตสํ  วิเสโส”  แต่ว่าธรรมะเท่านั้น  ที่จะทำให้คนผิดแปลกแตกต่างจากสัตว์  “ธมฺเมน  หีนา  ปสุภิ  สมานา”  เมื่อปราศจากธรรมะแล้วคนกับสัตว์ก็เสมอกัน  นี้เป็นคำกล่าวที่มีมาแต่โบราณกาลก่อนพระพุทธเจ้า  และแม้ในยุคพระพุทธเจ้าก็ยังคงยอมรับภาษิตนี้  และในพุทธศาสนาเราก็ถือว่าคำกล่าวนี้ถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนาด้วย

เป็นอันว่าเท่าที่เกิดมาตามธรรมดาสามัญ  คนเรามีความรู้สึกเหมือนกับสัตว์  ในเรื่องกินเรื่องนอน เรื่องเมถุนธรรม และหนีภัยอันตรายโรคภัยไข้เจ็บศัตรูอะไรก็ตาม  เหล่านี้เป็นเรื่องที่สัตว์ก็ทำเป็นเหมือนกับคน  ดังนั้นการที่จะเกิดมาเพื่อบูชาสิ่งที่เรียกว่ากามคุณ  ทางตา  ทางหู  ทางจมูก  ทางลิ้น  ทางกาย  ทางใจ  นี้คงจะไปไม่รอด  คือ  แสดงว่ายังไม่รู้อะไรอยู่บางอย่าง หรือมากอย่าง จึงได้ไปลุ่มหลงสิ่งซึ่งแม้ธรรมดาสัตว์เดียรัจฉานก็ทำเป็น ดังที่กล่าวมาแล้ว  เนื่องจากสิ่งที่เรียกว่าวัตถุกามนั้น  เป็นมูลเหตุดึงดูดใจถึงที่สุด ยากที่สัตว์ตามธรรมดาจะมองเห็น แล้วถอนตนออกมาได้  เราจึงถือว่าสัตว์ตามธรรมดาไม่ใช่บุคคลสูงสุด  ไม่ใช่บุคคลที่ถึงที่สุดแห่งการเกิดมาเป็นคน  เป็นเพียงผู้ที่กำลังลุ่มหลงอะไรอยู่ในระหว่างทางครึ่ง ๆ กลาง ๆ เท่านั้นเอง  ถือเอาเป็นประมาณไม่ได้ และถ้าสิ่งที่เรียกว่ากามคุณเหล่านั้น เป็นสิ่งสูงสุดแล้ว  คนก็ตาม  สัตว์ก็ตาม  ย่อมจะเรียกได้ว่าต่างอยู่ในฐานะถึงสิ่งที่สูงที่สุดแล้วด้วยกันทั้งนั้น

บัดนี้เรายอมรับกันแล้วว่า  แม้แต่พวกเทวดาซึ่งอยู่ในสวรรค์ประเภทกามาวจร  ก็ยังไม่ใช่คนดีวิเศษอะไร  ยังมีความทุกข์ร้อน ยังมีความสกปรกเศร้าหมอง เพราะประพฤติกรรมที่ไม่สมควรทางกาย  ทางวาจาและทางใจอยู่เป็นประจำ  พวกเทวดาเหล่านั้นเมื่อสำนึกตัวขึ้นมาได้ทีไร  ก็ร่ำหาพระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์  อยู่ตลอดไป  นี้จึงเป็นอันว่า เรื่องสูงสุดแม้ในทางกามนั้น  ยังไม่ใช่สิ่งสูงสุดของมนุษย์เลย  ไม่ควรถือว่ามนุษย์เกิดมาเพื่อสิ่งเหล่านั้น

ทีนี้ก็มาถึงเรื่องเกียรติ  ถ้าจะคิดว่าคนเราเกิดมาเพื่อเกียรติก็คงจะเป็นสิ่งที่น่าสงสารมาก  เพราะว่าดูจะเป็นเรื่องลม ๆ แล้ง ๆ  โดยเหตุที่สิ่งเรียกว่าเกียรตินั้น  ต้องมีมูลมาจากคนเหล่านั้นหรือคนจำนวนมากอุปโลกน์ให้นิยมยกย่องให้เป็นเรื่องอุปโลกน์กันผิด ๆ โดยไม่รู้สึกตัวก็มี  เมื่อคนส่วนมากนั้นเป็นคนโง่  คนเขลา  คนหลง  คนพาล  ไม่รู้จักธรรมะแล้ว  สิ่งที่เขาหลงนิยมยกย่องให้เป็นเกียรติแก่กันนั้นก็ต้องเป็นเรื่องธรรมดา ๆ สามัญตามประสาที่คนเหล่านั้นชอบนั่นเอง  หาใช่เป็นเรื่องที่พระอริยเจ้าท่านสรรเสริญหรือสั่งสอนแต่ประการใดไม่  ยิ่งในสมัยที่คนลุ่มหลงเรื่องเกียรติกันมาก  ก็ดูจะยิ่งเป็นสิ่งที่น่าสมเพชยิ่ง ๆ ขึ้นทุกที  อย่างว่าใครจะออกไปนอกโลกได้  ถือเป็นเกียรติสูงสุด  มันก็ยังไม่มีอะไรดีไปกว่าที่จะทำมนุษย์ทั้งหมดนี้ให้มีความสุขมากขึ้นได้  มีแต่เรื่องยุ่งเหยิงสับสนอลหม่านมากขึ้นกว่าเก่าเท่านั้น  นี้เป็นตัวอย่างของสิ่งที่เรียกว่าเกียรติของปุถุชนคนธรรมดาทั่วไปซึ่งมีอยู่โลกนี้  ดังนั้นถ้าจะถือว่าเกิดมาเพื่อเกียรติ  ก็คงจะน่าหัวเราะเท่า ๆ กันกับที่ว่าเกิดมาเพื่อกามหรือแม้แต่เพื่อกิน  อันอยู่ในระดับที่น่าสงสารเท่า ๆ กัน  แล้วแต่ว่าจะถูกอบรมสั่งสอนกันมาอย่างไร

รวมความแล้วเป็นอันว่าทั้งเรื่องกิน  เรื่องกาม  เรื่องเกียรติ  ๓ เรื่องนี้ยังไม่ใช่สิ่งสูงสุดที่พุทธบริษัทจะพึงปรารถนาแน่นอน

สังขารเป็นทุกข์อย่างยิ่ง  นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

ทีนี้จะกล่าวถึงพระพุทธภาษิตที่เห็นว่าจะช่วยให้เราเข้าใจคำตอบของปัญหาว่า  คนเราเกิดมาทำไมนี้ได้  กล่าวคือพระพุทธภาษิตที่ได้ยกขึ้นไว้เป็นนิเขปบทข้างต้นทีแรกว่า  “สงฺขารา  ปรมา  ทุกฺขา”  สังขารเป็นทุกข์อย่างยิ่ง  “นิพฺพานํ  ปรมํ  สุขํ”  นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง  “เอตํ  ญตฺวา  ยถาภูตํ  สนฺติ  มคฺคํ  ว  พฺรูหเย”  เมื่อรู้ความจริงข้อนี้อย่างถูกต้องแล้วบุคคลควรพอกพูนหนทางแห่งสันติ  ดังนี้

ข้อแรกที่ว่า  สังขารเป็นทุกข์อย่างยิ่งนั้นจะต้องเข้าใจคำว่าสังขารกันให้ดี ๆ  เพราะสิ่งที่เรียกว่าสังขารนั้นมีอยู่หลายความหมาย  สังขารหมายถึงรูปและนาม  คือ  ร่างกายกับจิตใจนี้ก็มี  สังขารอย่างนี้เป็นทุกข์ต่อเมื่อมีอุปาทานเข้าไปยึดมั่นถือมั่นโดยความเป็นของตน  ลำพังสังขารล้วน ๆ ไม่ถือว่าเป็นทุกข์ชนิดที่เป็นเครื่องทรมานใจหรือทำความทนยากให้แก่บุคคล  สังขารโดยศัพท์แล้วแปลว่า  “ปรุง”  คือ  กระทำครบถ้วนอย่างที่เราเรียกกันว่าปรุง  ถือเอาตามรูปศัพท์ตรง ๆ อย่างนี้จะดีกว่า  โดยจำกัดความลงไปว่า  การที่ “ปรุง” นี้  หมายถึงกิเลสเป็นผู้ปรุง  ต่อเมื่อมีอวิชชา  ความโง่  ความหลง  (ซึ่งเป็นต้นเหตุของกิเลสเหล่าอื่น  เช่น  โลภะ  โทสะ  โมหะ)  เกิดขึ้นแล้วก็มี  การปรุง  คือปรุงจิตใจให้ยึดมั่นเป็นนั่นเป็นนี่  มีนั่นมีนี่เรื่อยไปไม่มีที่สิ้นสุด

คำว่า  “ปรุง”  ในที่นี้หมายถึง  ความยึดมั่นถือมั่นด้วยอุปาทานรวมอยู่ด้วยเสร็จ  จึงเรียกว่าเป็นการปรุง  ถ้าไม่มีอุปาทาน  ไม่มีกิเลสตัณหาอุปาทานเข้าไปรวมอยู่ด้วยแล้ว  การเกิดขึ้นเหล่านั้นไม่เรียกว่าการปรุงในที่นี้  คือ  ไม่เรียกว่า “ปรุง” ในประโยคที่ว่า  “สงฺขารา  ปรมา  ทุกฺขา”  ของปรุงหรือเครื่องปรุงทั้งหลายเป็นทุกข์อย่างยิ่ง  หมายความว่า  มันปรุงจนเป็นกิเลสตัณหาจนเป็นอุปาทานมีความยึดมั่นถือมั่นแล้ว  อะไร ๆ ก็เป็นทุกข์ไปหมด  ถ้าไม่ปรุงในทำนองนี้แล้วก็ไม่มีความทุกข์  การปรุงในทำนองนี้มีความทุกข์  และเป็นความทุกข์อยู่ในตัวการปรุงนั่นเอง  การปรุงทำนองนี้แหละที่เรียกว่า  “สังสารวัฏฏ์”  คือ  วนเวียนอยู่ในลักษณะ ๓ อย่าง  กล่าวคือ  กิเลสเป็นเหตุให้กระทำอย่างใดอย่างหนึ่งลงไป  เมื่อกระทำแล้วเกิดผลขึ้นมา  ก็มีกิเลสที่จะยินดียินร้าย  เพื่อทำซ้ำหรือทำอย่างอื่นต่อไปอีก  วนเวียนอยู่ในเรื่องกิเลส  เรื่องกรรมและเรื่องผลของกรรมเรื่อยไปไม่มีที่สิ้นสุดนี้คืออาการที่เรียกว่าเป็นการปรุงโดยแท้จริง  ในประโยคที่ว่าสังขารทั้งหลายเป็นทุกข์อย่างยิ่ง  คือ  ความปรุงไม่หยุดนั้นเองเป็นทุกข์อย่างยิ่ง

ข้อ ๒ ที่ว่า  “นิพฺพานํ  ปรมํ  สุขํ”  นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่งนั้น  นี้เป็นคำกล่าวอย่างโวหารชาวบ้าน  เพื่อให้รู้สิ่งที่ตรงกันข้ามกับสังขาร  นิพพาน  ก็คือ  ไม่ปรุง  ไม่ปรุงเมื่อไรก็เป็นนิพพานเมื่อนั้น  ไม่ปรุงเด็ดขาดก็เป็นนิพพานจริง  ไม่ปรุงชั่วคราวก็เป็นนิพพานชั่วคราว  หรือนิพพานชิมลอง  เมื่อผู้ใดรู้เรื่องการปรุงว่าเป็นอย่างไรถึงที่สุดแล้ว  ก็ย่อมจะเข้าใจสภาพที่ตรงกันข้าม  คือ  ไม่ปรุงได้โดยไม่ยากนัก  โดยเทียบเคียงกันในฐานะเป็นสิ่งตรงกันข้าม  นิพพานแปลว่าดับก็ได้  แปลว่าหยุดก็ได้  แปลว่าเย็นคือไม่ร้อนก็ได้  แปลว่าไม่ขบกัดเสียบแทงก็ได้  ความหมายก็เหมือนกันหมดตรงที่ว่ามันหยุดคือไม่ปรุง  ปรุงก็คือไม่หยุด  จะต้องเป็นไปในลักษณะที่เร่าร้อน  เป็นทุกข์เสียบแทงทนทรมานเสมอไป  คำว่านิพพานให้ถือเอาความหมายตรงกันข้ามจากสังขาร  คือ  ไม่ปรุงในลักษณะดังกล่าว

คำกล่าวต่อไปที่ว่า  “เอตํ  ญตฺวา  ยถาภูตํ  สนฺติมคฺคํ  ว  พฺรูหเย”  บุคคลรู้ความจริงข้อนี้อย่างถูกต้องแล้ว  พึงพอกพูนหนทางแห่งสันติ

หมายความว่า  เมื่อรู้ความจริงข้อนี้แล้วให้พอกพูนหนทางแห่งสันติคือนิพพานนั่นเอง  คำว่านิพพานนั้นบางทีก็เรียกว่าสันติซึ่งแปลว่าความสงบเย็น  ใช้แทนกันได้กับคำว่านิพพาน  หมายความว่าให้ทำทุกอย่างทุกประการ  ที่จะให้เคนเราใกล้ชิดกับสิ่งที่เรียกว่าสันติหรือนิพพานนั้นยิ่งขึ้นไปทุกที

เพียงเท่านี้  ท่านทั้งหลายก็คงจะได้เค้าเงื่อนบ้างว่า  พระพุทธเจ้าท่านทรงมุ่งหมายให้คนรู้ความจริงเกี่ยวกับความทุกข์และไม่ทุกข์  แล้วให้เริ่มพอกพูนหนทางที่จะดำเนินไปสู่ความไม่มีทุกข์โดยประการทั้งปวง  คือ  นิพพาน

พูดสั้น ๆ ก็ว่าคนเราควรจะเกิดมา  เพื่อพอกพูนหนทางแห่งนิพพานนั่นเอง  แต่ถ้าคนไม่รู้เอาเสียเลยว่ามีนิพพานหรือนิพพานเป็นสิ่งที่ควรปรารถนาอย่างยิ่ง  เพราะเป็นความดับทุกข์อย่างยิ่งแล้ว  คนก็ไม่ปรารถนานิพพานและไม่พอกพูนหนทางแห่งนิพพานอยู่นั่นเอง  ต่อเมื่อรู้จักว่าการเป็นอยู่ในขณะนี้เป็นทุกข์อย่างยิ่ง  แล้วอยากจะได้สิ่งที่ตรงกันข้ามเท่านั้นแหละ  คนจึงจะสนใจเรื่องของนิพพาน  และพอกพูนหนทางไปสู่นิพพาน

เมื่อเป็นดังนี้  เขาก็จะต้องดูภาวะของตนเองให้ดีให้ละเอียดให้ลึกซึ้งว่า  ภาวะที่กำลังเป็นอยู่ของตนนี้เป็นสังขารหรือไม่  คนที่ทำกรรมไปตามอำนาจของกิเลส  โดยเฉพาะอย่างยิ่งทำชั่ว  เช่น  การกินเหล้าเมายา  การฆ่า  การฟัน  การขโมย  หรืออะไรต่าง ๆ ที่ถือกันว่าเป็นความชั่วนั้นมันเป็นการ “ปรุง” ของอวิชชา  ความโง่ความหลงเรื่อย ๆ ไป  จนเกิดความเอร็ดอร่อย  สนุกสนาน  เพลิดเพลินแก่บุคคลผู้กระทำ  ได้รับทุกข์แล้วก็ยังอยากจะแก้ทุกข์ด้วยกระทำซ้ำอย่างเดียวกันหรือให้ยิ่งขึ้นไปอีก  นี้เรียกว่าเป็นการปรุงอย่างยิ่งขึ้นไปอีก  จนกว่าเขาจะมองเห็นว่านี่เป็นการทนทรมาน  จึงจะหยุดชะงัก  แล้วเหลียวไปดูทิศทางอื่น  เพื่อจะสอดส่ายหาให้พบสิ่งที่ไม่เป็นความทนทรมาน  ไม่ต้องตกเป็นทาสของเหล้าของการพนันของการทำชั่ว  หรือของการประพฤติผิดนานาประการอีกต่อไป

ทีนี้จะมองดูในกรณีผู้ที่ทำดี  หรือไม่ทำชั่วทำนองนั้น  แต่ว่าทำสิ่งที่เขาเรียกกันว่าดีอยู่ทุก ๆ เวลา  ได้รับผลสมจริงตามสิ่งที่เขาเรียกกันว่าดี  เช่น  มีเงิน  มีชื่อเสียง  มีอะไรทุก ๆ อย่างตามที่คนดีเขาต้องการกัน  แต่ว่าเมื่อมามองดูความสุขทุกข์ทางใจแล้วเขาก็ยังต้องร้องไห้  ระทมทุกข์เท่ากับที่มีเงินมาก  มีเกียรติมาก  มีชื่อเสียงมากอยู่นั่นเอง  คนมีเกียรติมากก็ร้องไห้บ่อย ๆ เพราะเกียรตินั้น  คนมีทรัพย์มากก็ร้องไห้บ่อย ๆ เพราะทรัพย์นั้น  คนมีลูกก็ร้องไห้เพราะลูก  คนมีหลานก็ร้องไห้เพราะหลาน  หรือมีอะไรที่ตนรักตนพอใจก็ต้องร้องไห้เพราะสิ่งนั้น  แม้ที่สุดบางคนก็ต้องร้องไห้เพราะวัวเพราะควายเป็นต้น  อย่างนี้ก็มี

นี้ล้วนแต่แสดงให้เห็นอยู่แล้วว่า  แม้ว่าจะได้กระทำไปในทางที่ดี  ไม่มีผิด  ไม่เป็นบาป  ไม่เป็นอกุศลแล้ว  ก็ยังไม่ถึงที่สุดแห่งการดับทุกข์  ยังต้องเป็นทุกข์ไปตามแบบของคนดี  คนชั่วเป็นทุกข์ตามแบบคนชั่ว  คนดีเป็นทุกข์อย่างละเอียดลึกซึ้งตามแบบคนดีในเมื่อมีความรู้สึกยึดมั่นถือมั่นว่าตนเป็นคนดี  ดังนั้น  เมื่อมองดูในลักษณะของธรรมชาติล้วน ๆ แล้วจะพบว่า  คนชั่วที่กำลังเสวยผลของความชั่ววนเวียน ๆ อยู่นั้นเป็นการปรุง  คนดีที่กำลังได้รับผลของความดีวนเวียน ๆ อยู่นั้นเป็นการปรุง  ทั้งสองพวกเป็นการปรุงด้วยกันทั้งนั้น  ไม่มีหยุด  จะต้องไหลเรื่อยไปไม่มีหยุด  มีการคิดการทำ  เมื่อได้รับผลของการทำแล้วก็มีการคิดต่อไป  นี้เรียกว่า “สังสารวัฏฏ์” เป็นการปรุงอย่างยิ่ง

คนเราเกิดมาเพื่อพอกพูนหนทางไปพระนิพพาน

พอมานึกได้อย่างนี้  คนจะสนใจสิ่งที่ตรงกันข้าม  คือ  เห็นว่าเงินก็ช่วยไม่ได้  ชื่อเสียงก็ช่วยไม่ได้  สิ่งเท่าที่เรามีมาหมดแล้วนี้ก็ช่วยไม่ได้  เราควรจะมีอะไรหรือได้อะไรที่ดีกว่านี้  เมื่อนั้นแหละเขาจะเริ่มชะเง้อหาสิ่งที่ดีกว่าสูงกว่าไปในทิศทางอื่น  จนกระทั่งไปพบพระอริยเจ้า  นั่งใกล้พระอริยเจ้า  ฟังธรรมะของพระอริยเจ้า  จึงได้รู้เรื่องสิ่งตรงกันข้ามกับสิ่งต่าง ๆ ที่ตนมีตนเป็น  ตนกระทำอยู่นั้นก็คือเรื่องพระนิพพาน  หรือเรื่องหนทางของพระนิพพานนั่นเอง  เขามีความแน่ใจว่านี่แน่แล้วเป็นสิ่งที่ทุกคน ๆ ควรจะได้ควรจะถึงและคนทุกคนเกิดมาเพื่อสิ่งนี้แน่แล้ว  เพราะว่าสิ่งอื่น ๆ ทั้งหมดนั้นไม่เป็นความดับ  ความเย็น  ความสงบ  ยังเป็นความสับสนวุ่นวายคือปรุงแต่งอยู่นั้นเอง  เขาจึงได้สนใจเรื่องพระนิพพานในลักษณะที่จะพอกพูนทางของพระนิพพาน  โดยถือว่าคนเราเกิดมาเพื่อพอกพูนหนทางของพระนิพพานนั้น

สิ่งที่ควรจะคิดมีอยู่อีกนิดหนึ่งว่า  การที่เกิดมานี้  เราต้องการหรือไม่  เราพอใจหรือไม่  โดยที่แท้แล้วคนทุกคนไม่เคยรู้สึกเรื่องนี้  ว่าไม่ได้เคยอยากเกิดโดยตรง  แต่ว่ามันได้เกิดมาแล้ว  พอเกิดมาแล้วได้พบสิ่งซึ่งเป็นอารมณ์ที่ถูกใจทางตา  ทางหู  ทางจมูก  ทางลิ้น  ทางกาย  หลงใหลพอใจในสิ่งเหล่านี้  จึงได้อยากเกิด  หรืออยากเป็นอยู่  อยากให้มีอยู่เพื่อจะได้บริโภคสิ่งเหล่านี้  หรือเมื่อได้ยินได้ฟังว่าทำบุญให้มากตายไปแล้วก็จะมีสิ่งเหล่านี้  ชั้นดีกว่านี้ประณีตกว่านี้  สูงสุดกว่านี้  ก็มีความอยากเกิดยิ่งขึ้นไปอีก  เพื่อจะให้ได้สิ่งเหล่านี้

ใจความสำคัญอยู่ตรงที่ว่า  เพราะได้เกิดมาจึงได้บริโภครูป  เสียง  กลิ่น  รส  โผฏฐัพพะ  ธรรมารมณ์ซึ่งถูกอกถูกใจ  เป็นเหตุให้ยึดมั่นถือมั่น  เป็นตัวตนเป็นของตนขึ้นมา  เป็นการเกิดขึ้นมา  แล้วก็พอใจยินดีในการเกิด  กลัวความดับหรือความตายเป็นอย่างยิ่ง  เพราะว่าจะต้องพลัดพรากจากสิ่งเหล่านี้  นี้เรียกว่าโดยเนื้อแท้แล้วคนไม่ได้เกิดมาเองได้  หรือไม่ได้ตั้งใจจะเกิดมา  ด้วยเจตนาของตน  มันเป็นมาตามธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตที่มีการสืบพันธุ์ครั้นเป็นคนขึ้นมาแล้ว  จึงได้รับการอบรมที่ให้เกิดความรู้สึกนึกคิดไปในทางที่อยากเกิดในลักษณะที่กล่าวมานี้  ถ้าปล่อยไปตามธรรมชาติจริง ๆ หรือเอาสัตว์เดียรัจฉานเป็นเกณฑ์กันแล้ว  ความอยากเกิดจะมีน้อยมาก  และจะไม่มีปัญหายุ่งยากเหมือนมนุษย์ด้วยซ้ำไป  เดี๋ยวนี้มนุษย์จะยอมรับว่า  เราเป็นผู้อยากเกิด  และเกิดมาเพื่อจะทำอะไรสักอย่างหนึ่ง  อย่างนั้นจริงหรือไม่  ถ้าจะถือว่าเราอยากเกิดมาเพื่อจะทำอะไรที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะทำ  ตอนนี้ฟังดูแล้วก็คล้าย ๆ กับว่าเป็นความโง่ความหลง  หรือความเสือกกระโหลกอยู่มากเหมือนกัน  เพราะว่าถ้าเลือกเอาในทางที่ไม่เกิดได้แล้ว  มันก็ไม่ควรจะเกิดมาตั้งแต่ทีแรก  ทำไมจะต้องมาอยากเกิดขึ้นมา  เพื่อจะต้องสร้างต้องทำต้องเดินทางไปกว่าจะถึงที่สุดถึงนิพพานอีกเล่า  เรื่องไม่บังเกิดก็ดีอยู่แล้ว  ทำไมจะเกิดมาเพื่อให้เป็นภาระด้วยเล่า

นี่แหละคือปัญหาหรือต้นเงื่อนของปัญหาที่เป็นตัวอวิชชา  หรืออย่างน้อยก็มีมูลมาจากอวิชชาที่ว่าคนเราเกิดมาเอง  หรือว่ามีอะไรบังคับให้เกิดมา  และว่าเมื่อเกิดมาแล้วจะต้องทำอะไรบ้าง  คนโดยมากไม่คิดมากถึงอย่างนั้น  จะคิดตัดบทสั้น ๆ แต่เพียงว่าที่กำลังเกิดอยู่เดี๋ยวนี้จะต้องทำอะไร  พอเห็นว่าเกิดมาเพื่อสะสมทรัพย์ก็สะสมทรัพย์เรื่อย ๆ ไปก็แล้วกัน  หรือถ้าเกิดมาเพื่อกินเพื่อเกียรติก็ทำไปเพื่อกิน  เพื่อเกียรติอีก  แล้วก็ถือว่าพอแล้ว  มีชื่อเสียงมาก  พอใจแล้ว  กายเป็นสุขแล้ว  อย่างนี้ก็เรียกว่าเป็นความถูกของบุคคลนั้นอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน  ที่ถือเอาเพียงสั้น ๆ เท่านั้น

แต่เดี๋ยวนี้คนเราได้รับการศึกษามีการอบรมให้รู้จักคิดนึกมากกว่านั้น  จนกระทั่งมองเห็นว่าการทำอย่างนั้น  การได้เป็นอย่างนั้น  การได้ทำจนถึงที่สุดของความเป็นอย่างนั้นก็ยังไม่เป็นที่พอใจเราเลย  ยังมีอะไรที่เรารู้สึกว่าซ่อนเร้นอยู่  เราจำใจจำทำเท่าที่นึกได้เพียงเท่านั้น  เราอาจจะถูกหลอกถูกลวงได้อย่างไรก็ได้  เมื่อสงสัยอยู่ดังนี้  ก็คงจะไม่วายที่จะคิดไปว่ายังมีอะไรยิ่งไปกว่าเกียรติ  ในที่สุดก็จะมาร่องรอยของธรรมะที่ว่า  เกิดมาเพื่อศึกษาให้รู้เรื่องที่สูงสุดประเสริฐสุดของมนุษย์  ให้ได้พบสิ่งที่สูงสุดที่ประเสริฐสุดของมนุษย์ให้จบให้สิ้นสุดลงตรงสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้  ไม่มีอะไรดียิ่งไปกว่านั้นแล้ว  นี้หมายความว่าเมื่อยอมรับว่าเกิดมาหรือต้องเกิดมา  และเกิดมาแล้วจะมีอะไรที่จะต้องทำให้ถึงที่สุด  จนถือว่าเป็นยอดปรารถนาของมนุษย์  ดังนี้ก็ไม่ควรจะมีอะไรมากไปกว่าสิ่งที่ดับทุกข์ได้สิ้นเชิง  และเป็นภาระที่เป็นความดับทุกข์ได้สิ้นเชิงที่ตนถึงลุพึงถึงตามหลักของพระพุทธศาสนา

http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/buddhadas/bdd-31.htm


มนุษย์เราเอ๋ย เกิดมาทำไม นิพพานมีสุข
อยู่ใยมิไป ตัณหาหน่วงหนัก หน่วงชักหน่วงไว้
ฉันไปมิได้ ตัณหาผูกพัน ห่วงนั้นพันผูก
ห่วงลูกห่วงหลาน ห่วงทรัพย์ศฤงคาร จงสละเสียเถิด
จะได้ไปนิพพาน ข้ามพ้นสามภพ

ยามหนุ่มสาวน้อย หน้าตาแช่มช้อย งามแล้วทุกประการ
แก่เฒ่าหนังยาน แต่ล้วนเครื่องเหม็น เอ็นใหญ่เก้าร้อย
เอ็นน้อยเก้าพัน มันมาทำเข็ญ ให้ร้อนให้เย็น
เมื่อยขบทั้งตัว ขนคิ้วก็ขาว นัยน์ตาก็มัว

เส้นผมบนหัว ดำแล้วกลับหงอก หน้าตาเว้าวอก
ดูน่าบัดสี จะลุกก็โอย จะนั่งก็โอย
เหมือนดอกไม้โรย ไม่มีเกสร จะเข้าที่นอน
พึงสอนภาวนา พระอนิจจัง พระอนัตตา

เราท่านเกิดมา รังแต่จะตาย ผู้ดีเข็ญใจ
ก็ตายเหมือนกัน เงินทองทั้งนั้น มิติดตัวไป
ตายไปเป็นผี ลูกเมียผัวรัก เขาชักหน้าหนี
เขาเหม็นซากผี เปื่อยเน่าพุพอง หมู่ญาติพี่น้อง
เขาหามเอาไป เขาวางลงไว้ เขานั่งร้องไห้

แล้วกลับคืนมา อยู่แต่ผู้เดียว ป่าไม้ชายเขียว
เหลียวไม่เห็นใคร เห็นแต่ฝูงแร้ง เห็นแต่ฝูงกา
เห็นแต่ฝูงหมา ยื้อแย่งกันกิน ดูน่าสมเพช
กระดูกกูเอ๋ย เรี่ยร่ายแผ่นดิน แร้งกาหมากิน
เอาเป็นอาหาร เที่ยงคืนสงัด ตื่นขึ้นมินาน

ไม่เห็นลูกหลาน พี่น้องเผ่าพันธุ์ เห็นแต่นกเค้า
จับเจ่าเรียงกัน เห็นแต่นกแสก ร้องแรกแหกขวัญ
เห็นแต่ฝูงผี ร้องไห้หากัน มนุษย์เราเอ๋ย
อย่าหลงนักเลย ไม่มีแก่นสาร อุตส่าห์ทำบุญ
ค้ำจุนเอาไว้ จะได้ไปสวรรค์ จะได้ทันพระพุทธเจ้าจะได้เข้าพระนิพพาน

อะหัง วันทามิ สัพพะโส
อะหัง วันทามิ นิพพานะปัจจะโยโหตุ
http://www.dmc.tv/forum/index.php?showtopic=9653

วันอังคารที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

รพ.สรรพสิทธิประสงค์จัดประชุม การพัฒนาการดูแลผู้ป่วยบาดเจ็บศีรษะครบวงจร


by กลุ่มงานสุขศึกษาและประชาสัมพันธ์ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์

โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์จัดการประชุม โครงการการพัฒนาการดูแลผู้ป่วยบาดเจ็บศีรษะครบวงจร เครือข่ายบริการสุขภาพที่ 10 เพื่อพัฒนา CPG Guideline การให้บริการและพัฒนาประสิทธิภาพระบบการส่งต่อผู้ป่วย

วันนี้ (23 กรกฎาคม 2555)  เวลา 08.00 – 16.00 น.  นพ.มนัส กนกศิลป์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ มอบหมายให้ นพ.มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์  รองผู้อำนวยการฝ่ายกิจการพิเศษและหัวหน้ากลุ่มงานเวชศาสตร์ฉุกเฉิน เป็นประธานในการเปิดการประชุม โครงการการพัฒนาการดูแลผู้ป่วยบาดเจ็บศีรษะครบวงจร เครือข่ายบริการสุขภาพที่ 10  ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 6  อาคาร 50 พรรษา มหาวชิราลงกรณ 

นพ.มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์ กล่าวว่า  การบาดเจ็บศีรษะเป็นปัญหาทางสาธารณสุขที่สำคัญของทั่วโลกและในประเทศไทยพบว่าอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุอยู่ในอันดับ 3  รองจากโรคมะเร็งและโรคในกลุ่มหัวใจและหลอดเลือดและเป็นสาเหตุการตายอันดับแรกของวัยทำงาน บางรายเสียชีวิตในที่เกิดเหตุหรือก่อนถึงโรงพยาบาลซึ่งสาเหตุการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุส่วนใหญ่ คือ อุบัติเหตุจราจร โดยการบาดเจ็บศีรษะเป็นสาเหตุการเสียชีวิตสูงสุด และบทบาทการดูแลรักษาผู้ป่วยของโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ครอบคลุมพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างซึ่งในแต่ละปีมีจำนวนผู้ป่วยบาดเจ็บศีรษะมากขึ้นเรื่อยๆ  ก่อให้เกิดปัญหาแออัดและประสิทธิภาพในการให้บริการ  ดังนั้นการประชุมในวันนี้จึงเป็นการประชุมเพื่อพัฒนา CPG Guideline การให้บริการผู้ป่วยบาดเจ็บศีรษะตามบริบทและศักยภาพของสถานบริการและเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพระบบการส่งต่อ ส่งกลับผู้ป่วยบาดเจ็บศีรษะให้มีประสิทธิภาพต่อเนื่อง

สำหรับผู้เข้าร่วมประชุมในวันนี้ประกอบด้วย แพทย์ พยาบาล นักกายภาพบัด ในโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป และโรงพยาบาลชุมชน เครือข่ายบริการสุขภาพที่ กว่า 150 คน

ข่าว วิชิราภรณ์ /ภาพ  ศักดา

บรรณาธิการ : นพ.มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์ รองผู้อำนวยการฝ่ายกิจการพิเศษ

ติดตามข่าวอื่นได้ทาง http://www.sappasit.go.th/sappasit/

รพ.นครพนม เปิดงานโรงพยาบาลรวมพลังลดโลกร้อน


by สำนักสารนิเทศ
23 กรกฏาคม 2555 เวลา 08.30 น. นพ.สมคิด สุริยเลิศ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลนครพนม เป็นประธานเปิดการอบรมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง โรงพยาบาลนครพนมรวมพลังลดโลกร้อน และกล่าวต่อไปว่า โครงการนี้เป็นนโยบายสำคัญของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งให้สถานบริการสาธารณสุขทุกแห่ง เป็นต้นแบบการดำเนินงาน ลดโลกร้อนแก่องค์กร สถานประกอบการและชุมชน ที่ถือเป็นสาเหตุหลักในการก่อให้เกิดก๊าชเรือนกระจก จึงควรดำเนินการโดยยึดหลัก Green and Clean เพื่อเป็นการลดโลกร้อนในสถานบริการสาธารณสุข เพื่อให้มีการถ่ายทอดความรู้ด้านการดำเนินงานดังกล่าวอย่างถูกต้องเหมาะสม และปลูกจิตสำนักแก่บุคลากรในองค์กร ให้มีภาวะผู้นำด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมและอนุรักษ์พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นต้นแบบต่อไป ผอ.กล่าว ณ หน้าห้องประชุมธารารวมใจ อาคารผู้ป่วยนอกและอุบัติเหตุฉุกเฉิน โรงพยาบาลนครพนม

รัฐบาล : ใช้กลไก PR รัฐอย่างไร จึงจะเป็นผลดีต่อประชาชน โดย ไพศาล อินทสิงห์


   ขึ้นชื่อว่า เป็นรัฐบาล ไม่ว่าใครย่อมหวังผล 2 อย่าง 1) ผลงาน 2) ผลทางการเมือง ซึ่งนั่นหมายถึงเสถียรภาพ ได้รับคะแนนนิยม และมีโอกาสกลับมาเป็นรัฐบาลอีกเมื่อครบวาระ หรือเลือกตั้งใหม่
      
       ผลทางการเมือง อาจมาจากหลายทาง แต่ทางหนึ่ง เป็นอื่นไปไม่ได้ ก็คือ ต้องมาจากการมีผลงานโดดเด่น โดนใจประชาชน
      
       “ผลงานส่งผลทางการเมือง ”
      
       ที่สำคัญ ผลงานนั้นคนต้องเห็น ต้องรู้ จับต้องได้ สัมผัสได้ด้วย คำถาม คือ ทำอย่างไรให้คนเห็น ให้คนรู้ เป็นอื่นไปไม่ได้เช่นกัน ต้องใช้กลไกการประชาสัมพันธ์(PR)
      
       จะ PR ให้คนเห็นผล(งาน)ได้ รัฐบาลต้องทำ(งาน)ก่อน ทั้งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี จึงสำคัญในฐานะผู้นำนโยบาย
      
       นโยบายขับเคลื่อนสู่ผลงาน นโยบาย=ต้นทาง ผลงาน=ปลายทาง ผลงานจะโดนใจได้ นโยบายต้องโดนใจก่อน วันนี้พรรคการเมืองต่างๆ จึงต้อง “แข่งนโยบาย”
      
       ที่บอกว่า จะให้คนเห็นผลงาน ต้อง PR นั้น รัฐบาลมีกลไกประชาสัมพันธ์ของรัฐที่สำคัญอยู่ 3 ทาง(ระดับ)
      
       หนึ่ง กลไก PR ที่อยู่ข้างบนสุด คือ โฆษกรัฐบาล
      
       สอง ถัดลงมาเป็นโฆษกกระทรวง
      
       ขณะที่มีกลไก PR ถัดลงมาอีกอันหนึ่ง อยู่ล่างสุด สำคัญไม่น้อยไปกว่า 2 อันข้างบน ก็คือ “ประชาสัมพันธ์ของกรม” หรือ “โฆษกกรม” (บางกรมจะแต่งตั้งให้มีโฆษกกรม เช่น โฆษกกรมสุขภาพจิต เป็นต้น)
      
       เล่น PR 3 ระดับนี้ได้ ก็ครบวงจร เปรียบ PR รัฐบาล ดั่งส่วนยอดของพีระมิด ถัดลงมา PR กระทรวงอยู่ตรงกลาง และฐานพีระมิด PR กรม เป็นส่วนที่กว้างที่สุด
      
       ส่วนที่กว้างที่สุด เป็นฐานค้ำยันพีระมิดฉันใด ก็เป็นฐานค้ำยันกระทรวง และรัฐบาลฉันนั้น กรมจึงสำคัญ
      
       แต่รัฐบาลมักจะลงมาไม่ถึง แทนที่จะได้เปรียบกลับไม่ได้ เนื่องจากสัมผัสอยู่ข้างบน พูดถึงเฉพาะโฆษกรัฐบาล โฆษกกระทรวงไม่ค่อยได้พูดถึงประชาสัมพันธ์ของกรมเท่าใด ผู้เขียนเห็นอย่างนั้น ไม่ทราบผู้อ่านเห็นอย่างที่ผู้เขียนเห็นหรือเปล่า ไม่แน่ใจ? ซึ่งผู้เขียนมองว่า น่าเสียดายโอกาส
      
       กรม ถือเป็นแขนขา เป็นมือไม้ในการทำงานให้รัฐบาลเต็มๆ หนุนนำนโยบายรัฐบาลเป็นภารกิจ งานโครงการต่างๆ
      
       หากดูภารกิจของกรมจะเห็นว่า กระจายลงพื้นที่ทั่วประเทศ สัมผัสสัมพันธ์ใกล้ชิดกับชาวบ้าน ประชาชน เข้าถึงทุกอณูรากหญ้าของประเทศ
      
       มีความโดดเด่นเฉพาะด้านของแต่ละกรมกันไป ต่อจิ๊กซอร์รวมทุกกรม ก็ครอบคลุมนโยบายรัฐบาลทุกด้าน
      
       ผลงานกรม= ผลงานกระทรวง =ผลงานรัฐบาล
      
       ใส่นโยบายลงไปพื้นที่แล้ว จะไหลรื่น สำเร็จมาก สำเร็จน้อย เป็นมรรคเป็นผลออกมาเท่าใด ก็อยู่ที่ผู้ปฏิบัติที่เป็นแขนขา มือไม้นี่แหละ โดยเฉพาะอธิบดี ในฐานะผู้นำองค์กร
      
       ทั้งผู้มีส่วนหนุนนำอธิบดี ซึ่งก็คือ ประชาสัมพันธ์ของกรมนี่เอง ไม่ใช่ใครที่ไหน ทำงานเป็นทัพหน้า เคียงคู่ขนานไปกับอธิบดี
      
       เฉกเช่นโฆษกกระทรวง ทำงานเคียงคู่ขนานไปกับรัฐมนตรี
      
       เฉกเช่นโฆษกรัฐบาล ทำงานเคียงคู่ขนานไปกับนายกรัฐมนตรี
      
       ถ้าเล่น PR เป็น : กรมสำเร็จ กระทรวงได้ รัฐบาลรับ (คะแนนนิยม)
      
       จึงมีคำถามชวนคิด : หากรัฐบาลลงมาสัมผัสประชาสัมพันธ์กรม-โฆษกกรม(บ้าง) จะดีหรือไม่ ประการใด จะใช้กลไก PR รัฐอย่างไร ถึงจะเป็นผลดีต่อประชาชน หากผนึก เชื่อมโยง และประสานกลไก PR ทั้ง 3 ระดับให้เข้มข้น ใกล้ชิดกันมากขึ้นล่ะ จะดีมั้ย?
      
       เสริมกัน ย้ำกัน หนุนนำ หนุนส่งกัน!!
      
       ยังมองว่า หากทำได้ คงจะเป็นพลัง PR ที่น่าสนใจไม่น้อย สร้างการเข้าถึงประชาชนมิติใหม่ เพื่อให้ทันปัญหาความต้องการ และสถานการณ์ที่นับวันจะซับซ้อน และยากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อต้องหวังผลงาน และหวังผลทางการเมือง
      
       ไม่เชื่อลองดูจากข่าวประท้วงของชาวสวนยางนับพันคน ปิดถนนสายเอเชีย บริเวณแยกบ้านท่าน้ำแห้ง ต.คลองไทร อ.ท่าฉาง จ.สุราษฎร์ธานี เรียกร้องรัฐบาลประกันราคายางแผ่นดิบ กก.ละ 120 บาท ทำให้เส้นทางสายใต้รถติดยาวกว่า 20 กม. (ข่าวจาก นสพ.ส่วนกลางฉบับหนึ่ง ลว. 12 ก.ค.55)
      
       ขณะที่ชาวสวนยางจากอำเภอต่างๆ ใน จ.นครศรีธรรมราช รวมตัวกันปิดถนนสายเอเชียทั้ง 4 เลน ประท้วงราคายางพาราตกต่ำที่บริเวณสี่แยกบ้านหนองดี สาย 41 ทุ่งสง-สุราษฎร์ธานี (ข่าวจาก นสพ.ส่วนกลางฉบับหนึ่ง ลว. 17 ก.ค.55)
      
       อีกทั้งชาวเชียงดาว จ.เชียงใหม่ กว่าพันคนรวมตัวปิดถนนประท้วงรัฐบาล เรียกร้องขอพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หลังได้รับความเดือดร้อนจากการก่อสร้างถนนมานานตั้งแต่ปี 2548 เหลืออีก 6 กม.ไม่เสร็จสักที 8 ปีแล้ว ทำให้การสัญจรไปมายากลำบาก เกิดอุบัติเหตุมีผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บจำนวนมาก (ข่าวจาก นสพ.ส่วนกลางฉบับหนึ่ง ลว. 7 ก.ค.55)
      
       ไหนจะค้านโรงไฟฟ้าถ่านหินบ่อน้ำร้อน อ.กันตัง จ.ตรัง โดยองค์กรเครือข่ายคนไม่เอาโรงไฟฟ้าถ่านหิน ที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จะมาก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินขนาด 800 เมกะวัตต์ ใน 3 ตำบล ประกอบด้วย ต.วังวน นาเกลือ และ ต.บางสัก (ข่าวจาก นสพ.ส่วนกลางฉบับหนึ่ง ลว. 18 ก.ค.55)
      
       หนำซ้ำกลุ่มลุ่มน้ำภาคเหนือ และเครือข่ายลุ่มน้ำโขง-ล้านนา ต้านรัฐจัดการปัญหาเรื่องน้ำทั้งระบบของประเทศที่มีการประมูล หรือทีโออาร์ 3.5 แสนล้านบาท ยังมีแผนวาระซ่อนเร้น หมกเม็ดในการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ในเขตอุทยานแห่งชาติไม่น้อยกว่า 5 แห่ง ซึ่งจะนำไปสู่การทำลายทรัพยากรป่าไม้และสิ่งแวดล้อมอันมีค่ามหาศาลอย่างมาก (ข่าวจาก นสพ.ส่วนกลางฉบับหนึ่ง ลว. 18 ก.ค.55)
      
       แค่ 5 เรื่องนี้ก็เหนื่อยแล้ว จะแก้ไขกันอย่างไร จะ PR กันอย่างไร ใช้กลไก PR รัฐอย่างไร ขอยกตัวอย่างเพื่อประกอบความเข้าใจผู้อ่าน ยกเรื่องลบ เรื่องบวกเราไม่ห่วง(ขณะที่เขียนบทความนี้ บางปัญหาจบไปแล้ว)
      
       มองในมุม PR ต้องใช้ประชาชนเป็นตัวตั้ง เห็นใจเกษตรกรชาวสวนได้รับความเดือดร้อนจากราคายางตกต่ำ เห็นใจชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนจากถนนที่ก่อสร้างไม่เสร็จ 8 ปีแล้ว เห็นใจประชาชนผู้สัญจรไปมาได้รับความเดือดร้อนจากการประท้วงปิดถนน เห็นใจชุมชนกลัวผลกระทบจากการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน ทั้งในด้านสุขภาพ สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ
      
       การประชาสัมพันธ์ คือ การเอาใจเขามาใส่ใจเรา รับรู้เข้าใจความต้องการ เขาเดือดร้อนจริง ไม่เช่นนั้นเขาไม่ออกมาประท้วง
      
       ขณะที่ก็เห็นใจรัฐบาล กระทรวง กรม รัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องด้วย จะมีวิธีการ หรือหาทางออกร่วมกันอย่างไร?
      
       แง่คิด ก็คือ PR พอจะมีกลวิธีรู้ก่อนล่วงหน้าได้หรือไม่ว่า จะมีการประท้วง? เพราะประท้วงแล้วคุมไม่ได้ มีโอกาสบานปลาย ซึ่งไม่เป็นผลดีแก่ใครๆ ถ้ารู้ก่อน จะได้ชิงแก้ปํญหาก่อน จะแก้อย่างไรอยู่ที่ศิลปะผู้นำ โดย PR อาจเสนอแนะ
      
       ไม่เช่นนั้น ก็จะเป็น Routine ตามแก้ หลังปิดถนนทุกครั้ง เพราะไม่ทันปัญหา ไม่ดักปัญหา แม้การแก้ปัญหาเป็นผลงาน แต่คงไม่ค่อยประทับใจคนดูเท่าไร
      
       จะแก้ก่อนหรือหลังปิดถนน?
      
       มีม็อบบ่อยๆ ใช่ว่าจะดีเมื่อไหร่ ภาพประเทศดูปั่นป่วน ยิ่งในยุคใหม่นี้สื่อไทย สื่อเทศรายงานข่าวไปทั่วโลก ปิดกั้นก็ไม่ได้ เสียภาพลักษณ์ประเทศ นักลงทุนต่างชาติก็ไม่อยากมาลงทุน กระทบเศรษฐกิจ ปากท้อง รายได้ การจ้างงาน ฯลฯ
      
       ต้องใช้กลไก PR รัฐ โดยการเช็กข่าว สำรวจข้อมูล ฟัง พบปะพูดคุยกับคนที่เกี่ยวข้อง รับฟังความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน เกษตรกร ฟังจากสื่อ
      
       จาก 5 เรื่องที่ยกมา เชื่อว่าประชาสัมพันธ์กรม ประชาสัมพันธ์รัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องน่าจะเข้าถึง หรือนักประชาสัมพันธ์ของกรมประชาสัมพันธ์ที่ประจำจังหวัดนั้นๆ น่าจะรู้ดีกว่าใคร เพราะอยู่ในพื้นที่
      
       รู้แล้ว โทร.ประสานโฆษกรัฐบาลได้มั้ย ไม่แน่ใจ? หรือประสานโฆษกกระทรวงได้หรือเปล่า เพื่อให้ข่าวสารถึงผู้บริหารพิจารณา ตรงนี้สำคัญเพราะจะทำให้การแก้ปัญหารวดเร็ว ทันการณ์
      
       ก่อนปัญหาบานปลาย อาจสั่งให้หยุด ศึกษาเพิ่มเติม ช่วยเหลือด่วน ชะลอ ขยายเวลา เลื่อนโครงการ พับแผนชั่วคราว กระทั่งยกเลิกโครงการ เป็นต้น อย่างไหนจะเป็นผลดีและประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนในภาพรวม ก็ต้องตัดสินใจ
      
       ขึ้นชื่อว่า การบริหาร ไม่ว่างานอะไร องค์กรใด รัฐบาล กระทรวง กรม หรือหน่วยงานอื่นๆ ย่อมต้องมีปัญหา เป็นของคู่โลก แต่หากเลือกได้ ควรใช้กลไก PR
      
       PR พร้อมทำหน้าที่แผ้วถางทางสร้างความเข้าใจ อะไรที่เป็นปัญหา ถ้าเข้าใจกันเสียแล้ว ที่ยากก็ง่าย ที่ง่ายก็ง่ายยิ่งขึ้น
      
       “ความเข้าใจประชาชนต้องมาก่อน” อย่างอื่นยังทีหลัง ไม่ว่างบประมาณ คน เครื่องไม้เครื่องมือ สำคัญแค่ไหนยังมาทีหลัง เพราะถ้าส่งข่าวสาร PR ออกไป เจอต้าน ประชาชนไม่เอาด้วย มีงบ คนพร้อม เครื่องมือพร้อม ก็ทำอะไรไม่ได้
      
       แต่หากเห็นด้วย ก็หนุนขาดใจเช่นกัน
      
       PR รัฐบาล PR กระทรวง PR กรม จึงสำคัญ
      
       การบริหารงานองค์กรใดๆ ใช้การประชาสัมพันธ์เป็นฐานมีแต่ได้ และโอกาสสำเร็จสูง เพราะตรรกะของการประชาสัมพันธ์ คือ ให้คำนึงถึงประชาชนเป็นศูนย์กลาง
      
       คิดเล่นๆ ถ้านโยบาย งานโครงการใดๆ รวมถึงการแก้ปัญหาให้ประชาชน หากไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างทุ่มเท เอาจริงเอาจังจากส่วนฐานพีระมิด อ่อน PR ข่าวสารเข้าไม่ถึงประชาชน ไม่สำเร็จเท่าที่ควร ย่อมส่งผลกระทบขึ้นไปถึงกระทรวง และรัฐบาล
      
       ดีไม่ดีอาจไม่รอด ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจจากฝ่ายค้าน ก็เป็นไปได้
      
       PR กรม จึงเป็นฐานให้รัฐบาลที่มีความหมายยิ่ง
      
       จะดีมั้ยหากนายกรัฐมนตรีจะประชุมข้าราชการที่ทำงานประชาสัมพันธ์ทุกกรมพร้อมกันสักครั้ง ในฐานะที่เป็นกลไก PR รัฐเพื่อให้นโยบาย ทิศทาง เป้าหมายการทำงาน PR
      
       รัฐบาลต้องการผลของการประชาสัมพันธ์อย่างไร ถึงไหน ขนาดไหน คุยกัน(บ้าง) จะทำให้ข้าราชการ PR ทุกกรม เห็นทาง PR จะเดินอย่างไร ก่อนสื่อสารประชาสัมพันธ์กับประชาชน สื่อสารกันเอง(บ้าง)น่าจะดี นอกจากนักประชาสัมพันธ์รัฐได้ฟังนโยบาย PR แล้ว ยังมีโอกาสพบปะ พูดคุย ซักถาม ถามไถ่ท่านนายกฯ
      
       โฆษกรัฐบาล น่าเป็นเจ้าภาพจัดประชุมให้ท่านนายกฯ สื่อสารกับนักประชาสัมพันธ์กรม นักประชาสัมพันธ์ของรัฐทั้งระบบ ประชาสัมพันธ์กระทรวงทุกกระทรวง ประชาสัมพันธ์รัฐวิสาหกิจทุกแห่ง รวมถึงประชาสัมพันธ์จังหวัดทุกจังหวัด
      
       จากนี้ยกหูต่อสายถึงกันได้หมด ประชาสัมพันธ์กรม ประชาสัมพันธ์จังหวัด ประชาสัมพันธ์รัฐวิสาหกิจขึ้นไปโฆษกกระทรวง โฆษกรัฐบาล กระทั่งสื่อสารจากยอดพีระมิดลงมาส่วนฐานเช่นกัน ทั้งสื่อสารไขว้ สื่อสารข้าม เพื่อความรวดเร็ว เน้นทันเกม ทันการณ์ ตอบโจทย์ใหม่ๆ ที่เปลี่ยนแปลงทุกวัน
      
       เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มในงาน PR
      
       เชื่อว่า การได้พูด ได้คุย เห็นหน้าค่าตากัน ทำให้เกิดศรัทธาในการทำงาน จะเป็นการสร้างพลัง PR ที่มีศักยภาพเมื่อทุกคนมองเห็นเป้าหมายเดียวกัน การประชาสัมพันธ์ภาครัฐส่งผลดี และเป็นประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน
      
       เป็นกลไก PR รัฐมิติใหม่ให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร!!

วันเสาร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ททท.อยุธยา ชวนร่วมงานประเพณีแห่เทียนพรรษาทางน้ำ ณ คลองลาดชะโด




       ททท. พระนครศรีอยุธยา ชวนร่วมงาน “ประเพณีแห่เทียนพรรษาทางน้ำ” ในวันที่ 2 ส.ค. 55 ณ คลองลาดชะโด อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา พบกับกิจกรรมภายในงาน เช่น ชมการตกแต่งเรือแห่เทียนพรรษาทางน้ำ การประกวดตกแต่งบ้านเรือนริมคลองลาดชะโด การละเล่นพื้นบ้านลาดชะโด การจัดแสดงภาพถ่าย ฯลฯ
     
       จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ร่วมกับ อ.ผักไห่ เทศบาลตำบลลาดชะโด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานพระนครศรีอยุธยา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดงานประเพณีแห่เทียนพรรษาทางน้ำ ในวันพฤหัสบดีที่ 2 ส.ค. 55 ณ คลองลาดชะโด อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้ประชาชน หน่วยงานภาครัฐและเอกชน ร่วมกันสืบสานวัฒนธรรมประเพณีไทย และพัฒนาตลาดลาดชะโดให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์
     
       นายเกรียงศักดิ์ พิมพันธ์ดี นายกเทศมนตรีตำบลลาดชะโด กล่าวว่า การจัดงานประเพณีแห่เทียนพรรษาทางน้ำในปีนี้มีหลายกิจกรรมที่น่าสนใจ เช่น ชมการตกแต่งเรือแห่เทียนพรรษาทางน้ำ การประกวดตกแต่งบ้านเรือนริมคลองลาดชะโด การละเล่นพื้นบ้านลาดชะโด การจัดแสดงภาพถ่าย วิถีชีวิตชาวลาดชะโด การจำลองบรรยากาศตลาดน้ำลาดชะโด และในปีนี้จะได้พบกับการแสดง แสง สี เสียง ชุด สายน้ำแห่งชีวิต ลิขิตวิถีลาดชะโด ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างวัดลาดชะโด โรงเรียนลาดชะโด โรงเรียนลาดชะโดสามัคคี และชุมชน อ.ผักไห่ จ.
       พระนครศรีอยุธยา
     
       นายปราโมทย์ ทรัพย์เย็น ผู้อำนวยการ ททท. สำนักงานพระนครศรีอยุธยา กล่าวว่า ททท. ได้ร่วมกับ สมาคมไทยท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัยเสนอขายรายการนำเที่ยว “กินหรู อยู่สบาย สไตล์ภาคกลาง คาราวานครอบครัวสุขสันต์” มหัศจรรย์เมืองไทย ระหว่างวันที่ ๒-๔ สิงหาคม ๒๕๕๕ ในช่วงเทศกาลวันเข้าพรรษา และร่วมชมงานประเพณีแห่เทียนพรรษาทางน้ำ ณ คลองลาดชะโด ในเส้นทางพระนครศรีอยุธยา-สุพรรณบุรี-สระบุรี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการส่งเสริมให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวในภูมิภาคภาคกลาง เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงและพักค้างคืนต่อไป
     
       สำหรับผู้สนใจสามารถข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ เทศบาลตำบลลาดชะโด โทร. 0-3574-0263 หรือ ททท. สำนักงานพระนครศรีอยุธยา 0-3524-6076-7

สิงหนครจัดบรรยายธรรมพิเศษรับเดือนรอมฎอนแนะแนวทางการถือศีลอดที่ถูกต้อง






ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - เทศบาลเมืองสิงหนคร จัดบรรยายธรรมพิเศษ เนื่องในโอกาส “ต้อนรับเดือนรอมฎอน” ฮิจเราะฮ์ศักราช 1433 โดยผู้อำนวยการศูนย์ประสานงานสำนักจุฬาราชมนตรี ประจำภาคใต้ แก่อิหม่าม คอเต็บ บิลาน และกรรมการมัสยิด พื้นที่ อ.สิงหนคร แนะแนวทางการถือศีลอดที่ถูกต้อง พร้อมกับแจกเครื่องอุปโภคบริโภคเพื่อนำไปประกอบศาสนกิจ
     
       วันนี้ (20 ก.ค.) ที่ศาลาประชาคม อ.สิงหนคร จ.สงขลา นายเสริมศักดิ์ จันทร์สว่าง นายกเทศมนตรีเมืองสิงหนคร เป็นประธานในพิธีเปิดการบรรยายธรรมพิเศษ เนื่องในโอกาส “ต้อนรับเดือนรอมฎอน” ฮิจเราะฮ์ศักราช 1433 ซึ่งเป็นเดือนแห่งการถือศีลอดของผู้นับถือศาสนาอิสลาม โดย ดร.วิสุทธิ์ บิลล่าเต๊ะ ผู้อำนวยการศูนย์ประสานงานสำนักจุฬาราชมนตรี ประจำภาคใต้ ซึ่งทางเทศบาลเมืองสิงหนครจัดขึ้น โดยมีอิหม่าม คอเต็บ บิลาน และกรรมการมัสยิด จากทุกมัสยิดในพื้นที่ อ.สิงหนคร เข้าร่วมรับฟัง เพื่อนำหลักการตามศาสนาบัญญัติในการถือศีลอดที่ถูกต้องตามหลักศาสนาอิสลามไปเผยแพร่ให้แก่ชาวมุสลิมในพื้นที่ เพื่อให้การถือศีลอดตลอดทั้งเดือนสมบูรณ์ และได้รับผลบุญมากที่สุด
     
       นอกจากนี้ ยังได้มีการแจกจ่ายเครื่องอุปโภคบริโภค และอาหารให้แก่ตัวแทนมัสยิด และบาลาย หรือสุเหร่าทุกแห่งในพื้นที่ อ.สิงหนคร สำหรับใช้ประกอบกิจกรรมการปฏิบัติธรรมตามมัสยิดต่างๆ ตลอดช่วงการถือศีลอด
     
       นายเสริมศักดิ์ จันทร์สว่าง นายกเทศมนตรีเมืองสิงหนคร เปิดเผยว่า ในโอกาสที่เดือนรอมฎอนได้เวียนมาถึงอีกครั้งหนึ่ง ในฮิจเราะฮ์ศักราช 1433 ทางเทศบาลเมืองสิงหนครได้มีการปรับปรุงรูปแบบโครงการออกเยี่ยมเยียน และมอบสิ่งของบริโภคให้แก่มัสยิด และบาลาย โดยการนัดหมายอิหม่าม คอเต็บ บิลาน ตลอดถึงกรรมการมัสยิด และบาลายทั้งหมดในพื้นที่ อ.สิงหนครมาชุมนุมเพื่อรับฟังการบรรยายธรรมพิเศษ เรื่องการเตรียมความพร้อม “ต้อนรับเดือนรอมฎอน” ฮิจเราะฮ์ศักราช 1433 ซึ่งเป็นเดือนแห่งการถือศีลอดของผู้นับถือศาสนาอิสลาม โดยได้เชิญ ดร.วิสุทธิ์ บิลล่าเต๊ะ ผู้อำนวยการศูนย์ประสานงานสำนักจุฬาราชมนตรี ประจำภาคใต้ มาเป็นวิทยากรบรรยายธรรม และมอบเครื่องบริโภค และอาหารให้แก่ตัวแทนมัสยิด และบาลายทุกแห่งในพื้นที่ อ.สิงหนคร สำหรับใช้ประกอบกิจกรรมการปฏิบัติธรรมตามมัสยิดต่างๆ ตลอดช่วงการถือศีลอด

ผช.รมต.แรงงานเปิดโครงการ “แสงใหม่ ชีวิตใหม่ผู้พ้นโทษ” เพื่อเฉลิมพระเกียรติ




จันทบุรี - ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน เปิดโครงการ “แสงใหม่ ชีวิตใหม่ผู้พ้นโทษ” เพื่อเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสทรงมีพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ 60 พรรษา สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร
     
       วันนี้ (20 ก.ค.) ที่หน้าเรือนจำจังหวัดจันทบุรี นายอนุสรณ์ ไกรวัตนุสสรณ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธีปิดโครงการ “แสงใหม่ ชีวิตใหม่ผู้พ้นโทษ” เพื่อเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสที่ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงมีพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ 60 พรรษา โดยมีนายวิชิต ชาตไพสิฐ ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี นายสกล มีชูโชติ ผู้บัญชาการเรือนจำจังหวัดจันทบุรี พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ ตำรวจ ทหาร และประชาชนให้การต้อนรับ และร่วมเปิดโครงการสำหรับการเปิดโครงการในครั้งนี้
     
       สืบเนื่องจากกระทรวงแรงงาน โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้ลงนามความร่วมมือในการพัฒนาทักษะฝีมือ และส่งเสริมการมีงานทำของผู้พ้นโทษ เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2555 และแต่งตั้งคณะทำงานดำเนินการนโยบายส่งเสริมการมีงานทำของผู้พ้นโทษขึ้น พร้อมมอบหมายให้ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานคณะทำงานจัดการประชุมเพื่อกำหนดภารกิจของแต่ละหน่วยงาน แนวทางการทำงาน เป้าหมาย และผลสัมฤทธิ์ที่ก่อให้เกิดความยั่งยืน
     
       พร้อมให้ความสำคัญต่อการทำงานเชิงบูรณาการ และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน รวมถึงประชุมร่วมกับคณะทำงานระดับจังหวัดที่แต่งตั้งขึ้น โดยรองผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี เป็นประธานคณะทำงาน เพื่อบูรณาการและดำเนินกิจกรรมที่นำไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งมีความมุ่งมั่น ตั้งใจในการประสาน และบูรณาการของทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐ และเอกชน บังเกิดเป็นผลงานของพิธีเปิดโครงการ “แสงใหม่ ชีวิตใหม่ผู้พ้นโทษ” ในครั้งนี้ เพื่อเฉลิมพระเกียรติแก่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ 60 พรรษา
     
       สำหรับเรือนจำจังหวัดจันทบุรี เป็นความร่วมมือของสถานประกอบกิจการร่วมกับศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัดจันทบุรี ดำเนินการพัฒนาทักษะด้านการเจียระไนพลอย และอัญมณีแก่ผู้ต้องขัง โดยสถานประกอบกิจการจัดเครื่องมือเจียระไนพลอย จำนวน 97 เครื่อง ติดตั้ง ณ โรงฝึกงานในเรือนจำจังหวัดจันทบุรี เพื่อใช้สำหรับการพัฒนาทักษะฝีมือ และประกอบอาชีพของผู้ต้องขังที่ผ่านการฝึกในเรือนจำ ซึ่งเรียกว่า โรงงานในเรือนจำ ผลผลิตที่เกิดขึ้น สถานประกอบกิจการรับซื้อนำไปจำหน่าย การประกอบอาชีพดังกล่าวก่อให้เกิดเป็นรายได้ของผู้ต้องขัง ที่สามารถใช้เป็นค่าใช้จ่ายของตัวเอง ส่งเสียเลี้ยงดูครอบครัว และเก็บออมไว้เป็นทุนสำหรับการประกอบอาชีพหลังพ้นโทษออกไป
     
       โครงการ “แสงใหม่ ชีวิตใหม่ผู้พ้นโทษ” ได้ดำเนินการจัดพิธีอย่างเป็นทางการในวันนี้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่น และให้โอกาสแก่ผู้พ้นโทษมีงานทำ และมีการส่งมอบผู้พ้นโทษให้แก่สถานประกอบกิจการ เพื่อเข้าทำงาน จำนวน 32 คนต่อไปอีกด้วย

คนอุบลฯ ไม่เอานิวเคลียร์ร่วมต้านเวทีเสวนา พร้อมรณรงค์หยุดสร้างทันที





อุบลราชธานี - ก.พลังงาน โดย กฟผ.ร่วมภาคเอกจัดเวทีเสวนาทางเลือก ทางรอด ไฟฟ้าไทย ที่จังหวัดอุบลราชธานี เจอชาวบ้านต้าน พร้อมวอล์กเอาต์ออกจากห้องประชุม จัดเวทีไฮปาร์คคู่ขนานรณรงค์ไม่ให้สร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ไปทั่วเมือง
     
       วันนี้ (20 ก.ค.) ที่โรงแรมสุนีย์แกรนด์ อ.เมือง จ.อุบลราชธานี กระทรวงพลังงาน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ร่วมกับหน่วยงานเอกชนเปิดเวทีเสวนา "ทางเลือก ทางรอด ไฟฟ้าไทย" ศึกษาการมีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ซึ่งรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เห็นชอบให้มีโรงไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์บรรจุอยู่ในแผนพัฒนาไฟฟ้าสำรอง หรือ พีดีพี 2010 จำนวนกำลังผลิต 2,000 เมกะวัตต์ โดยลดลงจากสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ตั้งไว้ 5,000 เมกะวัตต์ และมีพื้นที่เป้าหมายก่อสร้างใน 4 จังหวัด คือ สุราษฎร์ธานี ตราด กาฬสิทธุ์ และ จ.อุบลราชธานี
     
       ทำให้กลุ่มต่อต้านไม่เอาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในจังหวัดอุบลราชธานี ประมาณ 200 คนพากันมาแสดงความเห็นต่อต้านไม่เอาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในเวทีเสวนาและพากันวอล์กเอาต์ออกจากห้องประชุม มาจัดไฮปาร์คต่อต้านที่ด้านล่างของโรงแรมนานประมาณ 1 ชั่วโมง
     
       จากนั้นพากันเดินรณรงค์แจกเอกสารชี้แจงผลเสียของการมีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในประเทศไทยไปตามถนนในเขตเทศบาลนครอุบลราชธานี ซึ่งได้รับความสนใจจากประชาชนที่ผ่านไปมาจำนวนมาก
     
       น.ส.สดใส สร่างโศก แกนนำกลุ่มต่อต้านโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ระบุว่า โรงงานไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน ประเทศที่เจริญแล้ว ไม่อนุญาตให้นำพลังงานชนิดนี้มาใช้ และประเทศที่ใช้อยู่ก็กำลังจะสั่งปิดโรงไฟฟ้าลงเรื่อยๆ แต่ประเทศไทยกลับรับเอามหันตภัยร้ายของนิวเคลียร์มาอยู่ใกล้ตัว ทำให้องค์กรเครือข่าย 20 แห่งในจังหวัดออกมาร่วมกันคัดค้านแสดงความเห็นในการจัดเวทีเสวนาวันนี้ เพราะถือเป็นความพยายามจะมาสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคีลยร์ในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานีให้ได้
     
       สำหรับแผนพัฒนาไฟฟ้าสำรอง หรือ พีดีพี 2010 ระหว่างปี 2554-2573 สมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์เวชชาชีวะ อนุมัติแผนให้มีพลังงานไฟฟ้าจากนิวเคลียร์อยู่ในระบบจำนวน 5,000 เมกะวัตต์ ในพื้นที่ 5 จังหวัดประกอบด้วย จ.สุราษฎร์ธานี ชุมพร ตราด นครสวรรค์ และ จ.อุบลราชธานี และให้มีโรงไฟฟ้าถ่านหิน 10 โรง โรงไฟฟ้าจากก๊าซ 20 โรง
     
       ต่อมารัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปรับปรุงแผนพีดีพี 2010 โดยให้มีพลังงานจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เหลืออยู่ในแผน 2,000 เมกะวัตต์
     
       แต่เพิ่มโรงไฟฟ้าความร้อนร่วมก๊าซธรรมชาติ 25,451 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าถ่านหิน 4,400 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าระบบพลังงานร่วม Co-generation 6,374 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน 9,516 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้ากังหันก๊าซ 750 เมกะวัตต์ และซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศ 6,572 เมกะวัตต์
     
       สำหรับแผนการสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ 2 โรง การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาให้คัดเลือกใน 4 พื้นที่คือ จ.สุราษฎร์ธานี ตราด กาฬสินธุ์ และ จ.อุบลราชธานี

10 มหัศจรรย์ เรียนรู้วิถีเกษตรตามรอยพ่อ




      พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นแบบอย่างและทรงมีพระอัจฉริยภาพด้านการเกษตร ผลงานอันเนื่องมาจากปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง หลักการทรงงาน พระราชกรณียกิจต่างๆ ล้วนแล้วแต่นำมาซึ่งการพัฒนาด้านการเกษตรของไทย


หุ่นจำลองการประกอบราชพิธีมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ

       และด้วยความอยากรู้ของฉัน ในพระราชกรณียกิจ และพระอัจฉริยภาพของในหลวง ฉันจึงได้มุ่งหน้าสู่ “พิพิธภัณฑ์การเกษตรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” ที่ตั้งอยู่ ณ ต.คลอง1 อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี
     
       พิพิธภัณฑ์การเกษตรฯแห่งนี้ จัดแสดงด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ แบ่งพื้นที่การจัดแสดงออกเป็น 10 โซน ในแนวคิด “10 โซนมหัศจรรย์การเรียนรู้วิถีเกษตรตามรอยพ่อ” ซึ่ง ได้รวบรวม พระราชประวัติ พระราชกรณียกิจ ผลงานอันเนื่องมาจากพระอัจฉริยภาพ หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง รวมทั้งวิวัฒนาการ ภูมิปัญญา นวัตกรรม และพัฒนาการของเกษตรกรไทย ไว้สำหรับเป็นแหล่งเรียนรู้ท่องเที่ยวของประชาชนผู้สนใจ


ห้องชมภาพยนตร์

       สำหรับ โซนที่ 1 “พระราชพิธีในวิถีเกษตร” จัดแสดงหุ่นจำลองการประกอบราชพิธีมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ พิธีเพื่อความเป็นสิริมงคลสร้างขวัญกำลังใจให้แก่ชาวนา พร้อมประกอบด้วยคำอธิบาย ความเป็นมาและความหมายของพระราชพิธี


ทางเดินวงกลมรอบห้องชมภาพยนตร์จัดแสดงพระราชกรณียกิจตลอดการครองราชย์กว่า 60 ปี

       ถัดไปในโซนที่ 2 เป็นห้องฉายภาพยนตร์ เรื่อง “กษัตริย์ เกษตร” เผยแพร่เรื่องราวของราษฎร ที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ จนสามารถเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตให้มีพออยู่พอกิน ถ่ายทอดเรื่องราวผ่านภาพยนตร์ทางการ์ตูน แอนิเมชัน ซึ่งเมื่อดูแล้ว ฉันรู้สึกซาบซึ้งปีติในน้ำพระทัยของงพระองค์ท่านอย่างมาก
     
       ในโซนนี้ที่ข้างนอกห้อง ยังมีการจัดแสดงเรื่องราวพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตลอดระยะเวลาที่ครองสิริราชสมบัตินานกว่า 60 ปี โดยมีการจัดทางเดินเป็นวงกลมรอบห้องฉายภาพยนตร์


วีดีทัศน์ถ่ายทอดพระราชจริยวัตร ที่ โซนที่ 5

       เมื่อเดินออกมาจะเป็นโซนที่ 3 มีซุ้มประตูรวงข้าวโดดเด่น จัดแสดง “เรื่องของพ่อในบ้านของเรา” นำเสนอเรื่องราวหลักการทรงงานทั้ง 23 ข้อที่ทำให้คนไทยกว่า 60 ล้านคนอยู่เย็นเป็นสุขมาถึงปัจจุบัน และพอสุดทางเดินนั้นก็ได้พบกับ บ้านชาวนาและสวนผักจำลอง เป็นพื้นที่ในโซนที่ 4 “หัวใจใฝ่เกษตร” เป็นจุดนันทนาการสำหรับเด็ก คล้ายๆสนามเด็กเล่น แต่เป็นของเล่นในแบบอุปกรณ์การเกษตร


พื้นที่จัดแสดง จำลองศูนย์ศึกษาการพัฒนา อันเนื่องมาจากพระราชดำริ “อ่าวคุ้งกระเบน”

       ฉันเดินต่อมาสู่พื้นที่เปิดโล่งในโซนที่ 5 โซนนี้จัดแสดงนิทรรศการ “ตามรอยพ่อ อยู่อย่างพอเพียง” ห้องโถงโล่ง มีโคมไฟตกแต่ง แสดงเรื่องราวเศรษฐกิจพอเพียง จัดแสดงวีดีทัศน์ที่ถ่ายทอดพระราชจริยวัตร พระราชกรณียกิจที่สะท้อนหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เป็นตัวอย่างที่ควรน้อมนำไปใช้เป็นแบบอย่าง
     
       เป็นที่ทราบกันดีว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มิได้ทรงงานแต่ในพระราชวังเพียงเท่านั้น พระองค์ท่านยังได้ทรงเสด็จเยี่ยมเยียนราษฎรตามภูมิภาคต่างๆทั่วประเทศ โดยทรงมีพระราชกรณียกิจมากมายในการแก้ไขพื้นที่ที่ได้รับความเดือนร้อน พระองค์ท่านทรงค้นคว้าทดลองโครงการส่วนพระองค์ขึ้นมามากมาย แต่ละโครงการนั้นล้วนแล้วแต่นำพาประโยชน์สุขมาสู่ประชาชน เช่น โครงการหลวง ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริทั้ง 6 เป็นตัวแทนการแก้ไขปัญหาในแต่ละภูมิภาค ซึ่งความรู้ในส่วนนี้จัดแสดงอยู่ที่โซน 6 “วิถีเกษตรของพ่อ”


แท่นจัดแสดงรางวัล จากพระอัจฉริยภาพด้านการเกษตร

       ส่วนโซนที่ 7 “นวัตกรรมของพ่อ” จัดแสดงเรื่องราวสิ่งประดิษฐ์ ด้วยพระวิริยะและพระปรีชาสามารถทรงได้ประดิษฐ์คิดค้นอุปกรณ์ต่างๆเพื่อพัฒนาการเกษตรไทย ตัวอย่างเช่น กังหันน้ำชัยพัฒนา พระองค์ทรงมีพระราชดำริ “ให้จดสิทธิบัตร จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าและแจ้งในสิ่งที่คิดค้นเพื่อเป็นสมบัติและภูมิปัญญา เป็นมรดกสำหรับคนไทยและประเทศไทย” และยังมีสิ่งประดิษฐ์ในด้านอื่น จัดแสดงไว้ให้ชม


กังหันน้ำชัยพัฒนา

       โซนที่ 8 โซน“ภูมิพลังแผ่นดิน” มีจุดเด่นเป็นโดมที่ใช้ไม้สนในการสร้างแบบยุโรปเพื่อสื่อถึงความอบอุ่น เมื่อได้เข้าไปด้านใน ภายในประกอบด้วยภาพวีดีโอ ที่ย้อนไปเมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังทรงพระเยาว์ จัดแสดงภายในโดมไม้สน และยังมีการจัดแสดงยุคสมัยที่ 1-7 ตั้งแต่ที่พระองค์ได้พระราชสมภพ ขึ้นครองราชย์ และ ปฏิบัติพระราชกรณียกิจอย่างมิทรงย่อท้อเหน็ดเหนื่อย
     
       ทุกคนต่างทราบดีในเรื่องสายพระเนตรที่ยาวไกลและพระอัจฉริยะภาพของพระองค์ท่าน ในการบริหารจัดการน้ำ ที่ทำให้เกิดโครงการในพระราชดำริด้านการพัฒนาแหล่งน้ำ เพื่อพสกนิกรปวงชนชาวไทย จะได้มีน้ำใช้น้ำกิน ซึ่งสามารถรับรู้ถึงพระอัจฉริยะภาพของพระองค์ท่านได้ในโซนที่ 9 ที่รออยู่ข้างหน้า


พื้นที่จัดแสดง จำลอง โครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา

       โซนที่ 9 เป็นโซน “น้ำ คือ ชีวิต” โซนนี้นอกจากการจัดแสดงต่างๆแล้ว ยังมีสิ่งเตือนใจคนไทยด้วยพระราชดำรัสของในหลวง ณ สวนจิตรลดา 17 มี.ค. 2529 ซึ่งมีความว่าตอนหนึ่ง “หลักสำคัญว่าต้องมีน้ำไว้บริโภค มีน้ำไว้ใช้ เพราะว่าชีวิตอยู่ที่นั้น ถ้ามีน้ำคนอยู่ได้ ไม่มีน้ำ คนอยู่ไม่ได้" จัดแสดงพระราชกรณียกิจต่างๆ วิธีการทรงงานของพระองค์ท่านในการพัฒนาแหล่งน้ำ เพื่อใช้ในด้านอุปโภคบริโภคและใช้ในการเกษตร


โซนจัด แสดง “น้ำ คือ ชีวิต”

       มาถึงโซนสุดท้าย ตั้งอยู่กลางอาคารจัดแสดง โซนที่ 10 “ลานภูมิปัญญา” บรรยากาศของโซนนี้เป็นพื้นที่ร่มรื่น สงบเหมาะกับนั่งพักหลังการเดินชมในส่วนต่างๆ ประดับฝาผนังด้วยรูปพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และได้ประดับแผ่นศิลาฤกษ์ซึ่งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จมาทรงวางศิลาฤกษ์ อาคารพิพิธภัณฑ์การเกษตรเฉลิมพระเกียรติฯ เมื่อ พ.ศ.2539 ด้านบนเป็นภาพนูนต่ำ แสดงสัญลักษณ์ กรม กองต่างๆ ของกระทรวงเกษตรและ สหกรณ์ ไว้ให้ผู้ที่ได้มานั่งพัก ได้ชมกัน
     
       เมื่อฉันได้เดินชมทั่วแล้ว ได้เห็นถึงน้ำพระทัยที่พระองค์ทรงดูแลทุกข์สุข ของประชาชนของท่าน อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ทำให้ฉันได้รับรู้และเรียนรู้ เรื่องราวต่างๆมากมายด้านการเกษตรของพระองค์ท่าน


“ลานภูมิปัญญา”

       นอกจากสิ่งน่าสนใจใน 10 โซนแล้ว ในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ยังมี ส่วนจัดแสดงภายนอกอาคาร เป็นส่วนเนื้อหาภาคปฏิบัติที่สอดคล้องเชื่อมโยงกับเนื้อหาที่จัดแสดงภายในอาคาร มีการเรียนรู้ตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง อาทิ ฐานชุมชนพอเพียง 1 ไร่พึ่งตนเอง ฐานมหัศจรรย์เกษตรไทย ฐานนวัตกรรมพลังงานทดแทน
     
       นับได้ว่าที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวเรียนรู้ชั้นดี ให้ผู้ที่เข้าชมได้ซึมซับนำมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิต โดยเฉพาะกับแนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งถ้าหากคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศอยู่ด้วยพื้นฐานของคำว่า“พอเพียง เพียงพอ” ประเทศของเราจะสวยงามน่าอยู่กว่านี้อีกมากโข
     
       **************************************************************
       พิพิธภัณฑ์เกษตรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตั้งอยู่ที่ 13 ถนนพหลโยธิน ต.คลอง1 อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี 12120 ตรงข้ามโรงพยาบาลนวนคร เปิดบริการวันอังคาร-อาทิตย์ เวลา 09.30-15.30 น.สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร.0-2529-2212-13 หรือ www.wisdomking.or.th เปิดให้เข้าชมฟรี ถ้าต้องการมาเป็นหมู่คณะ กรุณาติดต่อทางสำนักงานพิพิธภัณฑ์ฯ

แดงแห่ตามไล่ “มาร์ค” ปฏิบัติภารกิจที่เชียงใหม่ เผยมีจอดขวาง-ทุบรถบุบ




ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - “อภิสิทธิ์” ซุ่มเงียบขึ้นเชียงใหม่ปฏิบัติภารกิจ แต่ไม่รอดเจอคนเสื้อแดงแห่ตามไล่ ช่วงเช้าไปแม่แฝกเจอรถจอดขวาง-คนทุบรถจนต้องใช้รถสำรอง ส่วนช่วงบ่ายเสื้อแดงแห่ตามมาไล่ถึงหน้าโรงแรมที่จัดงาน แต่สุดท้ายไม่มีเหตุรุนแรงใดๆ
     
       กลุ่มคนเสื้อแดงจำนวนหนึ่งได้รวมตัวออกติดตามขับไล่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเดินทางมาทำภารกิจที่จังหวัดเชียงใหม่ในวันนี้ (20 ก.ค.55) โดยมีรายงานว่ามีการทุบรถที่นายอภิสิทธิ์ใช้ในการเดินทางจนได้รับความเสียหาย
     
       นายอภิสิทธิ์ ซึ่งเดินทางมายังจังหวัดเชียงใหม่ตั้งแต่ช่วงเช้าที่ผ่านมา ได้ออกปฏิบัติภารกิจโดยเดินทางไปเยี่ยมศูนย์การเรียนรู้ปฏิรูปที่ดินเพื่อประชาชนโดยประชาชน บ้านโป่ง ตำบลแม่แฝก อำเภอสันทราย ก่อนที่ในช่วงบ่ายจะเดินทางมาเป็นประธานเปิดการประชุมโครงการเสริมสร้างศักยภาพกรรมการการสาขาพรรค/เจ้าหน้าที่/ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ ของพรรคประชาธิปัตย์ในภาคเหนือ ประจำปี 2555 ณ โรงแรมเชียงใหม่แกรนด์วิว จังหวัดเชียงใหม่
     
       ทั้งนี้ ในระหว่างที่นายอภิสิทธิ์เข้าเยี่ยมชมศูนย์การเรียนรู้ปฏิรูปที่ดินเพื่อประชาชนโดยประชาชน บ้านโป่ง อันเป็นศูนย์การเรียนรู้เกี่ยวกับการจัดทำโฉนดชุมชน ซึ่งเป็นนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์เมื่อครั้งเป็นรัฐบาล ปรากฏว่ามีกลุ่มคนเสื้อแดง จำนวนประมาณ 100 คน ได้เคลื่อนขบวนเข้ามาชุมนุมขับไล่นายอภิสิทธิ์ พร้อมใช้รถติดเครื่องขยายเสียงกล่าวด่าทอและโจมตีนายอภิสิทธิ์อย่างรุนแรง สร้างความไม่พอใจให้กับประชาชนบางส่วนที่อยู่ภายในศูนย์
     
       โดยมีรายงานว่ามีประชาชนภายในศูนย์บางรายได้ใช้หนังสติ๊กยิงเข้าใส่เครื่องเสียงของกลุ่มคนเสื้อแดงเป็นการตอบโต้ สร้างความไม่พอใจให้กับคนเสื้อแดงที่มาชุมนุมขับไล่นายอภิสิทธิ์จนเกือบจะมีกากระทบกระทั่งกัน อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มาดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่สามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้
     
       นอกจากนี้ ยังมีรายงานด้วยว่า นายระหว่างการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงได้นำรถมาปิดล้อมขบวนรถของนายอภิสิทธิ์ รวมทั้งมีการทุบรถที่นายอภิสิทธิ์ใช้โดยสารจนได้รับความเสียหาย ทำให้นายอภิสิทธิ์ ต้องใช้รถสำรองในการเดินทางต่อแทน
     
       ขณะที่การเดินทางมาเป็นประธานเปิดการประชุมโครงการเสริมสร้างศักยภาพกรรมการการสาขาพรรค/เจ้าหน้าที่/ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ ของพรรคประชาธิปัตย์ในภาคเหนือ ประจำปี 2555 ณ โรงแรมเชียงใหม่แกรนด์วิวนั้น มีกลุ่มคนเสื้อแดงจำนวนประมาณ 30 คน นำโดยดีเจอ้วน หรือนายอภิชาติ อินสอน เดินทางมาชุมนุมขับไล่นายอภิสิทธิ์เช่นกัน
     
       อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ตำรวจได้กันไม่ให้กลุ่มคนเสื้อแดงเข้าไปใกล้สถานที่จัดประชุม โดยอนุญาตให้ชุมนุมอยู่ที่บริเวณด้านหน้าโรงแรมเท่านั้น และหลังจากที่นายอภิสิทธิ์เสร็จสิ้นภารกิจและเดินทางกลับ กลุ่มคนเสื้อแดงที่มาชุมนุมอยู่หน้าบริเวณโรงแรมก็ได้สลายตัวไป
     
       สำหรับการประชุมที่จัดขึ้นในวันนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับบุคลากรของพรรคในการปฏิบัติงาน รวมทั้งเป็นการออกเผยแพร่ความรู้ของพรรคเพื่อให้สมาชิกและประชาชนได้ทราบข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับปัญหาต่างๆ ของบ้านเมืองที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน โดยนอกจากนายอภิสิทธิ์จะเดินทางมาเป็นประธานในพิธีแล้ว ยังมีแกนนำของพรรคอีกหลายคนขึ้นกล่าวปราศรัยบนเวที เช่น นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ เป็นต้น

จทบ.พิษณุโลกช่วย“น้องได”ลูกกตัญญู-สะพัดโจรบาปจ้องขโมยเงิน-ของบริจาค




สุโขทัย - จังหวัดทหารบกพิษณุโลก เข้าเยี่ยมพร้อมมอบเงิน-ข้าวสาร ช่วยเหลือ “น้องได” ลูกกตัญญู ต้องหยุดเรียนมหาวิทยาลัยในปีแรก เพื่อดูแลแม่ ขณะที่คนใจบุญร่วมบริจาคเงิน-สิ่งของช่วยเหลือ จนถูกโจรจ้องขโมยต่อ เทศบาลฯต้องย้าย 2 แม่ลูกพักบ้านเพื่อน ก่อนต่อเติมบ้านให้
     
       วันนี้ (20 ก.ค.55) พ.อ.เลอเกียรติ สุนทรเกส รองผู้บังคับการจังหวัดทหารบกพิษณุโลก และคณะนายทหาร ได้เดินทางมาเยี่ยมเยียนครอบครัวของ น.ส.ณัฐธิดา สุปิรัยธร อายุ 18 ปี หรือน้องได ลูกกตัญญูที่ต้องหยุดเรียนปี 1 คณะมนุษย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร เพื่อมาคอยดูแลนางจรรยาภรณ์ สุปิรัยธร อายุ 48 ปี มารดาที่ป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ที่บ้านหมู่ 5 ต.กลางดง อ.ทุ่งเสลี่ยม จ.สุโขทัย
     
       พ.อ.เลอเกียรติ ได้กล่าวให้กำลังใจและชมเชยความกตัญญูของน้องได พร้อมเป็นตัวแทนจังหวัดทหารบกพิษณุโลก มอบข้าวสารและเงินสดจำนวนหนึ่งให้กับครอบครัวน้องไดอีกด้วย
     
       ขณะที่บรรยากาศทั่วไปนั้น ยังคงมีเพื่อนบ้านแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนจำนวนมาก พร้อมทั้งเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลทุ่งเสลี่ยม ก็ได้มาทำกายภาพบำบัดให้กับแม่ของน้องไดอย่างสม่ำเสมอ
     
       รายงานข่าวแจ้งเพิ่มเติมว่า หลังน้องไดลูกกตัญญูเป็นข่าวดังออกไปทั่วประเทศ ได้มีประชาชนเห็นใจบริจาคเงินช่วยเหลือแล้วกว่า 1,700,000บาท และมีหลายหน่วยงานมอบเงินสด -สิ่งของช่วยเหลือจำนวนมาก
     
       ทำให้ญาติๆ เกิดความห่วงใยในความปลอดภัย เนื่องจากบ้านที่พักอาศัยของแม่น้องได เป็นห้องโล่งไม่มีประตูปิดกั้น รวมทั้งมีกระแสข่าวว่ามีคนจ้องมาขโมยเงินกับสิ่งของบริจาคด้วย เทศบาลตำบลกลางดง จึงได้มาช่วยต่อเติมตัวบ้าน และทำห้องนอนให้ใหม่ พร้อมกับให้น้องได และแม่ที่ป่วย ย้ายมาพักอยู่กับเพื่อนบ้านเป็นการชั่วคราวแล้ว

รพร.สระแก้ว จัดกิจกรรมเทิดพระเกียรติสมเด็จพระบรมฯในงาน "ร้อยนิทรรศน์ ยลรัตนโกสินทร์ ชุด สดุดีมหาวชิราลงกรณ"


by สุรีพร สกุณี งานสุขศึกษา โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว
ฯพณฯศาสตราจารย์ธานินทร์ กรัยวิเชียร ประธานมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว เป็นประธานในพิธีการเปิดงาน "ร้อยนิทรรศน์ ยลรัตนโกสินทร์ ชุด สดุดีมหาวชิราลงกรณ" พร้อมเยี่ยมชมทีมหน่วยแพทย์เคลื่อนที่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว นำโดยนายแพทย์เกรียงไกร โกวิทางกูร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว  ออกให้บริการตรวจสุขภาพประชาชน ร่วมกับมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช และสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ในงาน  ระหว่างวันที่ 3-8 กรกฎาคม 2555 ที่ผ่านมา ณ อาคารนิทรรศน์รัตนโกสินทร์ ถนนราชดำเนินกลาง กรุงเทพฯ เนื่องในวโรกาสที่พระองค์ทรงเจริญพระชนมายุครบ 5 รอบ (60 พรรษา) ในวันที่ 28 กรกฏาคม 2555 ที่จะถึงนี้  โดยในช่วงเวลาดังกล่าว ได้จัดกิจกรรมในการให้บริการประกอบด้วย การตรวจคัดกรองภาวะสุขภาพ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง คัดกรองภาวะเสี่ยงโรคอ้วนลงพุง ทดสอบสมรรถนะร่างกาย วัดความจุปอด ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ เทคนิคการคลายกล้ามเนื้อส่วนลึก โดยนักกายภาพบำบัด บริการการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ตรวจธาตุเจ้าเรือน นวดแผนไทย และให้คำปรึกษาแนะนำการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ ตามหลัก 3 อ. 2 ส. เป็นต้น โดยกิจกรรมของมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชจากทั้งหมด 21 แห่งทั่วประเทศ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฏราชกุมาร องค์นายกิตติมศักดิ์มูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช ในครั้งนี้ จะยังมีการให้บริการอย่างต่อเนื่องที่ อาคารนิทรรศน์รัตนโกสินทร์ ถึงวันที่ 29 กรกฎาคม 2555 นี้


สำนักงานสาธาณสุขจังหวัดกำแพงเพชร ยังคงเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคมือเท้าปากอย่างใกล้ชิด



by งานสารสนเทศและสุขศึกษา สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกำแพงเพชร
               นายแพทย์ณัฐพร  วงษ์ศุทธิภากร นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดกำแพงเพชร สั่งเฝ้าระวังสถานการณ์โรคมือเท้าปากอย่างใกล้ชิด หลังจากเกิดการแพร่ระบาดของโรคมือเท้าปากในประเทศไทย สำหรับสถานการณ์โรคมือเท้าปากของจังหวัดกำแพงเพชร ตั้งแต่เดือนมกราคม-กรกฎาคม ๒๕๕๕ พบผู้ป่วยจำนวน ๑๐๑ ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต

               ทั้งนี้ทางสำนักงานสาธารณสุขมีมาตรการการดำเนินงานป้องกันควบคุมโรคมือเท้าปาก ส่วนมาตรการในศูนย์เด็กเล็ก และสถานศึกษา ให้สถานบริการทุกแห่งติดตามผู้ป่วยทุกวัน และให้ความรู้กับผู้ปกครองที่มีบุตรอายุต่ำกว่า ๕ ขวบ หากมีไข้สูง ซึม และอาเจียน ให้รีบพาเด็กไปพบแพทย์ทันที ทั้งนี้เพื่อการดูแลควบคุมโรคอย่างใกล้ชิด ได้เน้นให้มีการคัดกรองเด็กทุกรายที่มีอาการไข้ทุกวัน หากพบแนะนำให้กลับบ้านและหยุดเรียน ๑ อาทิตย์ หากพบผู้ป่วยในห้องเรียนเดียวกันมากกว่า ๒ ราย อาจพิจารณาปิดโรงเรียนหรือสถานศึกษาชั่วคราวเป็นเวลา ๕ วัน และมีการรณรงค์ให้ทางสถานศึกษาทำความสะอาดตามอาคารสถานที่ ห้องเรียน โต๊ะ เก้าอี้ ข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ เน้นการรับประทานอาหารร้อนช้อนกลาง อาหารที่ถูกสุขอนามัย การปฏิบัติตัวในการป้องกันโรค เช่น ล้างมือให้สะอาดหลังสัมผัสสิ่งของต่าง ๆ หลังเข้าห้องน้ำห้องส้วม

               อย่างไรก็ดี ในช่วงนี้ ฝนตกบ่อย อากาศชื้น ผู้ปกครองควรให้ความสนใจบุตรหลานอย่างใกล้ชิดคอยสังเกตอาการไข้ เพราะอาจป่วยได้จากหลายโรค ไม่เฉพาะโรคมือเท้าปาก หากพบเด็กป่วยมีอาการตัวร้อน เป็นไข้ หรือมีอาการผิดปกติ กินยาลดไข้แล้ว ๓ วันยังไม่ดีขึ้น ควรพาไปพบแพทย์ นายแพทย์ณัฐพรกล่าว

โรงพยาบาลอุดรธานีจัดโครงการมหกรรมคุณภาพทางการพยาบาลประจำปี ๒๕๕๕


โรงพยาบาลอุดรธานีจัดโครงการมหกรรมคุณภาพทางการพยาบาลประจำปี ๒๕๕๕
by สำนักสารนิเทศ


    เช้าวันที่ 20 กค 2555 ที่ห้องประชุมตึกอำนวยการ ๗ ชั้น โรงพยาบาลอุดรธานี นายแพทย์สมศักดิ์ สุจริตพุทธังกูร รักษาราชการผู้อำนวยการโรงพยาบาลอุดรธานีได้เป็นประธานเปิดโครงการมหกรรมคุณภาพทางการพยาบาลโดยมีบุคลากรทางด้านสาธารณสุขมาร่วมงานเป็นจำนวนมาก
     นางทัศนีย์ เทศประสิทธิ์   รองผู้อำนวยการฝ่ายการพยาบาลกล่าวรายงานว่า การจัดโครงการมหกรรมคุณภาพทางการพยาบาลเพื่อให้บุคลากรทางการพยาบาลในโรงพยาบาลอุดรธานีได้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในการปฎิบัติงานและสร้างเครือข่ายการจัดการความรู้ตลอดจนมีการวัดเปรียบเทียบคุณภาพทางการพยาบาลเพื่อค้นหาการปฎิบัติการพยาบาลที่เป็นเลิศ โดยกิจกรรมประกอบไปด้วยการประกวดผลงานทางด้านวิชาการและผู้วิพากษ์ผลงานซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญและมากด้วยประสบการณ์จากโรงพยาบาลอุดรธานี วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีอุดรธานี และมหาวิทยาลัยราชภัฎอุดรธานี จากนั้นประธานได้เดินเยี่ยมชมการจัดแสดงนิทรรศการแสดงผลงานจำนวน ๓๖ ชุด และการจัดแสดงผลงานทางคุณภาพทางการพยาบาลและนวัตกรรมทางการพยาบาลกว่า ๒๒ บูธ ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมงานเป็นอย่างมาก

โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมาจัดให้ความรู้เนื่องในวันตับอักเสบโลก



by งานประชาสัมพันธ์ กลุ่มภารกิจด้านการตลาดและลูกค้าสัมพันธ์ โรงพยาบาลมหาราชนครราชสี
เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2555 ที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา นายแพทย์ธวัชชัย วิวัฒน์วรพันธุ์ หัวหน้ากลุ่มงานอายุรกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมาเป็นประธานเปิดการจัดงานให้ความรู้เนื่องในวันตับอักเสบโลก ครั้งที่ 3 ซึ่งชมรมรักษ์ตับ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลศรีนครินทร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมาได้ร่วมกันจัดขึ้น โดยมีจุดมุ่งหมาย เพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับไวรัสตับอักเสบบีและซี รวมทั้งป้องกันการติดเชื้อรายใหม่ เพื่อให้ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบีและซี มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและสร้างเครือข่ายโรคตับ โดยใช้คำรณรงค์ปีนี้ว่า “มันใกล้ตัวมากกว่าที่ คุณคิด” กิจกรรมภายในงาน จัดบรรยายวิชาการ และบริการตรวจสุขภาพ มีผู้สนใจเข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก

สสจ.ชัยภูมิ จัดประกวดอำเภอดีเด่น โครงการสุขภาพดีวิถีชีวิตไทย



by อลงกต (สสจ.ชัยภูมิ)
            สืบเนื่องจากสถานการณ์ของผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ได้แก่โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หัวใจ หลอดเลือดสมอง และโรคมะเร็ง มีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆทั้งใน ระดับประเทศและในจังหวัดชัยภูมิ กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดชัยภูมิ ได้เล็งเห็นความสำคัญของปัญหาโรคไม่ติดต่อเรื้อรังได้กำหนดเป็นนโยบายเน้นหนักสำหรับหน่วยงานสาธารณสุข ในปีงบประมาณ ๒๕๕๔-๒๕๕๕ และเพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดชัยภูมิ ได้จัดกิจกรรมเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์และสร้างนวัตกรรม ในการดำเนินโครงการและเป็นการสร้างขวัญกำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดชัยภูมิ

             วันนี้ นายอุทัย คะสกุล นักวิชาการสาธารณสุขเชี่ยวชาญ (ด้านส่งเสริมพัฒนา) เป็นประธานการเปิดการประกวดอำเภอดีเด่นในการดำเนินงานโครงการสุขภาพดีวิถีชีวิตไทย ณ ห้องประชุมโรงแรมสยามริเวอร์รีสอร์ท อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ นายอุทัย กล่าวว่า โรคติดต่อเรื้อรังเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญและใกล้ตัวเรามาก จะทำให้เราต้องเสียงบประมาณในการรักษาผู้ป่วยกลุ่มดังกล่าวเป็นจำนวนมาก จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องร่วมมือกัน ประชาสัมพันธ์ให้ความรู้และดำเนินการคัดกรองภาวะสุขภาพได้แก่ ประชากรกลุ่มต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มประชากรอายุ 15 ปี ขึ้นไป ซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงโรคติดต่อไม่เรื้อรัง เนื่องจากหากเราคัดกรองแล้วพบว่าภาวะผิดปกติในระยะเริ่มแรกก็จะสามารถรักษาต่อได้ และยังเป็นการส่งเสริมพฤติกรรมในการป้องกันโรคได้ด้วย ทำให้สามารถลดค่าใช้จ่ายและการเสียชีวิตได้เป็นอย่างมากได้เป็นอย่างมาก

            นายอุทัย กล่าวต่ออีกว่า การจัดการประกวดอำเภอดีเด่นในการดำเนินงาน โครงการสุขภาพดีวิถีชีวิตไทย จังหวัดชัยภูมิ เป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ในการที่จะนำความรู้ ประสบการณ์และแนวทางในการดำเนินงาน ที่ได้จากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ไปใช้ในการดำเนินงานต่อไป **************** 19 กรกฎาคม 2555

สสจ.นครพนมเผาทำลายยาหมดอายุโครงการ “ไข่ใหม่แลกยาเก่า”




       สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครพนม ดำเนินการทำลายยาหมดอายุ ยาเสื่อมสภาพ กว่า ๗ แสนเม็ด มูลค่า ๗.๔ แสนบาท ซึ่งเป็นยาที่ได้รับคืนจากประชาชนตามโครงการ “ไข่ใหม่แลกยาเก่า” ระหว่างวันที่ ๓ – ๘ กรกฎาคม ๒๕๕๕ เป็นยารักษาโรคเบาหวาน-ความดัน-ยาลดไขมัน มากที่สุด แนะประชาชนควรใช้ยาตามที่ได้รับจากโรงพยาบาลโดยเคร่งครัด หากเป็นเบาหวาน ความดัน ไม่ควรไปซื้อยามาใช้เอง เพื่อป้องกัน การได้รับยาซ้ำซ้อน ยาตีกัน และควรใช้สมุดบันทึกประวัติการได้รับยาทุกครั้งเมื่อไปรับการรักษาที่โรงพยาบาล
            นายพีระ อารีรัตน์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงสาธารณสุขได้จัดทำโครงการ “ไข่ใหม่แลกยาเก่า” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนได้ใช้ยาดีอย่างถูกต้องเหมาะสม ลดการใช้ยาอย่างไม่จำเป็น โดยให้ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลทุกแห่งแจ้งให้ประชาชนในพื้นที่ส่งคืนยาเหลือใช้ ซึ่งจะมอบไข่ให้เป็นของสมนาคุณ และส่งยาเหลือใช้ดังกล่าวให้โรงพยาบาลทำการคัดแยกยาที่ยังไม่หมดอายุ และ ยาที่หมดอายุ ยาเสื่อมสภาพออกจากกัน และส่งยาหมดอายุ ยาเสื่อมสภาพ มายังสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครพนมเพื่อส่งสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขหรือทำลายที่จังหวัดต่อไป นั้น จากผลการดำเนินการดังกล่าว สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครพนมได้รับยาหมดอายุ ยาเสื่อมสภาพ ตามโครงการ “ไข่ใหม่แลกยาเก่า” จำนวน ๖๙๐,๗๖๘ เม็ด มูลค่า ๗๔๐,๙๒๗ บาท โดยเป็นยารักษาโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และยาลดไขมันในเส้นเลือกมากที่สุด ดังนั้น จึงได้กำหนดทำลายยาทั้งหมดโดยวิธีเผาไฟ ในวันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๕๕ เวลา ๑๓.๐๐ น. ณ กองร้อยตำรวจตระเวณชายแดน ที่ ๒๓๖ จังหวัดนครพนม โดยมีนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครพนมเป็นประธานการเผาทำลาย
           จากยาที่ได้รับคืนจำนวนมากดังกล่าว สอดคล้องกับข้อมูลการบริโภคยาของคนไทย ซึ่งค่าใช้จ่ายด้านยาของประเทศไทยมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากร้อยละ ๓๒ ของรายจ่ายด้านสุขภาพทั้งหมดใน
ปี ๒๕๔๒ เพิ่มเป็นร้อยละ ๔๖ ในปี ๒๕๕๑ คิดเป็นมูลค่าการขายปลีกสูงถึงประมาณ ๒.๗ แสนล้านบาท หรือมูลค่าการขายส่ง ๑.๕ แสนล้านบาท โดย ๒ ใน ๓ เป็นยานำเข้าจากต่างประเทศ จึงสะท้อนปัญหาการใช้ยาที่เกินจำเป็นของประชาชน ดังนั้น จึงขอเสนอแนะว่า ประชาชนควรใช้ยาตามที่ได้รับจากโรงพยาบาลหรือโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลโดยเคร่งครัด หากเป็นโรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคไต โรคไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจ ไม่ควรไปซื้อยามาใช้เอง เพื่อป้องกันการได้รับยาซ้ำซ้อน
ยาตีกัน และควรใช้สมุดบันทึกประวัติการได้รับยาทุกครั้งเมื่อไปรับการรักษาที่โรงพยาบาล หากประชาชนมีพฤติกรรมการใช้ยาที่ถูกต้องแล้ว เราก็จะไม่มียาเหลือใช้ และไม่จำเป็นต้องทำโครงการนำไข่ใหม่มาแลกยาเก่า เช่นนี้ต่อไป นพ.พีระกล่าวในที่สุด





   

ข่าวลำดับที่ ๖๒ / ๒๕๕๕ ลงวันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๕๕
ข่าวประชาสัมพันธ์ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครพนม
กลุ่มงานคุ้มครองผู้บริโภค

รพ.สรรพสิทธิประสงค์ จัดประชุมวิชาการ “ที่พึ่งสุดท้ายสำหรับผู้ป่วยระยะประคับประคอง”


รพ.สรรพสิทธิประสงค์ จัดประชุมวิชาการ “ที่พึ่งสุดท้ายสำหรับผู้ป่วยระยะประคับประคอง”
by สำนักสารนิเทศ
 วันนี้ (19 กรกฎาคม 2555)  เวลา 08.00-16.00 น. กลุ่มการพยาบาล รพ.สรรพสิทธิประสงค์ จัดประชุมวิชาการ เรื่อง “การพยาบาล : ที่พึ่งสุดท้ายสำหรับผู้ป่วยระยะประคับประคอง” ขึ้น ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 6 อาคาร 50 พรรษา มหาวชิราลงกรณ   เพื่อพัฒนางานบริการพยาบาลที่ได้มาตรฐานด้านการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคอง ให้ครอบคุลมหอผู้ป่วยที่ดูแลผู้ป่วยเรื้อรังและผู้ป่วยระยะสุดท้าย  ตลอดจนพัฒนาบุคลากรทางการพยาบาลด้านองค์ความรู้ทักษะการปฏิบัติการพยาบาล  เพื่อให้ผู้ป่วยและครอบครัวที่อยู่ในระยะคุกคามชีวิต  ได้รับการดูแลแบบประคับประคองและมีคุณภาพที่ดี  เนื่องจากปัจจุบันมีผู้ป่วยโรคเรื้อรังและผู้ป่วยที่เจ็บป่วยด้วยโรคที่ไม่สามารรักษาให้หายขาดได้ หรือไม่ตอบสนองต่อการรักษามีจำนวนเพิ่มมากขึ้น  และแม้ว่าจะใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัยในการรักษาแล้ว แต่เมื่อเข้าถึงวาระสุดท้ายของชีวิต  ผู้ป่วยย่อมเกิดความทุกข์ทรมานทั้งด้านร่างกายและจิตใจ  รวมถึงปัญหาเศรษฐกิจ สังคม และอื่นๆ

สำหรับการประชุมในวันนี้ ได้มี นางวันเพ็ญ  ดวงมาลา  รองผู้อำนวยการฝ่ายการพยาบาล เป็นประธานในการประชุม  และการประชุมจะมีขึ้นในระหว่างวันที่ 19 -20 กรกฎาคม 2555

ข่าว วิชิราภรณ์ / ภาพ ศักดา
บรรณาธิการ นายแพทย์มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์ รองผู้อำนวยการฝ่ายกิจการพิเศษ

ดูข่าวอื่น ๆ ได้ทาง http://www.sappasit.go.th/sappasit