...+

วันศุกร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

เมา



                       ใครว่าคนเมาขาดสติ ผู้เขียนเคยแย้งผู้พูดบ้างเหมือนกัน เพราะผู้เขียนจำได้ว่าตอนที่ยังชอบดื่มอยู่นั้น ก็เคยเมาถึงขนาดเดินโซเซ จนต้องมีคนประคองปีกกลับบ้าน
                       แต่ในขณะนั้นยังรู้ตัวได้ระดับหนึ่งว่ากำลังจะเดินไปไหน เดินอย่างไร แต่ประสาทสัมผัสมันเลอะเลือนไปบ้าง จะเรียกว่ายังมีสติและขาดสัมปชัญญะก็น่าจะได้ ตามแต่ขนาดของมึนเมาที่เติมดีกรีเข้าไป
                       แต่ถ้าใครบอกว่าเมาแล้วยังมีสติสมบูรณ์ดี แบบนี้เขาเรียกว่าไม่ใช่ เพราะจริงๆมันขาดสติตั้งแต่ยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มกันแล้ว ( คำว่าสติ ครูบาอาจารย์บางท่านอาจจะหมายความถึงคำว่าสติสัมปชัญญะ )
                       มีคนจำพวกหนึ่ง ที่ชอบเรียนรู้ทุกอย่างในโลก และจะหาความจริงของสิ่งที่เรียนรู้นั้นให้แจ้งชัด พวกนี้จึงชอบเรียน พอจบปริญญาปั๊บก็ต่อปริญญาโทเลย แล้วก็ปริญญาเอก บางทีสาขาเดียวไม่พอ ควบปริญญาเอกสองสาขาก็มี
                       พอความรู้อัดแน่นเต็มหัว.... ไม่มีที่ออกก็มาออกที่ตัวว่า..........กูเก่ง รู้ทุกเรื่องแก้ปัญหาได้หมด
                       แต่ในความเป็นจริงแล้ว...จริงหรือ
                       อย่างท่านอาจารย์สนอง วรอุไร เป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้ที่รู้รอบท่านหนึ่ง ท่านเรียนมานานแล้วก็ไหวตัวทันว่าสิ่งที่ท่านเรียนรู้มาไม่สามารถแก้ปัญหาของท่านได้ และไม่ใช่วิถีของความจริงแท้ในชีวิต
                      ท่านต้องทำตัวทำใจให้โง่ แล้วไปหาความฉลาดโดยไปเรียนสมถะกรรมฐานกับครูบาอาจารย์จนเห็นทางสว่าง และก็นำมาบอกพวกเราโดยการเดินทางไปบรรยายทุกแห่งหนที่คนเชิญท่าน เป็นที่น่าอนุโมทานา สาธุการยิ่ง
                      หลวงปู่พุทธทาสภิกขุ ( เงื่อม อินทปัญโญ ) ภายหลังที่ท่านเดินทางตามหาแก่นธรรมและแก่นพุทธศาสนา และปฎิบัติตัวปฎิบัติตนเยี่ยงศาสนทาส เหมือนฉายาของท่าน
                      ท่านผลิตงานให้แก่ประชากรโลกมากมาย และทำตัวให้เป็นเยี่ยงที่ควรเอาอย่างให้แก่พุทธบริษัทมานานหลายสิบปี ก่อนที่จะละสังขารจากโลกใบนี้ไป
                      ท่านเทศน์สอนอยู่ตอนหนึ่งว่าระบบการศึกษา มันทำให้คนรู้หนังสือรู้ภาษา รู้จักทำมาหากิน แต่ไม่ได้ให้หนทางแห่งการพ้นทุกข์แก่ใครหรือแก่ผู้ใดเลย เพราะเป็นระบบการศึกษาแบบหมาหางด้วน
                      มีแต่พุทธศาสนาที่สอนเกี่ยวกับเรื่องทุกข์ ที่มาแห่งทุกข์ สภาวะแห่งการพ้นทุกข์ และหนทางแห่งการพ้นทุกข์
                      ผัวเมียหลายคู่ที่ดูเหมือนไม่รักกันเลย เพราะผัวซ้อมเมีย เมียตีผัวแทบทุกวัน แต่กลับปล่อยตัวให้มีลูกดาษดื่น ไม่มีการคุมกำเนิด
                      แพร่พันธ์ความทุกข์ตัวน้อยให้มาอยู่ในกระแสทุกข์ ทั้งทางโลกและทางธรรม เพราะจำกัดหนทางในวิถีชีวิตของทุกข์ตัวน้อยด้วยคำว่ายากจน
                      บางคนถึงกับพ่นคำพูดออกมาว่าถ้าไม่มีฉันมันจะออกมาใช้กรรมกันได้หรือ
                      ผู้หญืงบางคนน้อยใจแฟนไม่ขอแต่งงานซะที ก็เลยแต่งงานประชดซะสามรอบ แต่งเสียให้เข็ด แล้วก็รู้ความจริงว่าเป็นอย่างนั้นเอง
                      ผู้ชายบางคนเมียตัวเองหนีตามชู้ไป ทิ้งให้เขาอยู่เลี้ยงลูกสองคนตามลำพัง หมดอาลัยตายอยากในชีวิต คิดสั้นเลยประชดชีวิตผูกคอตายกับขื่อบ้านด้วยผ้าคะม้าสุดรัก ตายสมใจ ทิ้งลูกสองคนให้เป็นขยะสังคมต่อไป
                      บ้างก็ยกเมียให้ผู้มีพระคุณอย่างลี้คิมฮวง ตัวละครเอกในหนังสือและหนังเรื่องฤทธิ์มีดสั้น ประพันธิ์โดยโกวเล้งที่แปลว่ามังกรโบราณ จากนั้นลี้คิมฮวงก็กลายเป็นลี้เดินเซ เพราะกรอกเหล้าใส่ปากตั้งแต่เช้ายันเย็น ที่แถมมากับการดื่มก็คือโรคตับแข็ง บางทีก็อาเจียนเป็นเลือด แล้วก็พร่ำพูดทำนองว่า"ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไป แต่เมาใจนี้ประจำทุกค่ำคืน "
                      ผู้เขียนเคยนั่งแท๊กซี่ที่มีคนขับรถเป็นชายสูงวัยอมทุกข์คนหนึ่ง คุยกันพอสมควร แล้วแท๊กซี่ก็เอ่ยขึ้นว่า "เมียผมอายุห้าสิบห้าปีแล้ว ยังอุตส่าห์หนีตามชู้วัยสี่สิบปีไปเป็นคนงานก่อสร้าง ผมกลุ้มใจมากเพราะอายชาวบ้าน ลูกๆก็โตหมดแล้ว บ้างก็มีผัวไปแล้ว แต่แม่มันดันหนีตามชู้ไป แล้วก็ไปหาเงินให้เขากินอีกเพราะผู้ชายมันไม่ทำอะไรเลย"
                      ผู้เขียนก็เลยถามว่า"แล้วลูกๆลุงอายไหม"
                      " ก็ไม่เห็นเขาอายอะไร "นั่นเป็นคำตอบ
                      ผู้เขียนก็ถามต่อไปว่า"แล้วลุงจะอายอะไร อายมากๆก็หาเมียใหม่ไปสิ "พอฟังถึงตอนนี้ คนขับแท๊กซี่ก็หัวเราะก๊ากราวกับพ้นจากทุกข์ไปเสียอย่างนั้น
                      จากรายกายวู้ดดี้ เกิดมาคุย 27/3/54 ได้มีการสัมภาษณ์ดร.เมล เกลผู้แต่งหนังสือ "THE META SECRET"หนังสือขายดีไปทั่วโลก ผู้ซึ่งมีประสบการณ์หลังความตายนานถึง19 นาที แล้วกลับมาเล่าเรื่องภพภูมิ เหมือนที่เราเคยได้ยินมามากพอสมควรกับการตายแล้วฟื้
                     สิ่งหนึ่งที่ดร.เมล เกลได้รับจากการตายคราวนั้นจริงๆก็คือ การเห็นความจริงในเรื่องกรรมและการปล่อยวาง ปัจจุบันดร.เมล เกล เป็นนักจิตบำบัดที่มีชื่อเสียง ดูรายละเอียดได้จากเว็บของวู้ดดี้ตามวันที่ๆอ้างถึงครับ
                      ผู้เขียนเคยนั่งทบทวนตัวเองอยู่เหมือนกัน แล้วเห็นว่าในช่วงชีวิตหนึ่งๆ มันเหมือนนั่งดูหนังเรื่องหนึ่งแต่มีหลายภาค ซึ่งเป็นเรื่องของตนเองล้วนๆจากเด็กมาถึงทุกวันนี้
                      จริงๆแล้วชีวิตของผู้เขียนก็คงไม่แตกต่างจากท่านผู้อ่านสักเท่าไร มีแต่รายละเอียดเล็กๆที่อาจจะทำให้แตกต่างออกไปบ้าง จากการศึกษาพระพุทธศาสนาแล้วเกิดศรัทธาที่แปลว่าความเชื่ออย่างค่อนข้างจะมั่นคง มันทำให้ผู้เขียนแก้ปัญหาทุกอย่างในชีวิตได้ค่อนข้างดี กับการพยายามที่จะรู้กายเคลื่อนไหว รู้ใจคิดนึกเท่านั้น
                      ตัวอย่างรายละเอียดเล็กๆอย่างหนึ่งเช่นสิ่งที่รู้และเห็นจากศีลห้าที่นับตั้งแต่ห้ามเบียดเบียนตัวเองและผู้อื่นไม่ว่าการฆ่า การขโมย การโกหก การดื่มสุรา และการประพฤติผิดในกาม อย่างน้อยก็เเป็นครื่องกันตนเองจากการเมาสิ่งต่างๆข้างต้นไปมาก
                       และศีลห้านีน่ะ ผู้เขียนมั่นใจว่าจะเป็นระเบิดเปิดทางให้เราเห็นหนทางแห่งการบรรลุธรรม ไม่เชื่อท่านผู้อ่านลองนั่งทบทวนดูสิครับ เอวัง

                                                               แทนสะมะชัยโย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น