...+
▼
วันอังคารที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2555
อร๊อย...อร่อย
อร๊อย...อร่อย
มนุษย์ที่เกิดมาในโลกนี้ ทุกคนจำเป็นต้องเสาะแสวงหาปัจจัยสี่อันมีอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค เพื่อเป็นปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิตอยู่มานาน นับตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์
และจากภูมิปัญญาของมนุษย์นี้เองที่สามารถจะแสวงหาพัฒนา ประดิษฐ์คิดค้นอุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆที่จะอำนวยความสะดวกสบายในชีวิตประจำวัน หรือเพื่อที่จะต่อสู้กับภัยธรรมชาติ อันเป็นสัญชาติญาณหรืออะไรก็แล้วแต่
หากมองย้อนหลังไปยังประวัติศาสตร์ในยุคต่างๆ ในเรื่องความเป็นอยู่ของมนุษย์แล้วจะเห็นได้ว่าสะดวกสบายขึ้นมากราวกับจะสามารถเนรมิตได้ทุกสรรพสิ่ง
ดังเช่นรถยนต์ เครื่องบิน รถไฟฟ้าความเร็วสูง ทำให้การเดินทางของมนุษย์ รวดเร็วสะดวกแทบจะทำให้มนุษย์เดินทางได้ราวกับเทวดาติดปีก หรือยิ่งไปกว่านั้นในปัจจุบัน
เครื่องปรับอากาศหรือแอร์คอนดิชั่น เครื่องปรับความร้อนหรือฮีทเตอร์ ก็ทำให้มนุษย์อยู่กับภัยธรรมชาติได้สะดวกยิ่ง ไม่ต้องร้อนอบอ้าวหนาวเหน็บกับอากาศที่นับวันๆยิ่งจะแปรปรวนขึ้นไปทุกทีๆ ดังที่พวกเราได้เห็นกันมาปีต่อปี เดือนต่อเดือน แม้กระทั่งวันต่อวัน
เศรษฐศาสตร์เป็นวิชาที่ว่าด้วยการจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่ให้เพียงพอและสนองต่อความต้องการของมนุษย์ เป็นนิยามของตำราวิชาการนี้เล่มหนึ่ง
แต่ในความเป็นจริงแล้วการที่จะจัดสรรทรัพยากรให้เพียงพออีกทั้งยังต้องสนองความต้องการของมนุษย์ในยุคสมัยนี้มันแสนยาก เพราะมนุษย์มีความต้องการไม่มีสิ้นสุดหรือจะเรียกอีกอย่างว่าไม่รู้จักพอก็ได้
กิน กาม เกียรติ แค่สามคำนี้ก็เป็นเรื่องที่ต้องเดินทางแสวงหากันมากและเสียเวลากับมันนานโข ที่เขาพูดกันว่ามีบางท่านเดินทางไปกินข้าวกลางวันที่ต่างประเทศแล้วกลับมาทำงานก็เป็นตัวอย่างที่เป็นเรื่องจริงเรื่องหนึ่ง
นี่เป็นเพียงแค่เรื่องกินนะ ถ้าเลยไปถึงกามคุณหรือกามอื่นๆเช่นอาหารตา อาหารหู อาหารจมูก อาหารกาย อาหารใจ แล้วไปไกลใหญ่
ลองพิจารณาเรื่องลาภ ยศ สรรเสริญ สุขเพิ่มเติมเข้าไปอีกสิ ภูเขาแห่งความต้อง การมันสูงๆๆ...สูงขึ้นอีกแค่ไหน สูงเพียงไร............ ยากจะรู้
กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ความอยากในกามคุณ ความอยากและความไม่อยากนานาประการ
โลภ โกรธ หลง ไฟสามกองที่ตามหรือลามมาแผดเผาใจของเรานั้นมันไม่ร้อนหรือไง
แต่ทำไมผู้คนต่างเพียรที่จะเพิ่มอกุศลมูลสามกองนี้ ( กิเลสรากเหง้าเพาะเชื้อให้เกิดกิเลสอื่นๆ )ราวกับเร่งสุมฟืนเข้าไปในกองไฟทั้งหลาย ให้มันร้อนเพิ่มขึ้นสูงขึ้น
"อร่อย"ผู้เขียนเชื่อว่าถ้าถาใครๆด้วยมคำๆนี้ให้ตรงกับภาษาที่ใช้ในแต่ประเทศกับคนทั้งโลกนี้ คงจะไม่มีใครไม่รู้จักคำๆนี้...จริงไหม
คำตอบที่ได้ก็คงจะเป็นคำว่า"จริง "และหากถามต่อไปอีกว่ามีใครไม่ชอบคำว่าอร่อยนี้ไหม ก็น่าจะได้คำตอบว่า"ไม่มี"อีกเช่นกัน
คำๆนี้แม้จะสั้น แต่มีอิทธิพลเหลือหลายต่อผู้คนทั้งโลก อย่างเหลือจะประมาณก็แทบจะว่าได้
คำว่าและความหมายของเศรษฐศาสตร์ข้างต้นจึงจะนำมาใช้กับคนที่พร่ำพูดแต่คำๆนี้ไม่ได้เลย
อร่อยความหมายในที่นี้ ออกจะกว้างไปมากกว่าอร่อยจากการกิน ดื่มเพราะนอก จากจะหมายถึงรสชาติที่เกิดจากปลายลิ้นแล้ว ยังหมายรวมถึงเสียงเสนาะที่เกิดจากการฟัง รูปสวยวิจิตรพิสดารจากการดู กลิ่นหอมรัญจวนใจจาการดม สัมผัสอ่อนนุ่มเย็นสบายกาย สัมผัสในสบายใจเช่นความชื่นมื่น มันเกินจากความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ไปมาก
จนแทบจะเรียกว่ามนุษย์อยากจะแสวงหาความเป็นเทพเทวาเพิ่มขึ้นทุกวัน อยากจะมีอิทธิฤทธิ์เสกได้ดังใจ แต่ในความเป็นจริงแล้วมันทำเช่นนั้นได้จริงหรือ คำตอบก็คือ"ไม่ใช่"
หากถามต่อไปว่าแล้วเรายังจะดิ้นรนขวนขวายคิดและทำเช่นนั้นกันไหม คำตอบก็คือ"ทำและยังดิ้นรน"
เพราะอะไรจึงเป็นเช่นนั้น
เพราะเราไม่รู้ความจริงว่าความต้องการหรือความพึงพอใจนั้นมันเป็นแต่เพียงสิ่งภายนอก นับวันมันมีแต่เสื่อมลง
เหมือนข้อเขียนของท่านอาจารย์ไพศาล วิสาโลว่ามนุษย์ ทุกวันนี้นอกจากจะติดวัตถุนิยมแล้วคือจะต้องมีโน๊ตบุ๊ค มือถือ ไอโฟน ไอพ๊อด แกแล๊กซี่แท็ป นอกเหนือไปจากบ้าน คอนโดมีเนียม รถยนต์หรือสิ่งของอำนวยความสะดวกสบายเเล้วที่เรียกว่าวัตถุนิยม
ยังติดแบรนด์เนมหรือยี่ห้อในสินค้านานาประการ ที่คนใช้บอกว่าใช้แล้วเกิดความมั่นใจ ความคิดนี้แพร่หลายกระจายไปทั่วโลก สินค้าแบรนด์เนมมันถึงแพง ที่เรียกตามภาษาการตลาดว่ามาร์กอัพราคาที่แพงโคตร
แต่ก็มีผู้คนจำนวนไม่น้อยเสาะแสวงหามาใช้อย่างไม่ย่อท้อแม้จะแสนแพงแค่ไหนก็ตาม ไม่รู้ว่ามันจะทำให้เธอและเขาเหล่านั้นสวยหล่อเท่ห์ขึ้นมาอีกสักเท่าไร ท่านอาจารย์ไพศาลท่านเรียกพฤติกรรมเช่นนี้ว่าบริโภคนิยม และมันอินเทรนด์หรือนิยมทำกันมากเสียด้วย
หากมองในแง่พระพุทธศาสนาน่าจะอธิบายได้ว่าผู้คนเหล่านี้สะสมนิสสัยปัจจัยมานาน ทำให้มีทิฎฐิเช่นนี้แล้วก็เป็นกรรรม โดยมีผลของกรรมตามมาที่เรียกว่าวิบากกรรม และเจ้าวิบากกรรมนั้นมีรางวัลให้ผู้ก่อกรรมที่เรียกว่า"รสอร่อย"จำให้ดี(เป็นคำสอนของท่านพุทธทาสภิกขุ)
ทั้งหลายทั้งปวงเกิดจากการยึดติดหรืออุปทานต่างๆ ดังที่ท่านได้อ่านกันมามากแล้ว หรือหาอ่านจากเฟซธรรมะและเว็บธรรมะที่มีผู้โพสต์กันอย่างมากมาย
ทุกข์นั้นมีอยู่คู่การเกิดแต่เราไปเสริมทุกข์ให้มันเพิ่มขึ้นด้วยคำว่าอร๊อย..อร่อยจากการยึดติด หรือการยึดมั่นถือมั่น เมื่อเวลาผ่านไปความจริงมันโผล่ออกมาให้เห็นจากความทุกข์มากมาย
อาจจะสายเกินไปที่จะตระหนักรู้โทษของคำว่าอร๊อย..อร่อยและทำให้ศักยภาพในการพัฒนาตนเองไปสู่ความเป็นอิสระจากภายในเพื่อที่จะได้พบความสุขอันประณีตนั้นหดหายไปสาธุชนทั้งหลาย เอวังด้วยประการฉะนี้
เดี่ยวเดิมเดิม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น