...+

วันอังคารที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2555

ให้ตั้งใจว่า ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา

ถาม : บางทีก็เหมือนมีปัญหา รู้สึกว่าเบื่อ ทุกข์ก็ไม่เอา ไม่อยากได้อะไรเลย แล้วทำไมคนเราถึงต้องเกิดมาตั้งแต่แรก ? จุติเกิดมาเป็นดวงวิญญาณเลยหรือคะ ? ตรงนั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นไม่ใช่หรือคะ ?

ตอบ : ถ้าต้นไม้มีเมล็ด เมล็ดก็จะงอกต่อไปเรื่อยๆ ถ้าไม่มีเมล็ด คือสิ้นเชื้อแล้วก็งอกต่อไม่ได้ อย่างเรางอกมาถึงปัจจุบันนี้แล้ว ทนไปอีกสักชาติหนึ่งไม่ได้หรือ ?

ตั้งใจว่า ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา ขึ้นชื่อว่าการเกิดต่อไปไม่มีสำหรับเราอีก เราต้องการที่เดียวคือพระนิพพาน แล้วกติกาความเป็นพระโสดาบันเป็นอย่างไร เราก็ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติไป โดยคิดอยู่เสมอว่า ถ้าเราตายตอนนี้เราขอไปพระนิพพานที่เดียว

ถ้ากำลังใจเราเกาะมั่นคงอย่างนี้ได้ สักเช้าวันละ ๑๐ นาที เย็น ๑๐ นาที ตายแล้วไปพระนิพพานได้แน่นอน เพราะเท่ากับว่าเราตั้งเป้าหมายเอาไว้แล้วว่าเราต้องการอย่างนั้น แบบเดียวกับจองตั๋วรถไว้ พอเราขึ้นรถ รถก็จะไปส่งยังจุดหมายเอง

ถาม : แต่หนูรู้สึกว่า กำลังใจของหนูจะไปตกร่องตรงอรูปพรหมซะก่อน

ตอบ : ไม่มีปัญหา เราก็ไปอรูปพรหมก่อน แล้วก็ตั้งใจว่าตายจากตรงนี้เราจะไปนิพพาน ใจสุดท้ายเอาเกาะนิพพานไว้ เราแค่เอานิพพานต่อท้ายไว้นิดเดียว กำลังอรูปพรหมสูงมากอยู่แล้ว แค่ต่อท้ายด้วยนิพพานก็พอ

ถาม : หนูรู้สึกว่าพวกรัก โลภ โกรธ หลง ถ้าคนถึงฌานจึงจะละได้หรือคะ ?

ตอบ : ไม่ใช่..ต้องเป็นตั้งแต่พระสกทาคามีหรือเป็นพระโสดาบันละเอียดที่เรียกว่าเอกพิชี ขึ้นไป ท่านทั้งหลายเหล่านี้ รัก โลภ โกรธ หลงแทบจะไม่ปรากฏแล้ว แต่ว่ารัก โลภ โกรธ หลงที่ยังมีอยู่นั้น เป็นรัก โลภ โกรธ หลงที่ละเอียด เป็นกิเลสที่ลึกอยู่ในใจ

อย่างเช่น เราตั้งความปรารถนาว่า เราจะเกิดเป็นเทวดาชั้นนั้นชั้นนี้ ยังตั้งความปรารถนาว่า เราจะเป็นพรหมชั้นนั้นชั้นนี้ หรือยังต้องตะเกียกตะกายเพื่อความหลุดพ้นต่อไป สภาพจิตยังมีงานที่ต้องทำอยู่ ก็ไม่สามารถที่จะหลุดพ้นได้ แต่ถ้าเราก้าวพ้นจากตรงนั้นแล้ว งานทุกอย่างไม่มี ก็จะปล่อยวางไปเอง

ถาม : คนที่หวังจะไปพระนิพพาน ก็ต้องละรัก โลภ โกรธ หลง ได้ก่อน ?

ตอบ : จำเป็นต้องละให้ได้ก่อน แต่ไม่จำเป็นต้องละตามลำดับ จากบุคคลธรรมดากระโดดไปเป็นพระอรหันต์เลยก็ได้ บุคคลธรรมดากระโดดไปเป็นพระอนาคามีเลยก็ได้ ขึ้นอยู่กับกำลังสติ สมาธิ ปัญญาของตนว่ามีขนาดไหน

ดังนั้นว่า..ในความเป็นพระโสดาบันละเอียดหรือพระสกทาคามี รัก โลภ โกรธ หลงก็เหลือน้อยมากแล้ว ยกเว้นว่าเราขาดสติ ก็จะโผล่มาหน่อยหนึ่ง แต่ถ้าเป็นพระอนาคามี รัก โลภ โกรธ หมดเกลี้ยงแล้ว เหลือแต่ตัวหลงอยู่นิดเดียว

ตัวหลงที่เหลืออยู่ก็ไม่มีอะไร เป็นส่วนละเอียดที่ยังเห็นว่า บางทีบุญกุศลก็ยังเป็นความดีอยู่ เราต้องตั้งหน้าตั้งตาทำให้มากไว้ ก็ถือว่าเป็นตัวหลงเหมือนกัน เป็นการหลงในด้านดี ก็คือยังเกาะความดีอยู่

จำไว้ว่าถ้าต้องการหลุดพ้น ต้องปล่อย แต่ตอนแรกก่อนที่จะปล่อย เราต้องเกาะในด้านที่ถูกไว้ คือเกาะดีไว้ก่อน ถ้าเราไม่มีอะไรเกาะ เราก็จะไม่มีให้ปล่อย อย่าทำข้ามขั้นนะ ทำดีให้ถึงที่สุด ถ้าทำดีถึงที่สุดแล้วก็จะปล่อยดีไปเอง

ถาม : อย่างศาสนาเซน เขาก็ละรัก โลภ โกรธ หลง ไม่ได้หวังนิพพาน ในเมื่อละรัก โลภ โกรธ หลงก็ยากกับพอๆ ไปนิพพานเหมือนกัน ทำไมเขาไม่ไปนิพพาน ?

ตอบ : ที่เขาไปไม่ได้ เพราะส่วนใหญ่ท่านเหล่านั้นมาทางสายพระโพธิสัตว์ กำลังใจของพระโพธิสัตว์จริงๆ ต้องทำละเอียดกว่าพระอรหันต์เสียอีก แต่ว่ายังมีงานสุดท้ายที่หวังอยู่คือ เพื่อช่วยเหลือสัตว์โลกต่างๆ ทำให้กำลังใจสุดท้ายไม่ตัด

แต่ความละเอียดของใจท่าน สามารถทำได้เหมือนพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี เหมือนพระอรหันต์

ถาม : อย่างเราจะแซงโค้งสุดท้าย แก่ไปสัก ๖๐ ปี ยังละไม่ได้ ยังโกรธอยู่ ยังหลงอยู่ สุดท้ายเราจะตาย เราแซงโค้งตอนสุดท้ายได้ไหม ?

ตอบ : โค้งสุดท้ายเป็นตอนที่เรานอนตะแหงกๆ อยู่ เรารักไหวไหมเล่า ? หามไปตีกับเขาไหวไหมเล่า ? ก็ไม่ไหว..ใช่ไหม ?

ในเมื่ออย่างนั้นเท่ากับ รัก โกรธ ก็หายไปอัตโนมัติอยู่แล้ว ก็เหลืออยู่อย่างเดียวว่า ร่างกายที่แก่กำลังจะตายชักอยู่นี้ เรายังเห็นว่าดีอยู่ไหม ? ถ้าเราเห็นว่าไม่ดี เราไม่เอาอีกแล้ว ขึ้นชื่อว่าการเกิดมามีร่างกายนี้เราไม่ต้องการอีกแล้ว ตายแล้วเราไปพระนิพพานดีกว่า ตอนนั้นก็จะไปแซงโค้งปาดหน้าเข้าพระนิพพานได้เอง

ถาม : ตอนนี้เรายังไม่เดือดร้อน ถ้าเรายังละไม่ได้ ?

ตอบ : ทำไปเรื่อยๆ ก่อน ละได้ไม่ได้ก็ช่างมัน ถ้าไม่ได้ก็คอยไปแซงโค้งสุดท้ายเอาตอนนั้น



สนทนากับพระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนเมษายน ๒๕๕๔



วัดท่าขนุน จ.กาญจนบุรี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น