...+

วันจันทร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2555

เจ้าหญิงสุมิตตาเทวี

สมเด็จพระปุราณทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นพระเชษฐาของเจ้าหญิงสุมิตตาเทวีนั้น ทรงบำเพ็ญบารมีมาแล้ว ๑๖ อสงไขยแสนกัป ชาติที่ตรัสรู้นี้ทรงครองเพศฆราวาสอยู่ในโลกียสุขนานถึงหนึ่งหมื่นปี จึงทรงทอดพระเนตรเห็นนิมิต ๔ ประการ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ ทรงสลดพระทัยแล้วเสด็จออกบวชมหาภิเนษกรมณ์ ทรงทำความเพียรอยู่เพียง ๗ วัน ก็ทรงบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ สำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ครั้นนั้น พระโพธิสัตว์ชื่อปัจฉิมทีปังกรออกบวชเป็นภิกษุสาวกอยู่ด้วย มีความพากเพียรปฏิบัติจนได้ฌาน อภิญญา สมาบัติ ไม่ต้องการบรรลุเป็นพระอรหันต์ ใคร่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต จึงบำเพ็ญความดีต่างๆ ให้ยิ่งขึ้น วันหนึ่งตั้งใจจะจุดประทีปโคมไฟในตอนกลางคืนให้สว่างไสวตลอดคืน บูชาพระปุราณทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า และเหล่าภิกษุสงฆ์ที่มาร่วมประชุมกัน

พระโพธิสัตว์นั้นจึงออกเดินบิณฑบาตน้ำมัน เพื่อไปใส่ในดวงประทีปจนเย็นแล้วก็ยังไม่ได้น้ำมันเลยแม้แต่หยดเดียว แต่ก็ไม่สิ้นความพยายาม จึงไปยืนบิณฑบาตอยู่ที่ประตูวังใกล้ตำหนักพระราชบิดาสุมิตตาเทวี พระราชธิดาทอดพระเนตรเห็นรับสั่งให้นางกำนัลไปถามความประสงค์ ทรงทราบแล้วเจ้าหญิงทรงถวายน้ำมันเมล็ดพันธุ์ผักกาดที่ทรงมีอยู่ทั้งหมด พร้อมทั้งทรงฝากข้อความเพื่อทูลถามพระบรมศาสดา ผู้ทรงเป็นพระเชษฐาว่าพระนางปรารถนาจะเกิดเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบ้างจะสำเร็จหรือไม่

โดยปกติแล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่ทรงพยากรณ์เรื่องนี้แก่สตรีเป็นอันขาด เพราะไม่ใช่วิสัยกระทำได้ เพศสตรีเป็นเพศที่อ่อนแอ มีใจคอคับแคบ โลเลง่าย จะประทานพุทธพยากรณ์แก่มนุษย์เพศชายที่สั่งสมบารมีมาดีแล้ว มีธรรมสโมธานครบ ๗ ประการ เช่นอยู่ในเพศบรรพชิต เป็นต้น

พระปุราณทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสพยากรณ์ให้เฉพาะพระโพธิสัตว์ปัจฉิมทีปังกรเท่านั้น ว่าจะสำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตกาลภายภาคเบื้องหน้า ส่วนเจ้าหญิงสุมิตตาเทวี ชาตินี้ยังพยากรณ์ไม่ได้ แต่ในชาติใดที่พระปัจฉิมทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้น พระพุทธจ้าพระองค์นั้นจะทรงพยากรณ์ให้เจ้าหญิงเอง เพราะในชาตินั้นพระนางจะเกิดเป็นเพศชาย มีคุณสมบัติครบ ควรได้รับสัทธเทศ(คำพยากรณ์)แล้ว

เมื่อเจ้าหญิงสุมิตตาเทวีทรงทราบว่า ในอนาคตอีก ๑๖ อสงไขยแสนกัป จะทรงได้รับพุทธพยากรณ์ ส่วนชาตินี้ทรงอาภัพที่ต้องเป็นสตรีเพศ พระราชธิดาทรงสลดพระทัยเป็นยิ่งนัก จึงเร่งบำเพ็ญบารมีต่างๆ ได้แก่ ถวายทานต่อพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน ทรงสมาทานศีล ๘ ประพฤติพรหมจรรย์ และหมั่นเจริญภาวนา ตราบจนสิ้นพระชนม์ แล้วบังเกิดในสุคตโลกสวรรค์

พระชาตินี้นับเป็นพระชาติแรกที่พระโพธิสัตว์ของเราทรงบังเกิดขึ้นพบกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นับแต่ทรงแสวงหาทางหลุดพ้นเป็นต้นมา ทำให้ทรงมีกำลังใจใหญ่หลวง มีพระอุตสาหะ วิริยะ ที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งบ้างให้จงได้ และได้ทรงบังเกิดต่อมาอีกนานนับภพนับชาติไม่ได้ แต่ละชาติก็ทรงบำเพ็ญบารมีด้านต่างๆ เรื่อยมาจนถึงพระชาติหนึ่ง ทรงอุบัติเป็นกษัตริย์ทรงพระนามว่า พระเจ้าอติเทวะ

พระเจ้าอติเทวะ

สมัยหนึ่งพระพรหมเทวสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้น พระองค์ทรงบำเพ็ญบารมีมาครบ ๑๖ อสงไขยแสนกัป จึงได้ตรัสรู้ ขณะเสด็จพุทธดำเนินไปยังมฤคทายวัน ซึ่งอยู่ใกล้นครกรัณฑกะ เพื่อทรงแสดงธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ตามพุทธประเพณีแต่เดิมมาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระบรมศาสดาเสด็จผ่านใกล้พระราชฐานของพระเจ้าอติเทวะ ผู้ครองนครกรัณฑกะ พระรัศมีกายของพระตถาคตเจ้าฉายเจิดจ้ากระทบจักษุประสาทของพระราชา จนเป็นเหตุให้ทรงตกตะลึงพรึงเพริด มีพระอาการสะดุ้งตกพระทัยกลัวเป็นอย่างยิ่ง เพราะทรงไม่รู้จักพระพุทธเจ้าว่าทรงเป็นผู้มีคุณมีโทษประการใด

เวลานั้นพระศรีอริยเมตไตรยโพธิสัตว์ บังเกิดเป็นราชปุโรหิตชื่อว่า สิริคุตตะ ทำหน้าที่ถวายอรรถธรรมประจำราชสำนัก ได้เห็นพระอาการของพระราชา จึงกราบทูลให้ทรงทราบว่า ผู้มีพระรัศมีกายแปลบปลาบงดงามนัก คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงพระคุณอันยิ่งใหญ่แก่สัตวโลก เป็นผู้เลิศในโลก สิ้นกิเลสอาสวะ ทรงหักกำกงแห่งวัฏฏสงสารได้แล้ว ไม่กลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก ฯลฯ

พระเจ้าอติเทวะทรงทราบความแล้ว ทรงเกิดศรัทธาเลื่อมใสในพระบรมศาสดา ได้เสด็จไปถวายนมัสการด้วยเครื่องสักการะต่างๆ ทรงตั้งพระทัยปรารถนาพุทธภูมิดังเช่นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงสดับพระธรรมเทศนาแล้วมีพระทัยเบิกบานเป็นยิ่งนัก

นับแต่นั้นมาก็ทรงบริจาคทาน สมาทานอุโบสถศีล ประพฤติพรหมจรรย์เป็นอาจิณ ทรงยินดีในกุศลธรรมทั้งปวง มิได้เบื่อหน่าย จนสิ้นพระชนม์

พระชาตินี้นับเป็นพระชาติแรกที่ทรงบำเพ็ญพระราชกุศล พร้อมตั้งมโนปณิธาน(ตั้งความปรารถนาไว้ในใจ) จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต โดยยังไม่ได้ทรงเอ่ยพระวาจาให้ผู้ใดล่วงรู้ และทรงกระทำดังนี้ทุกๆ ชาติเรื่อยมา เป็นเวลานานถึง ๗ อสงไขยกัป ได้พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารวมทั้งสิ้น ๑๒๕,๐๐๐ พระองค์

หลังจากนั้น จึงทรงลั่นพระวาจาด้วยความกล้าหาญ ทรงขอปรารถนาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ต่อพระพักตร์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ที่ทรงพบทุกพระชาติ

การเปล่งวาจาปรารถนาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต ต่อเบื้องพระพักตร์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ได้พบกันนั้น ไม่ใช่ผู้เปล่งวาจาจะได้รับพุทธพยากรณ์เสมอไป ถ้าหากผู้นั้นยังมีธรรมสโมธานไม่ครบถ้วนทั้ง ๘ ประการแล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นจะตรัสเพียงอนุโมทนาและ ประทานพระโอวาทให้กำลังใจไม่ทรงกล่าวพยากรณ์ว่าจะได้เป็นเมื่อใด


ธรรมสโมธาน ๘ ข้อนั้น ได้แก่

๑.ได้เกิดเป็นมนุษย์

๒. เป็นเพศชายโดยสมบูรณ์ทั้งกายใจ

๓. มีอุปนิสัย วาสนาบารมีที่สั่งสมไว้มากพอที่จะเป็นพระอรหันต์ได้ในขณะนั้น

๔. มีโอกาสพบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

๕. มีเพศเป็นนักบวช ในขณะพบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

๖. สามารถบำเพ็ญภาวนาจนได้ฌานสมาบัติ

๗. สามารถบำเพ็ญบุญญาภิสมภารอันยิ่งยวด แม้ถึงตายก็ยินยอม

๘. มีฉันทะ ความพอใจในพระสัพพัญญุตญาณอย่างแรงกล้า

การมีธรรมสโมธานครบ ๘ ข้อ ดังกล่าวแล้วนี้ เป็นคุณสมบัติของผู้สมควรได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรก

สำหรับผู้เคยได้รับพระพุทธพยากรณ์ในอดีตชาติมาแล้ว เมื่อมาเกิดใหม่ แม้มีธรรมสโมธานไม่ครบ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้พบในชาติต่อๆ มา ก็ทรงกล่าวพุทธพยากรณ์ให้ เพราะผู้ใดที่เคยได้รับ พุทธพยากรณ์แล้วจะเป็นนิตยโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ที่เที่ยงแท้แน่นอน ที่จะได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่เปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น