...+

วันเสาร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2555

ความเป็นพระ อยู่ที่ใจ

เมื่อถึงวันพระ หรือวันหยุดเสาร์อาทิตย์ หรือวันในโอกาสพิเศษ เช่น วันเกิด เป็นต้น เราตั้งใจไปวัด เพื่อบำเพ็ญบุญกุศล โดยการถวายสังฆทาน ถวายภัตตาหาร หรือถวายจตุปัจจัยไทยธรรมต่างๆ ด้วยเพราะเรานั้นมีศรัทธาในความเป็นพระของภิกษุสงฆ์ ว่าเป็นผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มีศีลมีธรรม หรือมีความเชื่อว่าเป็นเนื้อนาบุญที่ดี

ความจริงแล้ว ผู้ที่มีความเป็นพระนั้นมิใช่เพียงเฉพาะภิกษุสงฆ์ แต่ ความเป็นพระนั้น อยู่ที่ใจ ซึ่งความเป็นพระนั้น อยู่ที่ว่าคนนั้นปฏิบัติดีปฏิบัติชอบหรือไม่ ผู้ที่อยู่รอบๆ ตัวเรานั้น มีผู้ที่มีศีลมีธรรม เป็นผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เป็นผู้ที่มีความหวังดี มีเมตตา กรุณา มีความเอาใจใส่ ที่จะให้เราเป็นคนที่ดี เป็นคนที่อยู่ในศีลในธรรม ลองมานึกกันดูนะ คุณพ่อคุณแม่ของเราใช่หรือไม่ คุณพ่อคุณแม่ของเรานั้นแท้ที่จริงนั้นก็คือ พระในบ้านของเรานั่นเอง



พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ว่า คุณพ่อคุณแม่ของเรานั้นเทียบได้กับ เป็นพระอรหันต์ พระพรหม ประจำบ้าน เป็นผู้ที่มีพระคุณ เป็นผู้ที่เราจะต้องเอาใจใส่เลี้ยงดูท่านด้วยเช่นเดียวกัน เรามาที่วัดนั้นมาถวายสังฆทาน หรือมาถวายภัตตาหารให้พระที่วัด โดยการประเคนด้วยมือสองข้าง ด้วยความเคารพต่อพระสงฆ์ ดังนั้นเมื่อเราอยู่ที่บ้าน หากมีโอกาสที่จะดูแลคุณพ่อคุณแม่ที่บ้าน เช่น เราตื่นเช้ามา ก็ตักข้าว แล้วก็ยกจานข้าวให้กับคุณพ่อคุณแม่ด้วยความเคารพ คุณพ่อคุณแม่ก็จะรู้สึกปลื้มใจ นี่ก็เป็นบุญอันยิ่งใหญ่ การทำให้คุณพ่อคุณแม่อิ่มอกอิ่มใจในความกตัญญูของเราที่เราเป็นลูกเป็นหลาน นี่ก็เป็นบุญที่เราได้แสดงออกด้วยความกตัญญูกตเวทีกับพระในบ้าน ก็คือคุณพ่อคุณแม่ของเรา หรือเราสามารถที่จะทำกุศลโดยการมอบปัจจัยให้กับคุณพ่อคุณแม่ อย่างลูกน้องของเราบางคนที่เป็นผู้ที่เริ่มทำงานใหม่ๆ หากมีความตั้งใจดี แม้ว่าจะได้เงินเดือนเป็นเดือนแรก เงินเดือนก็ไม่ได้มากมายอะไร ก็แบ่งเงินเดือนส่วนหนึ่ง มอบให้คุณพ่อคุณแม่ที่บ้านต่างจังหวัด อาจจะเริ่มที่เดือนละ 300-400 บาท แม้ว่าจะเป็นเงินน้อยนิด แต่เป็นความตั้งใจที่ดี เป็นความกตัญญูของลูกที่มีต่อคุณพ่อคุณแม่ ซึ่งอยากจะมอบให้กับคุณพ่อคุณแม่ด้วยความรัก ด้วยความกตัญญู เงินน้อยนิดนี้ปรากฏว่าเป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่รู้สึกตื้นตันใจ เปรียบเสมือนยา ที่จะช่วยหล่อเลี้ยงหัวใจของแม่ เงินแม้เพียงน้อยนิด 300-400 บาท นี้ได้ช่วยหล่อเลี้ยงหัวใจคุณพ่อคุณแม่ให้อิ่มอกอิ่มใจ คุณพ่อคุณแม่ก็นำเงินนี้ เก็บไว้เพื่อไปทำบุญให้กับลูกๆ เมื่อถึงเวลาที่จะไปวัด ก็จะนำเงินนี้ไปทำบุญซึ่งเป็นบุญกุศลให้กับลูกๆ หลานๆของเรานั่นเอง



การแสดงความกตัญญู ต่อคุณพ่อคุณแม่ เทียบได้กับการถวายทานกับพระเช่นกัน เพราะว่าคุณพ่อคุณแม่ก็คือพระอรหันต์ของเรา อันนี้ก็ได้บุญเหมือนกัน ไม่จำเป็นที่จะต้องไปวัด ก็สามารถที่จะทำบุญให้กับพระที่อยู่รอบๆตัวเราได้

ถ้าเรามีลูกหลานซึ่งกำลังเล่าเรียนศึกษาอยู่ ก็บอกลูกหลานของเรา ให้ตั้งใจไปศึกษาเล่าเรียน เพื่อเป็นทานให้กับคุณพ่อคุณแม่ การที่ลูกหลาน ตั้งใจไปเรียนหนังสือ ก็เป็นการตอบแทนบุญคุณของคุณพ่อคุณแม่ซึ่งเป็นพระอรหันต์ในบ้าน ก็เป็นการสร้างความอบอุ่น มั่นใจ ชื่นใจให้กับคุณพ่อคุณแม่ ลูกหลาน ก็จะได้บุญ คุณพ่อคุณแม่ก็จะได้บุญไปด้วย ลูกหลาน ก็จะได้ประสบความสำเร็จในชีวิต ด้วยการที่ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนเป็นทาน บุญกุศลนี้จะได้ย้อนกลับมาที่ลูกหลานของเรา





ในกรณีที่เราเป็นผู้ที่มีอาชีพการงานอยู่ เราก็สามารถที่จะทำบุญกับนายจ้างของเราด้วยการตั้งใจทำงานเป็นทานนั่นเอง เพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณของนายจ้าง ที่เป็นผู้ที่มีพระคุณ เป็นผู้ที่ประพฤติดีประพฤติชอบ ทำกิจการงานที่เป็นประโยชน์ และก็ทำให้เราได้มีอาชีพการงานทำ การตั้งใจทำงานเป็นทาน เป็นการทำบุญที่ยิ่งใหญ่เช่นเดียวกัน บุญนี้เราก็สามารถทำได้ทุกวัน เราสามารถตั้งใจทำงานเป็นทานทุกวัน เราก็ได้บุญทุกวัน เพราะเราทำงานด้วยความขยันขันแข็งและความซื่อสัตย์สุจริต



ถ้าเราซึ่งเป็นนายจ้าง มีจิตใจที่ดี มีเมตตา ให้อภัยกับลูกน้อง ถือได้ว่าเป็นการให้อภัยทาน ซึ่งเป็นการทำทานที่ยิ่งใหญ่ ด้วยท่านมีจิตใจที่ดีให้อภัย ให้โอกาสที่จะให้เขาได้แก้ตัวใหม่ ปรับปรุงตัวใหม่ เพื่อเขาจะได้ไม่ทำผิดพลาดได้อีก แต่ถ้าหากท่านให้โอกาสเขาแล้ว เขาก็ยังอาจจะทำผิดทำพลาดอยู่ด้วยความไม่รู้ เราก็ให้ความรู้ให้ปัญญาเป็นทาน ก็ถือว่าเป็นการทำบุญที่ยิ่งใหญ่กับลูกน้องของเราเช่นเดียวกัน การให้ความรู้เป็นวิทยาทานนั้นเป็นสิ่งประเสริฐ เป็นการทำทานที่ได้บุญมาก หากเราให้ธรรมะกำกับไปด้วย ก็จะทำให้เกิดความรู้ที่เป็นปัญญาที่ดี ( สัมมาทิฏฐิ ) เพื่อที่จะได้ใช้ปัญญาในทางที่ถูกที่ควร เป็นการทำสัมมาอาชีพ เพื่อที่จะมีรายได้ โดยที่ว่างานนั้นต้องเป็นงานที่ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน

นั่นคือ เราสามารถที่จะทำบุญอันยิ่งใหญ่ให้กับผู้ที่เป็นพระที่อยู่รอบๆ ตัวเราได้ตลอดเวลา เราก็มาดูว่ามีคนอื่นอีกมั้ยที่อยู่รอบๆ ตัวเรา ครูบาอาจารย์ ผู้ใหญ่ที่นับถือ หรือกัลยาณมิตร ที่เป็นผู้ที่หวังดีต่อเรา เป็นผู้ที่มีศีลมีธรรม เราก็สามารถที่จะไปทำความดีกับท่านได้ โดยการไปกราบไหว้ท่าน ไปเยี่ยมเยียนท่าน นำหนังสือดีๆ ธรรมะดีๆ ไปมอบให้กับท่าน ก็ถือว่าเราได้ถวายสังฆทานกับพระที่อยู่รอบๆตัวเรา นี่ก็เป็นการที่เราสามารถที่จะทำบุญทำทานให้กับผู้ที่เป็นพระที่อยู่รอบๆตัวเรา ได้โดยไม่จำเป็นต้องมาวัดก็จะได้บุญได้กุศลเช่นเดียวกัน



ถ้าเราเป็นผู้มีศีลมีธรรม ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เราก็มีความเป็นพระในตัวเรา ที่เราจะต้องเพิ่มพูนคุณงามความดีให้กับตัวเราเองด้วย ด้วยการหมั่นดูแลสุขภาพ ทานอาหารที่เป็นประโยชน์ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และเราต้องทำบุญให้กับตัวเรา ด้วยการเก็บออมเงินให้กับตัวเราเองเพื่อสำหรับใช้จ่ายในอนาคต

การมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน คือการใช้จ่ายเงินที่หามาได้ในปัจจุบัน หาได้เท่าไหร่ ก็ใช้จ่ายอย่าให้เกินเงินที่หามาได้ และให้มีเงินเหลือเก็บไว้ในอนาคตด้วย อย่าใช้เงินล่วงหน้าจากบัตรเครดิต เพราะเท่ากับว่า เรากำลังนำเงิน

ที่จะหาได้ในอนาคตมาใช้ในปัจจุบัน และให้ปัญญากับตัวเราเป็นทาน โดยการหมั่นศึกษาหาความรู้ เพื่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน และเข้าใจหลักธรรมในการดำเนินชีวิต



ด้วยความเป็นพระ นั้นอยู่ที่ใจ เราจึงสามารถสร้างบุญ สร้างกุศลด้วยการทำมหาทานกับผู้ที่มีความเป็นพระที่อยู่รอบๆ ตัวเราได้ตลอดกาล ด้วยการทำทานด้วยจตุปัจจัย ด้วยการให้อภัยเป็นทาน ด้วยการให้ความเคารพ แสดงออกด้วยความกตัญญุกตเวทิตาธรรม ด้วยการตั้งใจทำงานเป็นทาน ด้วยการให้ธรรมะเป็นทาน ด้วยการให้ปัญญาเป็นทาน เราก็จะเป็นผู้ที่มีความสุข ความเจริญ ประสบความสำเร็จ และความก้าวหน้าในการดำเนินชีวิตตลอดไป

เจริญพร

พระถวิล ฐานุตฺตโม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น