...+

วันพุธที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2555

สายน้ำ.....สร้างธารน้ำใจ

สายน้ำ.....สร้างธารน้ำใจ

พลอยใจใส

นครมองดูสายน้ำที่ไหลบ่ามาด้วยความบ้าคลั่ง ความแรงและเร็วของน้ำที่ไม่มีใครคาดคิด แม้แต่ตัวเขาที่เกิดและเติบโตที่นี่ก็ไม่เคยเห็นอะไรอย่างนี้มาก่อน น้ำท่วมสูงอย่างรวดเร็วทำให้เขาและเพื่อนบ้านตั้งตัวไม่ทัน ต่างหยิบฉวยข้าวของเครื่องใช้ติดมือมาได้แค่คนละไม่กี่ชิ้น ทุกคนต่างวิ่งหนีเอาตัวรอด บางคนโชคดีหน่อยมีบ้านสองชั้น ก็หนีขึ้นไปอยู่ชั้นบน

บางคนมีบ้านแค่ชั้นเดียวก็ต้องปีนขึ้นไปอยู่บนหลังคา ความโกลาหลเกิดขึ้นเพียงแค่ชั่วพริบตาแม้ว่าทางการจะประกาศเตือนล่วงหน้า แต่ใครจะคาดคิดว่ามันจะร้ายแรงถึงเพียงนี้

"แม่ แม่" นครตะโกนออกไปสุดเสียง แต่ก็ถูกกลบด้วยเสียงเอะอะโวยวายรอบด้าน แต่ตอนนี้เขาไม่สนใจอะไรนอกจากแม่เท่านั้น ตัวเขายืนอยู่ที่ระเบียงบ้านชั้นสอง ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เห็นแต่น้ำสีขุ่นคลั่กกับเศษปรักหักพังของไม้ที่ไหลมากับสายน้ำเท่านั้น

เมื่อสองชั่วโมงก่อน ทางการได้ประกาศเตือนเกี่ยวกับภัยน้ำท่วมที่ใกล้จะมาถึงบ้านของเขา แม่เป็นห่วงเกี่ยวกับอาหารการกิน กลัวว่าหากน้ำท่วมอาหารจะขาดแคลนเพราะไม่มีของกินติดบ้านเลย แม่ตัดสินใจออกไปซื้ออาหารที่ตลาด เพื่อเป็นเสบียงยามน้ำท่วมเพราะคิดว่าคงอีกนานกว่าน้ำจะมาถึง ส่วนตัวเขามีหน้าที่เก็บของใช้ที่จำเป็นไปไว้ที่ชั้นบนของบ้าน

แต่ชั่วโมงนี้นาทีนี้ น้ำที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนไหลบ่ามาอย่างรวดเร็ว นครเป็นห่วงแม่จับใจ มองไปทางไหนก็เห็นแต่น้ำ น้ำเท่านั้น

นัยน์ตาของเขาเริ่มพร่ามัว หยาดน้ำตาไหลลงอาบแก้มอย่างช้าๆ ก้มหน้าสะอื้นไห้อย่างคนที่หมดสิ้นแล้วทุกอย่าง

เนิ่นนานเท่าไหร่นครคงไม่มีแก่ใจจะจดจำ พอรู้ตัวอีกทีก็มืดค่ำแล้ว ความโกลาหลคงถูกกลืนกินไปกับสายน้ำ ตอนนี้มีแต่ความเงียบเข้าปกคลุม นครมองดูน้ำที่เริ่มสงบนิ่ง น้ำตาที่เหือดแห้งไปคงไม่ใช่เพราะความเสียใจที่ลดน้อยลง แต่เป็นเพราะมันไม่รู้จะถูกระบายออกมาทางไหนถึงจะสาสมใจต่างหาก ไฟฟ้าถูกตัดขาด ความมืดครอบงำไปทั่วพื้นที่

"แม่อยู่ที่ไหน แม่จะเป็นยังไงบ้าง" คำถามนี้วนเวียนอยู่กับนครจนถึงเช้า

เช้าวันใหม่ที่ไม่มีเสียงไก่ขัน ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นด้วยเสียงของเรือยนต์แทน ชาวบ้านใกล้เคียงได้รับความช่วยเหลือให้อพยพออกนอกพื้นที่ บ้างก็ยอมไปแต่โดยดี บ้างก็ยืนกรานขออยู่และขอตายที่บ้านของตัวเอง

"คุณครับ ออกไปกับเราเถอะนะครับ" ชายหนุ่มที่มากับเรือยนต์ตะโกน พร้อมกับโบกมือให้กับนคร

เขาหันกลับมามองบ้านเกิดของตัวเองอีกครั้งก่อนตัดสินใจ "ครับ"
"อยู่กันกี่คนครับ"
น้ำตาที่เอ่อคลอเบ้าพาลจะไหลออกมาซะให้ได้ "คนเดียวครับ"

นครนั่งเรือยนต์ออกมาจากบ้านพร้อมกับเจ้าหน้าที่ที่เข้าไปช่วยเหลือ ระหว่างทางเขาเห็นแต่ความเศร้าโศกและสูญเสีย บางบ้านจมมิดแทบไม่เห็นหลังคา พอเดินทางมาถึงที่พัก เขาก็มองหาแม่ ถึงแม้ความหวังจะริบหรี่ แต่เขาก็บอกตัวเองว่ายังมีหวัง

นครเอนกายลงอย่างเหนื่อยล้า หากแต่ว่าใจของเขาเท่านั้นที่ยังไม่หลับ "หมดแล้วทุกอย่าง" น้ำตาที่ไหลถึงแม้จะไม่มีเสียงสะอื้นไห้ แต่นั่นก็คือความเจ็บปวดอย่างที่สุดแล้ว

"ทำใจยอมรับให้ได้ อย่าโกหกตัวเอง เพราะว่ามันเป็นธรรมดาของมนุษย์ทุกคน พอเราเกิดมาแล้วก็ต้องมีอันพลัดพรากจากบุคคล และสิ่งของอันเป็นที่รักเป็นเรื่องธรรมดา พระพุทธเจ้าใช้คำว่าเป็นธรรมดา ท่านไม่ได้มองว่ามันเป็นสิ่งมหัศจรรย์

เมื่อเราเกิดมาแล้วเราก็ต้องพลัดพรากจากสิ่งที่เรารักเป็นธรรมดา เพียงแต่ว่ามันจะเกิดช้าเกิดเร็วเท่านั้น

เมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้วเราก็ต้องยอมรับเพราะว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อสุดมือสอยแล้วก็ต้องปล่อยมันไป

คนที่เหลือก็ต้องตั้งหน้าตั้งตาใช้ชีวิตกันไปโดยไม่ประมาท เติบโตจากความผิดพลาด เฉลียวฉลาดขึ้นมาจากความทุกข์

สูญเสียอะไรก็สูญเสียไป แต่ต้องรักษากำลังใจเอาไว้ให้ดีที่สุด เพราะถ้าคุณสูญกำลังใจคุณสูญทุกอย่าง

แต่หากคุณมีกำลังใจ คุณยังสามารถหาทุกสิ่งทุกอย่างได้ใหม่อย่างแน่นอน"

นครน้ำตาไหลไม่ใช่ด้วยความเสียใจ แต่เพราะซาบซึ้งในรสพระธรรม เสียงนี้เปรียบเสมือนเสียงสวรรค์ที่กระชากเขาขึ้นมาจากหล่มของความเศร้า เขาผุดลุกขึ้นมองหาต้นเสียงนั้น ชายแก่ในมือถือวิทยุเก่าๆ พลางเช็ดถูเปรียบเสมือนของมีค่าชิ้นสุดท้าย นั่งพิงกำแพงอยู่ไม่ไกลจากเขานัก

สภาพของลุงคนนั้นคงผ่านเหตุการณ์เลวร้ายมาไม่น้อยเหมือนกัน บรรยากาศรอบด้านถึงแม้จะวุ่นวาย แต่ก็แฝงไว้ด้วยความเศร้าโศก ความพลัดพรากทั้งจากถิ่นที่อยู่อาศัย จากคนรัก ไม่ใช่เพียงแค่นครเท่านั้น แต่ทุกคนที่อยู่ที่นี่ก็ต้องพบกับความสูญเสียเหมือนกัน มันไม่สำคัญว่าเราจะล้มมาซักกี่ครั้ง หากแต่มันสำคัญตรงที่ว่าเมื่อเราล้มแล้วต้องลุกขึ้นสู้ใหม่ให้ได้เท่านั้น

"คร ครใช่มั้ยลูก" เสียงที่คุ้นหูกลับมาอีกครั้ง สองแม่ลูกโผเข้ากอดกัน ไม่ต้องมีคำบรรยายใดๆในความรู้สึกนี้อีกแล้ว หลังจากสอบถามสารทุกข์สุขดิบกันอยู่พักใหญ่ นครก็ได้รู้ว่าขณะที่แม่ไปซื้อของที่ตลาดนั้น อาแปะเจ้าของร้านชำที่แม่ไปซื้อของ ได้ช่วยเหลือแม่ไว้ตอนที่น้ำท่วม และเจ้าหน้าที่ก็ได้ไปรับแม่ออกมาจากตลาดตั้งแต่เมื่อวานแล้ว

"โชคดีของเรานะลูกที่เราไม่เป็นอะไร แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่ไม่ได้โชคดีเหมือนเรา" แม่พูดพลางเช็ดน้ำตาด้วยความสงสารเพื่อนร่วมชะตากรรม

"ผมว่าจะไปเป็นอาสาสมัครช่วยผู้ประสบภัยดีมั้ยครับแม่" นครเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

"ที่เรารอดมาได้ก็เพราะความช่วยเหลือจากคนดีมีน้ำใจ ผมเชื่อว่าน้ำใจไม่เคยเหือดแห้งไปจากคนไทยด้วยกัน ผมจะขอเป็นอีกแรงหนึ่ง ที่จะส่งต่อน้ำใจเหล่านี้ไปสู่คนไทยด้วยกันครับ"

"ระวังตัวด้วยนะลูก ไม่ต้องห่วงแม่อยู่ทางนี้มีคนดูแลอยู่ ออกไปช่วยเหลือพวกเค้าเถอะยังมีคนอีกมากที่รอความช่วยเหลืออยู่"

นครลุกขึ้นก้าวไปข้างหน้า เขาหันกลับมาส่งยิ้มให้แม่อีกครั้ง ในเมื่อเราเปลี่ยนแปลงธรรมชาติไม่ได้ เราก็ต้องยอมรับและเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน มีแต่กำลังใจและความร่วมมือจากทุกคนทุกฝ่ายเท่านั้นที่จะพาเราก้าวข้ามปัญหาครั้งนี้ไปได้

ขอขอบคุณ
บทความของท่านว.วชิรเมธี จากคอลัมน์ไลฟ์สไตล์ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 25 ตุลาคม 2554

พลอยใจใส

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น