...+

วันศุกร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2555

ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ บอกเล่าความกตัญญูต่อบิดามารดา และพ่อหลวง

ด้านอดีตวิศกรองค์การนาซ่า ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ ร่วมแบ่งปันเรื่องราวความกตัญญู ทั้งต่อบิดามารดาและต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

โดยในส่วนของความกตัญญูต่อบุพการีนั้น ดร.วรภัทร์เล่าว่า สิ่งที่ท่านภูมิใจมากที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิต นั่นคือ การแสดงความกตัญญูต่อบิดามารดา ด้วยการนำเอาธรรมะไปแนะนำให้คุณพ่อและคุณแม่ได้ปฏิบัติในห้วงวาระสุดท้ายของชีวิต

“คุณพ่อผมท่านไม่ได้เป็นพุทธ แต่ท่านอ่านหนังสืออาจารย์พุทธทาส (ท่านพุทธทาสภิกขุ) อยู่บ้าง และเมื่อผมกลับมาเมืองไทย ในวาระสุดท้ายก่อนที่คุณพ่อจะเสียชีวิต ผมก็ไปยืนพูดเรื่องธรรมะให้ท่านฟังว่าผมกระดิกไม่ได้ ฟันก็กระดิกไม่ได้ หนังก็บังคับไม่ได้ ก็พูดถึงกัมมัฏฐานให้ท่านฟัง เป็นสิ่งสุดท้ายก่อนที่ท่านจะสิ้นใจ ทำได้ดีที่สุดแค่นี้ แต่ผมก็คิดว่าคนตายไม่ได้จากเราไปไกล เราส่งจิตส่งถึงท่านได้

ส่วนแม่ของผม สมัยก่อนท่านมีความคิดที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ กตัญญูหนึ่งที่ผมทำสำเร็จคือ ผมปราบแม่ให้มาเป็นสัมมาทิฏฐิได้ ใช้เทคนิคหลายอย่าง เช่น ยอมหยุดจนอยู่เย็นของพระพยอม ข้อนี้ใช้บ่อย และทำตนเป็นตัวอย่าง นั่นคือ ให้แม่เขาได้ระบายเรื่องต่างๆ ให้เราฟัง เพราะปกติแม่จะระบายใส่พ่อ

ผมก็เป็นตัวแทนพ่อคอยรับฟัง ท่านจะปรี๊ด วีนมา เราก็ขำๆ เพราะเราอย่าลืมว่า โลกของท่านกับเรามันต่างกันนะ คนละยุคสมัย ฉะนั้นวิธีคิดท่านก็คิดอย่างนึง เราก็คิดอีกอย่างนึง ฉะนั้นผมก็จะใช้วิธีกอดท่าน บางทีก็นอนตักให้ท่านมีความรู้สึกว่าปราบผมอยู่ ทำตัวกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ยอมๆ ไปเถอะท่านเป็นแม่ รวมถึงต้องไม่ใส่ร้ายซึ่งกันและกัน เพราะบางทีพ่อจะต่อว่าแม่ แม่ต่อว่าพ่อ พอท่านพูดให้ฟัง เราก็จะเฉยๆ ไว้อย่าไปผสมโรง พอแม่โมโหเราก็ค่อยๆ ฟังแม่ ใช้วิธีอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนแม่สงสัยว่า ไปเรียนที่ไหนมา ผมก็ค่อยเฉลย และพาไปแม่ไปวัด ไปฟังพระเทศน์”

วิศกรหนุ่มอารมณ์ดียังได้บอกเล่าถึงความกตัญญูต่อพระเจ้าแผ่นดินด้วยว่า ตัวเขาได้แสดงความกตัญญูถวายต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ใน 2 ด้านด้วยกัน

“มุมแรกคือ ทางธรรม วันที่ผมเปลี่ยนศาสนามาเป็นพุทธใหม่ๆ ผมบวชเมื่อครั้งงานเฉลิมพระชนมพรรษาครบรอบ 72 พรรษา ผมบวชถวายให้พระองค์ท่าน เพราะตั้งใจว่าจะปฏิบัติธรรมตามพระองค์ นั่นคือการแสดงความกตัญญูในทางธรรม

ส่วนทางโลก ผมยังตามพระองค์ท่านไม่ทันหรอก ยังโง่ๆ อยู่เลย (หัวเราะ) แต่ก็พยายามถามตัวเองว่า ผมเรียนจบวิศวกรรมเหมือนพระองค์ แต่พระองค์ท่านปลูกต้นไม้ ทำเกษตรกรรมได้ ทำไมเราจะทำไม่ได้ ดังนั้นผมก็ปลูกบ้างสิ ตอนนี้ก็เลยไปซื้อที่เอาไว้ 4 ไร่ ที่ปากช่อง แล้วก็ทำตามทุกอย่างที่ในหลวงสอน ผมจำลองสถานการณ์ว่า เราจะอยู่แบบพอเพียงไม่ต้องพึ่งพาคนอื่นได้หรือไม่ ปรากฎว่าเราก็อยู่ได้ ตอนนี้ผมเลี้ยงแพะไว้ 3 ตัว เลี้ยงไก่ 5 ตัว มีบ่อน้ำเล็กๆ และปลูกต้นยางนา, กฤษณา, สะเดา และเรียนรู้ความพอเพียงตามแนวพระราชดำรัสของพระองค์ท่าน

และเวลาไปบรรยายตามที่ต่างๆ ผมก็จะเชิญชวนให้องค์กร ดำเนินกิจกรรมเกี่ยวกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งก็มีหลายบริษัทนำไปทำตาม ซึ่งผมคิดเสมอว่าพ่อเหนื่อยขนาดนี้ มีภาพพระเสโทหยดที่ปลายพระนาสิก แล้วเราจะเหนื่อยน้อยกว่าท่านได้อย่างไร อย่างน้อยสิ่งหนึ่งที่เราทุกคนทำได้คือ มีความกตัญญูต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และบุพการี”

หลังฟังธรรมบรรยาย และเรื่องราวความกตัญญูอันน่าประทับใจ (ที่ทำได้ไม่ยาก) ไปแล้ว หวังว่าหลายท่านคงพอจะปิ๊งไอเดียกันบ้างแล้ว ว่าจะทำความดีอะไร เริ่มต้นปีใหม่นี้ดี... แฮปปี้ปีมังกรทองค่ะ ^_^

*เก็บตกบรรยากาศงานเปิดตัวหนังสือ “ที่สุดแห่งความดี”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น