...+

วันจันทร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2555

เรื่องของใจ

เรื่องของใจ

ปากอย่างใจอย่าง สำนวนโบราณที่คุ้นหูและบ่งบอกลักษณะนิสัยของผู้ถูกเรียกได้ชัดเจนว่า เป็นคนที่สักแต่ว่าพูดแต่ไม่ทำ หรือพูดอย่างหนึ่งไปทำอีกอย่างหนึ่งที่เรียกกันว่าพูดอย่างทำอย่าง เหมือนดังที่ผู้คนเป็นแบบนี้กันเต็มบ้านเต็มเมือง ฟังแล้วปวดหัว ยิ่งใครมีคนใกล้ตัวเป็นคนนิสัยอย่างนี้ หาพาราเซ็ตตามอลเก็บไว้ที่บ้านซะ ได้ใช้แน่ แม้ไม่เป็นหวัด ยิ่งมีความแปรปรวนสูงก็ยิ่งต้องใช้บ่อย ขอบอก
สิ่งหนึ่งที่เห็นเป็นสัจจธรรมก็คือโลกยิ่งเจริญทางด้านวัตถุมากเท่าไร ความแปรปรวนยิ่งมากเท่านั้น เพราะมนุษย์ชอบทำลายธรรมชาติ เภทภัยต่างๆจึงเกิดขึ้นบ่อยๆรุนแรงมากขึ้นทุกวันๆ แม้กระทั่งการค้าขาย ก็หนักไปทางเก็งกำไรกันมากขึ้น เพราะความแปรปรวนของใจคนนี่แหละ จะเห็นได้จากราคาน้ำมัน ทอง หุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ ทั่วโลก ล้วนแปรปรวนไปตามกระแสการปั่น บ้าน ที่นักปั่นราคาก็เอาไปเก็งกำไร จนคนปั่นเองก็เอาตัวไม่รอด อย่างเช่นในสหรัฐอเมริกาที่มีปํญหาเรื่องซับไพร์มที่เอาบ้านไปผูกติดกับเศษกระดาษทางการเงิน แล้วไปปั่นกันจนเลยเถิด สุดท้ายฉิบหายวายป่วงไปทั่วโลก ทางด้านยุโรปขณะนี้ก็ยังไม่ฟื้น และยังไม่เห็นวี่แววด้วยซ้ำว่าจะฟื้นเมื่อไร มีแต่ฟุบ
ธนาคารหลายแห่งอายุยืนยาวเป็นร้อยกว่าปี ก็ต้องล้มไม่เป็นท่าชั่วข้ามคืน เพราะแรงเก็งกำไรตามใจคน ทำให้พนักงานของธนาคารผู้อยูเบื้องหลังการปั่นดังไปทั่วโลก แล้วก็พกโรคมะเร็งตามไปติดคุกด้วย
ใจกับการปล่อยวาง ใครๆก็พูดกัน แต่ก็สักแต่ว่าพูดไม่เห็นทำกันสักเท่าไร อย่างมากก็ทำ ใจเข้าข้างตัวเองเพราะเห็นคนอื่นมันแย่กว่า หลอกตัวเองว่าดีกว่าเขา แล้วพูดกับตัวเองว่าฉันปล่อยวางแล้ว แต่ที่ไหนได้ โอโฮ...เป็นหนักกว่าเก่าอีก
ครูบาอาจารย์ท่านจึงพร่ำสอนว่าการปฏิบัติมันไม่ยากหรอก ที่ยากน่ะเพราะมันไม่ทำกัน ก็เห็นเข้าวัดกันโครมๆ กลับบ้านแล้วก็เงียบๆ ทำเป็นขลัง แผล่บเดียวกลับไปทำแบบเดิมแล้ว อะไรๆที่ฝึกจากที่วัดก่อนกลับก็ฝากไว้ที่หน้าประตูวัดหมดแหละ แม้กระทั่งคำสอนของครูบาอาจารย์ที่สอนให้ฟังทั้งวันทั้งคืน...... เพราะคิดถึงลูก คิดถึงผัวว่า มันจะเป็นอย่างไรกันบ้างน้อ
อย่างนี้ยังอีกนาน เห็นวัดป็นที่ผลัดกิเลส เอาของเก่ามาแล้วเอาของใหม่ไป แถมด้วยของเก่าเอากลับไปด้วย เพราะเสียดาย
ปล่อยวางแบบหลังคารั่ว แบบที่พี่สะมะชัยโยเล่าให้ฟังหลายครั้งว่าหลวงตาจันทร์ขอไปนั่งภาวนากับหลวงปู่ชา สุภัทโทภายหลังที่เรียนปริยัติหรือทฤษฏีมาเยอะ ที่วัดหนองป่าพง วันๆเอาแต่นั่งภาวนาที่กุฏิ หลังคามันรั่วก็ไม่ซ่อม พอแดดออกก็นั่งหลบ พอฝนตกก็นั่งหลบอีก จนหลวงปู่ชาต้องไปบอกว่าหลังคารั่วให้ซ่อมเสีย จะได้ไม่ต้องหลบฝนหลบแดดแบบนั้น หลวงตาจันทร์กลับพูดว่าให้นั่งปล่อยวางก็ปล่อยแล้วนี่ไง นี่ก็เป็นเรื่องการปล่อยวางอีกแบบหนึ่ง ซึ่งชาวบ้านเป็นกันมาก
ใจและจิต มีคนพูดกันมากว่า มันอันเดียวกันหรือเปล่า ในทางปริยัติหรือทางตำรา จิตมีตั้งหลายสิบดวง แต่ในทางปฏิบัติ ใจกับจิตมันก็เรื่องเดียวกัน เกิดๆดับๆรวดเร็วมากปานสายฟ้าในชั่วขณะจิตหนึ่ง การเดินทางของใจก็เร็วไม่น้อย อย่างเช่นหากไม่อยู่บ้าน ลองนึกถึงบ้านดูสิครับ นึกปั๊บเห็นปุ๊บเลยทีเดียว ตั้งแต่ประตูบ้านยันลูก เมีย บางคนแถมนึกถึงคนใช้เพิ่มอีกต่างหาก ไม่ได้พูดล้อเล่นนะครับ
บางคนบอกว่าใจมีสองด้าน หนึ่งด้านที่สว่าง และสองด้านที่มืด เวลานึกหรือทำอะไรที่ไม่ดีก็อ้างด้านมืดมาเชียว เหมือนหนังเรื่องสตาร์วอร์ อย่างไรอย่างนั้น บ้างก็อ้างว่าเป็นผู้หญิงจึงทำอย่างนั้น บ้างก็อ้างว่าทำไปตามอารมณ์ ขาดความยั้งคิด แถมยังพูดไปในเชิงว่าไม่ผิด อะไรทำนองนั้น แต่ความจริงท่านผู้อ่านลองนึกดูสิครับ หรือมาพิจารณาสำนวนเด็ดนี้ดู"ความถูกต้องก็คือความถูกต้อง แม้ไม่มีใครทำ ความผิดก็ยังเป็นความผิด แม้ทุกคนทำก็ตาม""
บางคนพูดถึงใจเสร็จ ก็ข้ามมาพูดถึงความในใจ คราวนี้ฟังกันยาวเลย ขนาดนั่งฟังพลางนั่งรถไฟไปพลางจากมาเลเซีย ถึงจิ๋วใจ๋โกได้สบายเลย ไม่รู้ว่าความในใจทำไมมันถึงเยอะแยะขนาดนี้ เรียกว่าฟังจากแปดโมงเช้ายันสี่โมงเย็นก็ไม่หมด เผื่อจะมีเวลาฟังความนอกใจกันได้บ้าง...เฮ้อ
ใจนี่นะถ้าหมายถึงตัวผู้รู้แล้วละก็ มันไม่มีอะไรเลยนะ มันก็แค่รู้ แต่มีอวิชชาหรือความไม่รู้ครอบงำ และได้พลังงานจากกรรมเป็นแรงเสริม เกิดการปรุงแต่งที่เรียกว่าสังขาร จวบจนเกิดเวทนาคือความรู้สึกสุขและทุกข์ พาลให้เกิดความอยากและไม่อยากที่เรียกว่าตัณหาและวิภาวตัณหา จนเกิดทุกข์ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด
ลองนึกดูสิครับตั้งแต่เกิดก็แหกปากร้อง"เอามาๆหรืออุแว้ๆ" จวบจนอายุเข้าไปคนละเท่าไรแล้ว ก็ยังร้องอยู่นั่นแหละ"เอามาๆ" ตั้งแต่ผู้เขียนจำความได้รายไหนรายนั้น ไม่มีใครไม่ร้องแบบนี้ พวกที่ไม่ร้องออกมาเป็นเสียงน่ะ ยิ่งร้องในใจดังกว่าพวกที่ร้องเสียดังเสียอีก ที่เรียกกันว่าเก็บกดนะแหละ
มัวแต่ร้องอยู่อย่างนั้น เชื่อไหมทุกอย่างวิ่งหนีหมด ตั้งแต่ทรัพย์ ความรัก ลูก เมีย สามี เพื่อน จนไปกันใหญ่ ผู้ที่รู้ความจริงข้อนี้จึงเข้าสู่กระแสของการฝึกใจ ไม่ว่าจะเริ่มจากสมถะกรรมฐานหรือฝึกวิปัสสนากรรมฐาน ที่เน้นการฝึกสติป็นหลัก ในการเจริญสติก็จะก่อให้เกิดปัญญาน้อย ใคร่ครวญแล้วก็เกิดปัญญาใหญ่ตามมา ยิ่งใครมีปัญญามาก ความในใจหรือความนอกใจมันน้อย ลงๆ จนสามารถหมดสิ้นอาสวะกิเลสโดยมีสมุทเฉทประหานหรือชำระสันดานให้บริสุทธิ์หลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง
พระอริยเจ้าในแต่ละชั้นต่างมีสมุทเฉทประหานทุกขั้นอริยะ ตั้งแต่โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามีจนถึงอรหันต์ คือต้องมีดาบที่ใหญ่และคมวาบตัดฉับกับอาสวะกิเลสจนสิ้นซากในแต่ละขั้น เหมือนฝ่าด่านทีละด่านในหนังจีนกำลังภายในอย่างใดอย่างนั้น กว่าจะฝ่าได้แต่ละขั้น หืดขึ้นคอหรือมอบกายถวายชีวิตกันเลยทีเดียว
บ้างฟุ้งซ่านก็พาลบ้าไปเหมือนกัน แทนที่จิตจะสงบดันเป็นจิตป่วยเสียนี่ ครูบาอาจารย์จึงพร่ำสอนเสมอ ว่าอย่าไปดูแคลนสิ่งเล็กน้อย อย่างเช่นบุญเล็กก็สำคัญนะ หากไม่มีบุญเล็กจะมีบุญใหญ่หรือ ใครไม่เคยให้อะไรใคร จะให้เป็นหรือ ยากนะครับ บางคนเกิดมาชาติหนึ่งยังไม่เคยให้อะไรกับใครเลย แม้กระทั่งให้ตัวเอง
การชำระจิตหรือใจของเจ้าของนี่นะ ต้องปล่อยออกไป ไม่ใช่เก็บเข้ามา แต่คนมันชอบ เอามามากกว่าเอาไป เพราะกลัวว่าจะไม่ได้ ในที่สุดก็ไม่ได้อะไร เพราะมัวแต่จะเอาอยู่นั่นอย่างเดียว
ภิกขุแปลว่าผู้ขอในพุทธบัญญัติ แต่การขอมากก็เป็นภาระของญาติโยมและเป็นอาบัติในบางกรณี อย่างเช่นพระองค์หนึ่งจะขอเข้ามาจำพรรษากับหลวงปู่ชา สุภัทโทที่วัดหนองป่าพง หลวงปู่ตอบอนุญาตแต่บอกว่าอะไรที่ขอชาวบ้านมา ให้กองไว้เป็นของสงฆ์หรือของกลาง โอ้โฮแทบจะหมดตัวของพระรูปนั้นเลย แม้กระทั่งแว่นตา ยังต้องถอดอีก นี่แค่เริ่มต้นแห่งการปล่อยวางนะครับ
พี่สะมะชัยโยเคยเล่าให้ฟังว่ามีอยู่วันหนึ่ง จะไปนั่งสนทนากับพี่ปรีชา กัลยาณมิตรที่นับถือผู้ร่วมเป็นกรรมการกองทุนพระรัตนตรัยของเรานี่เอง พอไปถึงหน้าบ้านของพี่เขา พี่ปรีชาก็บอกว่า"สะมะชัยโย ตามอารมณ์ไม่ทันกลับบ้านไปเถอะ "เหมือนใครขว้างมีดบินมาปักอก สะทกสะท้อนใจมาก เพราะมันใช่ พี่สะมะชัยโยวิ่งไล่ตามอารมณ์กว่าหนึ่งปี แล้วจึงกลับไปนั่งคุยกับพี่ปรีชาใหม่
ใครเคยดูหนังอินเดียบ้างไหมทั้งสมัยก่อนและสมัยนี้น่ะ ทีเด็ดของหนังบอลลีวู๊ดจะมีที่ ฉากร้องเพลงแล้วก็เต้นๆ ทั้งตัวนางเอกและพระเอก กว่าจะเจอกัน แสนยากแสนเย็น ร้องเพลงให้ฟังจนคนดูเมื่อยเอ็นหูแล้ว ก็ยังไม่ได้จับมือกันเลย พิจารณาใจคนดูสิ กระสับกระส่ายอยากให้มัน เจอกันหรืออยากให้มันจบๆกันไปเลย นี่เป็นแค่ดูหนังนะ ถ้ามานั่งพิจารณาจิตตัวเอง จะเป็นอย่างไร มันก็ไม่ง่ายนะถ้าไม่ได้ฝึกน่ะ
พี่สะมะชัยโยเล่าให้ฟังอีกว่ามีอยู่ครั้งหนึ่ง ไปยืนคุยกับพยาบาลที่โรงพยาบาลรามาฯ อยู่ดีๆ ก็เล่าเรื่องร้านเป็ดจิ๊บกี่ที่ย่างเป็ดจนดังสะท้านยุทธจักรมั่กๆ เนื้อนุ่มหอม เคี้ยวเพลิน ตามด้วยน้ำซุปเป็ดตุ๋น หอมคล่องคอชื่นใจ ไม่ว่าจะเป็นหมูกรอบ หมูแดง ตับ แต่พอพูดถึงบุคคลสำคัญที่ท่า นแอบไปชิมบนชั้นสองของร้านหลายครั้ง พยาบาลเธอนั้นก็จิตหลุดออกจากเบ้าตามาเลย วิญญา ณเสื้อสีเข้าสิงทันที ความโกรธมาตั้งแต่บรรพบุรุษมาเต็มเบ้าตา เสียงแข็ง กัดกราม เหมือนหมาบ้า พี่สะมะชัยโยก็อ่านจิตไว ก็เลยพูดเลี่ยงไปว่า ท่านก็แค่มาชิมแล้วก็ผ่านไป พยาบาลเธอนั้นก็หลุดพ้นจากวิญญาณเสื้อสีที่ออกจากร่างมาได้ แล้วเธอก็พูดแก้เก้อว่ามาพูดถึงเรื่องอร่อยๆกันดีกว่านะคุณสะมะชัยโย...แฮ่ๆ
นี่ขนาดแค่ความคิดเห็นนะ จิตมันก็ดิ้นพล่านๆราวจะหลุดออกจากร่างแล้ว โลภ โกรธ หลง เข้าสิง เร็วจนแทบจะตั้งตัวไม่ทัน ดีนะไม่วูบเพราะความโกรธแค้นจากความคิด
เรื่องของใจก็เลยต้องดูและฟังด้วยตัวอย่างหลายๆเรื่อง ฟังแล้วดูแล้ว คงจะได้ธรรมะกันบ้างนะครับไม่มากก็น้อย อย่าปล่อยให้ความเห็นผิด ชักนำไปสู่อบายเลยนะครับ เดี๋ยวจะโดนกิเลสปั่นหัวเหมือนจิ้งหรีดที่ถูกปั่นหัวนะครับ ดูแล้วน่าสงสารนะ เอวัง

ธรรมะสวัสดี

แทนสะมะชัยโย ๒

ใบโพธิ์แก่นธรรม
๑.เส้นเลือดเล็กหรือใหญ่มันสำคัญเหมือนกันหมดแหละ ลองตีบหรือแตกสักเส้นสองเส้นสิ เรื่องใหญ่จะตามมาเป็นอัมพฤกษ์ หรืออัมพาตปากเบี้ยวแล้วจะเข้าใจ บุญเล็กบาปเล็กบุญใหญ่บาปใหญ่ก็เช่นกัน ลองทำดูสิ จะรู้ผลไม่นาน เหมือนเส้นเลือดนี่ ไม่ต่างกันเลย หมั่นดูแลไม่ทำบาป บำเพ็ญบุญ แล้วเส้นเลือดจะแข็งแรง สบาย (พี่เกษม)
๒.คนที่ไม่เคยหิว หรือคนที่ไม่เคยอิ่ม ใครว่าไม่ทุกข์หรือทุกข์แตกต่างกัน (สะมะชัยโย)
๓.เรื่องราวเต็มโลก เต็มบ้านเต็มเมือง เราวางเสียละเสีย ละอยู่ที่กายที่ใจตนนี่แหละ อย่าไปละที่อื่น มันหมักหมมไว้ในใจ ก็เป็นทุกข์ ตัดออกทั้งหมด.....

หลวงปู่แหวน สุจิณโณ
หมายเหตุแก่นธรรม อบายแปลว่าเสื่อมหาความเจริญไม่ได้ มีสี่แห่งคือ นรก ที่เกิดของเดียรฉาน ภูมิแห่งเปรต พวกอสูรกาย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น