...+

วันเสาร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2555

ถ้าอยากก้าวต่อไป อย่าใช้วิธีหลอกตัวเอง

ถ้าอยากก้าวต่อไป อย่าใช้วิธีหลอกตัวเอง






ความรักมักเป็นเหตุให้คนเราหลอกตัวเองกันมากกว่าเรื่องอื่น
รู้ตัวว่าไม่รัก แต่จำเป็นต้องคบหรืออยู่ต่อ
ก็บอกคนอื่นว่ารัก หลอกตัวเองว่ารัก
หรือรักแสนรักแต่เขาหรือเธอไม่ไยดี ถูกทอดทิ้ง
ก็หลอกตัวเองว่าเขาหรือเธอยังรัก
ตระเวนหาหมอดูที่พูดถูกใจให้ความหวังว่ายังเป็นที่รัก
เข้าเดือนนั้นเดือนนี้เขาหรือเธอจะกลับมา ประมาณนั้น


ทำงานหรือปฏิบัติธรรมก็เป็นเหตุให้เกิดการปรุงแต่งจิต
เป็นการหลอกตัวเองไปวันๆ
เพื่อให้รู้สึกว่าตัวเองมีค่ามากกว่าที่เป็น
หรือไปได้ไกลมากกว่าที่ก้าวมา


สังเกตง่ายๆว่าถ้าพยายามหลอกตัวเอง
เราจะรู้สึกอึดอัดคัดแน่น เหมือนฝืนสู้กับความจริงที่ไม่น่ายอมรับ
แต่ถ้าไม่หลอกตัวเองก็เหมือนไม่มีทางออกอื่น
ที่จะช่วยให้อยู่ได้อย่างสบายไปกว่านี้


การหลอกตัวเองคือเครื่องสะท้อน
ว่าจิตไม่มีความสามารถจะยอมรับความจริง
และเมื่อเกิดเรื่องแย่ๆแล้วยอมรับความจริงไม่ได้
ก็เท่ากับถอยหลังไปไม่รู้กี่ก้าว


จริงๆยังมีอีกทางที่ไม่ต้องหลอกตัวเอง
คือคิดในทางบวก ในทางสว่าง ในทางที่กระจ่างใจ
เช่น ถ้าเขาหรือเธอบอกเลิก แทนที่จะเสียใจว่าถูกทิ้ง
หรือหลอกตัวเองว่าเขาคงคิดถึงและถวิลหาเรา
แบบเดียวกับที่เราคิดถึงและถวิลหาเขา
ก็เปลี่ยนเป็นคิดว่าจากกันเร็วๆก็ดี
จะได้เหลือเวลาในชีวิตไว้หาคนที่ใช่กว่า
และถึงเวลานั้นก็จะได้รู้แนว
ว่าทำยังไงจะไม่ต้องเลิกกับคนที่ใช่จริง


อย่าหลอกตัวเองว่าดีแล้วที่ได้เป็นอิสระ
ทั้งที่ยังไม่รู้ว่าจะเอาอิสระไปทำประโยชน์อะไร
แต่ให้คิดว่านี่คือโอกาสดีที่จะฝึกผ่านทุกข์แบบพุทธ
เอาความเศร้าหมองมาเป็นเครื่องมือเจริญสติ ๒๔ ชั่วโมง
เพราะหลังอกหักมักจะมีความเศร้าเป็นเกลอแก้วทั้งวัน


หรือที่ไม่เกี่ยวกับความรัก

อย่างถ้าลองอะไรดีๆแล้วล้มเหลว ก็ให้เขียนใส่กระดาษเลย
ว่าที่ลองอะไรดีๆนั้น ยังไม่ดีตรงไหน
พอเขียนใส่กระดาษลิสต์เป็นรายการออกมาชัดๆ
ก็จะเกิดความรู้สึกว่าเรา "ได้" อะไรจากความล้มเหลวครั้งนี้มากมาย
ได้รู้ ได้เข้าใจ ว่าอย่างไรคือเหตุของความล้มเหลว


หรือถ้าจะต้อง "ทำใจ"‎ กับภาระหรือความเกาะเกี่ยวที่ไม่น่าชอบใจ
ก็ท่องไว้ครับ อย่าคิดว่าเรากำลังฝืนใจทำเรื่องที่ไม่ชอบ
แต่ให้คิดว่าเราจะ "เต็มใจปรับตัวเอง" ไปสู่ภาวะน่าชอบใจกว่านี้
นั่นคือใส่ใจกับภาระ ใส่ความสุขลงไปกับสิ่งที่จำใจต้องเกาะเกี่ยว
เพื่อปรับตัวเองให้เข้มแข็งและมีความรับผิดชอบกับอะไรตรงหน้าดีๆ


อย่างเช่นบางคนกำลัง "ฝืนใจเรียน"
หรือกระทั่งจำใจทำวิทยานิพนธ์
ทั้งที่ขาดแรงบันดาลใจ ยิ่งทำยิ่งเบื่อ ยิ่งเบื่อก็ยิ่งเครียด
แถมโดนกดดันจากความคาดหวังรอบด้านเข้าไปอีก
อันนี้แทนที่จะแกล้งหลอกตัวเองว่าเราชอบนะ มันน่าสนใจมากนะ
ก็เปลี่ยนเป็นการปรับความเข้าใจเสียใหม่
คือเข้าใจว่าการเริ่มต้นที่ดีที่สุดคือเริ่มต้นด้วยฉันทะ
หรือด้วยความพอใจของเราเอง
การจะปลูกฉันทะขึ้นมาระหว่างทางนั้นยาก
หรือเป็นไปไม่ได้เลย
เรากำลังอยู่ในภาวะครึ่งๆกลางๆ ยากลำบาก
เมื่ออาศัยฉันทะไม่ได้ ก็จำเป็นต้องอาศัยธรรมอีกข้อหนึ่ง คือ ขันติ
ตลอดจนความสามารถในการสังเกตใจตัวเองขณะเบื่อหรือเครียด


เมื่อเข้าใจว่าจะสร้างความชุ่มชื่นขึ้นมาที่กลางทะเลทรายไม่ได้
แต่วางใจเป็นกลาง ใจเย็นพอจะเดินหน้าต่อด้วยน้ำอดน้ำทนได้
เราก็จะเห็นแนวทางที่ชัดเจน และมีแก่ใจทวีความอดทน
จนท่องคาถากันตายไว้ได้ข้อหนึ่ง คือ
"เราต้องผ่านวันนี้ไปอย่างใจเย็นให้ได้!"


อย่าหาอุบายพิเศษมากไปกว่าความเข้าใจ
มองให้เห็นว่าชีวิตทั้งชีวิตนั่นแหละ
คือแบบฝึกหัดของการผ่านด่านยากไปด้วยความเข้มแข็ง อดทน
ถ้าผ่านได้ก็สมควรรับรางวัลชีวิต
ผ่านไม่ได้ก็รับบทลงโทษไป
ความจริงมีให้เข้าใจและเห็นตามจริงอยู่แค่นั้น


จะเรียกว่า "ปลอบตัวเอง" หรือ "ให้คติตัวเอง" อย่างไรก็ตาม
ขอให้จำไว้เป็นหลักตายตัวเลยว่า...
ปลอบใจตัวเองถูกจะอยากก้าวต่อไป
แต่หลอกตัวเองสำเร็จจะอยากย่ำอยู่กับที่!


ดังตฤณ
ตุลาคม ๕๔

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น