...+

วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2554

เรื่องอสุรินทราหู

เรื่องอสุรินทราหู

ในชั้นดาวดึงส์เทวโลกนี้ ยังมีเทพยดาองค์หนึ่งชื่อว่า อสุรินทราหู มีกายสูงใหญ่กว่าเทพยดาทั้งหลายที่มีอยู่ในเทวโลกทั้ง ๖ ชั้น ร่างกายแห่งอสุรินทราหูนั้นมีความสูง ๑,๘๐๐ โยชน์ ระหว่างไหล่ทั้งสองกว้าง ๑,๒๐๐ โยชน์ รอบตัวใหญ่ ๖๐๐ โยชน์ ฝ่ามือฝ่าเท้าใหญ่ ๒๐๐ โยชน์ จมูกใหญ่ ๓๐๐ โยชน์ ปากกว้าง ๓๐๐ โยชน์ องคุลีหนึ่งๆยาว ๕๐ โยชน์ ระหว่างลูกตาทั้งสองห่างกัน ๕๐ โยชน์ หน้าผากกว้าง ๓๐๐ โยชน์ ศีรษะใหญ่ ๙๐๐ โยชน์ ความสูงใหญ่ของอสุรินทราหูนี้ ถ้าหากลงไปในมหาสมุทรอันลึกล้ำนั้น น้ำในมหาสมุทรจะท่วมเพียงแค่เข่า ดังมีสาธกบาลีแสดงไว้ในสุตตันตมหาวัคคอรรถกถาว่า

ราหู อสุรินฺโท ปน ปาทนฺตโต ยาว เกสนฺติ
โยชนานํ จตฺตาริสหสฺสานิ อฏฺฐ จ สตินิ โหนฺติ ตสฺส
ทุวินฺนํ พาหานํ อนฺตรํ ทฺวาทสโยชนสติกํ, พหลตฺเถน
ฉโยชนสติกํ, หตฺถปาทตลานิ ปุถุงโต ทฺวิโยชนสตานิ,
ติโยชนสติกา นาสิกา, ตถา มํ เอเกกํ องฺคุลิปพฺพํ
ปญฺญาสโยชนํ, ตถา ภมุกนฺตรํ, นลาฏํ ติโยชนสติกํ, สีสํ
นวโยชนสติกํล ตสฺส มหามุทฺทํ โอติณฺณสฺส คมภีรํ
อุทกํ ชานุมาณํ โหติ.

มีประวัติเกี่ยวกับความสูงใหญ่ของอสุรินทราหูกับอิทธิฤทธิ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า อสุรินทราหูนี้เสวยศิริสมบัติเป็นอุปราชอยู่ในพิภพอสูรกายภายใต้เขาพระสิเมรุ เมื่อได้ฟังกิตติคุณแห่งสมเด็จพระมหากรุณาสัมมาสัมพุทธเจ้าในสำนักแห่งเทพยดาทั้งปวง ได้เห็นเทพยดาทั้งปวงพากันไปสู่สำนักสมเด็จพระพุทธองค์ ก็มาดำริว่าเรานี้มีกายอันสูงใหญ่จะไปสู่สำนักสมเด็จพระพุทธองค์อันมีร่างกายเล็กน้อยและจะก้มตัวลงแลดูสมเด็จพระพุทธองค์นั้น เรามิอาจก้มตัวลงได้อสุรินทราหูดำริฉะนี้แล้วก็มิได้ไปสู่สำนักสมเด็จพระพุทธองค์อยู่มาในกาลวันหนึ่งอสุรินทราหูได้ฟังเทพยดาทั้งปวงสรรเสริญพระเดชพระคุณแห่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหาที่สุดมิได้ จึงคิดว่าสมเด็จพระพุทธเจ้านั้นจะประเสริฐเป็นประการใดหนอ เทพยดาจึงสรรเสริญเยินยอยิ่งนัก เราจะพยายามไปดูสักครั้งหนึ่งแต่กว่าจะก้มจะกราบมองดูอย่างไรหนอจึงจะแลเห็นองค์สมเด็จพระศาสดาจารย์ ดำริฉะนี้แล้ว อสุรินทราหูก็ปรารภที่จะมาสู่สำนักสมเด็จพระมหาศาสดาผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระกรุณา

ในกาลครั้งนั้น สมเด็จพระผู้มีพระภาค ก็ทรงทราบอัธยาศัยแห่งอสุรินทาราหู พระองค์จึงทรงดำริว่า ราหูจะมาสู่สำนักตถาคตในครั้งนี้ ตถาคตจะสำแดงอิริยาบถยืนหรือจะสำแดงอิริยาบถนั่ง หรือจะสำแดงอิริยาบถเดิน อิริยาบถนอน เป็นประการใด จึงทรงพระปริตกต่อไปว่า บุคคลที่ยืนหรือนั่งถึงจะต่ำก็ปรากฏดุจดังว่าสูง เหตุนี้ตถาคตควรจะสำแดงซึ่งอิริยาบถไสยาสน์แก่อสุรินทราหู ให้อสุรินทราหูเห็นตถาคตในอิริยาบถนอนนี้เถิด เมื่อทรงดำริฉะนี้แล้ว ก็มีพระพุทธฏีกาตรัสสั่งแก่พระอานนท์ว่า

“ดูกรอานนท์ เธอจงตกแต่งเตียงบรรทมแห่งตถาคต
ภายในบริเวณใกล้แห่งพระคันธกุฏีนี้เถิด ตถาคตจะบรรทมใน
สถานที่นั้น”

พระอานนท์รับพระพุทธฏีกาแล้ว ก็ตกแต่งเตียงที่บรรทมแห่งสมเด็จพระผู้มีพระภาคในบริเวณแห่งพระคันธกุฏี สมเด็จพระพุทธองค์ทรงสำเร็จสีหไสยาสน์บรรทม ในสถานที่นั้น
ฝ่ายอสุรินทราหู เมื่อมาถึงสำนักสมเด็จพระพุทธองค์แล้ว ต้องเงยหน้าขึ้นแลดูสมเด็จพระพุทธเจ้า ประดุจหนึ่งทารกแหงนดูดวงจันทร์ในอากาศ สมเด็จพระบรมโลกนาถจึงมีพุทธฏีกาตรัสถามว่า

“ดูกรอสูรินทราหู ท่านมาแลดูตถาคตนี้เห็นเป็นประการ
ใดบ้าง ?”

อสุรินทราหูจึงทูลตอบว่า

“ขอเดชะทรงพระมหากรุณากระหม่อมฉันนี้ไม่ทราบเลยว่า
พระพุทธองค์นี้ทรงพระเดชพระคุณอันล้ำเลิศประเสริฐดังนี้ กระ
หม่อมฉันนี้สำคัญว่าเมื่อมาแล้วจักมิอาจที่จะก้มลงได้ ฉะนั้น
กระหม่อมฉันจึงเพิกเฉยอยู่ มิได้มาสู่สำนักพระองค์”

“ดูกรอสุรินทราหู เมื่อตถาคตบำเพ็ญพระบารมีทั้งปวง
นั้น ตถาคตจะได้ก้มหน้าย่อท้อต่อต่อที่จะบำเพ็ญพระบารมีนั้น
หามิได้ ตถาคตเงยหน้าขึ้นแล้วก็บำเพ็ญพระบารมีทั้งปวง
มิได้หดหู่ย่อท้อเลย ด้วยเหตุนี้ บุคคลผู้ปรารถนาจะแลดู
ตถาคตนี้จะต้องก้มหน้าลงแลดูเหมือนอย่างท่านคิดนั้นหา
มิได้”

มีพุทธฏีกาตรัสฉะนี้แล้ว ก็โปรดประทานพระธรรมเทศนาแก่อสุรินทราหู อสุรินทราหู ก็ยอมรับนับถือสมเด็จพระพุทธองค์เป็นที่พึ่งในกาลครั้งนั้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น