...+

วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2554

คนทำดีเพราะอยากทำจะทำได้ทน ทำได้นาน

คนทำดีเพราะอยากทำจะทำได้ทน ทำได้นาน


พระอาจารย์ กล่าวว่า "คุณลอร่า ที่เขียนหนังสือเรื่อง บ้านเล็กในป่าใหญ่ ในช่วงก่อนนั้นเขาเขียนเรียงความเพื่อที่จะสอบบรรจุครู ได้รับหัวข้อว่าความมักใหญ่ใฝ่สูง ไม่บอกด้วยว่าให้เขียนในทางด้านดีหรือเลว ตั้งหัวข้อมาเฉยๆ

ลอร่า เขาเขียนว่า ความมักใหญ่ใฝ่สูงเป็นผู้ตามที่ดีแต่เป็นผู้นำที่เลว เพราะฉะนั้น..ถ้ามีความมักใหญ่ใฝ่สูงต้องควมคุมเอาไว้ให้เป็นผู้ตาม จะได้สนับสนุนให้เรากระทำสิ่งต่างๆ เพื่อก้าวไปสู่ความสำเร็จ แต่ถ้าเป็นผู้นำเมื่อไรก็พาเละเมื่อนั้น

พวกประเภทอยากดี อยากเด่น อยากดัง บางทีก็เห็นหลายคนที่ทำลักษณะอย่างนั้น เห็นแล้วก็สลดใจ บางท่านที่เราอยู่ในฐานะที่ตักเตือนได้ก็ตักเตือน แต่บางท่านเขาก็มองคนละแง่ พอตักเตือนไปเขาก็บอกว่า “อ้าว...ก็อาจารย์มีครบแล้วก็พูดได้สิ ผมยังไม่มีก็ต้องดิ้นรนหามา” ถ้าประเภทนี้เหนื่อย เป็นผู้มากด้วยบทบาท โปรดได้ยาก..!

จะว่าไปแล้วความมักใหญ่ใฝ่สูง ความทะเยอทะยานทั้งหลายเหล่านี้เกิดจาก "ตัวกู ของกู" ก็คือ สักกายทิฐิบวกอติมานะ ต้องการให้คนเห็นความสำคัญของเรา ต้องการให้คนยกย่องเรา ต้องการให้เขาสรรเสริญเยินยอเรา เป็นต้น ถ้าสิ่งเหล่านี้ถ้านำหน้าเมื่อไร ก็จะเป็นอย่างที่คุณลอร่าบอกไว้ ก็คือ เป็นผู้นำที่เลว มีแต่จะพาเราไปทางเสียอย่างเดียว แต่ว่าจะ เป็นผู้ตามที่ดี ถ้าเราควมคุมเอาไว้ได้ ก็คือ ทำอย่างไรให้เป็นไปโดยถูกต้องตามศีลตามธรรม

ทำอย่างไรที่เราจะค่อยๆ สั่งสมความดีของเราไปเรื่อยๆ จนท้ายสุดคนเขาเห็นแล้วเขายกย่องเอง ไม่ใช่ไปดิ้นรนตะเกียกตะกายเชียร์ตัวเองจนกระทั่งคนเขาเห็น ถ้าลักษณะอย่างนั้นไม่ได้เกิดจากความจริงใจของตัวเอง สิ่งที่เราทำต่อให้เป็นความดีก็จะไม่ยั่งยืน

อาตมาเคยพูดไว้ว่า “คนทำดีเพราะอยากทำจะทำได้ทน ทำได้นาน แต่คนทำดีเพราะอยากดี เมื่อความดียังไม่สนองตอบ อาจจะเลิกทำดีไปเลยก็ได้ เพราะขาดการอดทนและรอคอย” วาระ จังหวะ และโอกาสในชีวิตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนสร้างบุญกุศลเก่าไว้มากก็มาถึงเร็ว บางคนสร้างบุญกุศลเก่าไว้น้อยก็มาถึงช้า"

"อาตมาอยากจะยกตัวอย่างท่านหนึ่งก็คือ หลวงปู่พูล วัดไผ่ล้อม จังหวัดนครปฐม ท่านมรณภาพไปแล้ว สมัยหลวงปู่พูลเริ่มพรรษามาก นครปฐมยุคนั้นเต็มไปด้วยเกจิอาจารย์ทั้งจังหวัดเลย ไม่ว่าจะเป็น หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม หลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม หลวงพ่อน้อย วัดธรรมศาลา ฯลฯ

พอสิ้นรุ่นนั้นไปแล้วก็ยังมี หลวงพ่อแช่ม วัดดอนยายหอม หลวงพ่อไสว วัดปรีดาราม กว่าที่ท่านทั้งหลายเหล่านั้นจะสิ้นหมด หลวงปู่พูลจึงได้โผล่ขึ้นมามีชื่อเสียงตอนอายุ ๙๐ แต่ว่าช่วงระยะเวลาสั้นๆ ที่ท่านมีชื่อเสียงอยู่นั้น กลายเป็นอมตะเถราจารย์ในดวงใจของบุคคลไปเลย แม้กระทั้งมรณภาพไปแล้ว ตัวเลขทุกอย่างที่เกี่ยวโยงกับท่านออกเป็นหวยหมด เจ้ามือเจ๊ง แต่ลูกศิษย์รวยอื้อไปตามๆ กัน

นั่นเราจะเห็นว่า ท่านไม่ได้ไปดิ้นรนไขว่คว้า ท่านยินดีในความสมถะ สันโดษ มักน้อยเป็นปกติ เคยทำความดีอย่างไร ท่านก็ทำความดีอย่างนั้นไปตามปกติ คนเขาเห็น เพียงแต่ว่าท่านที่เขาเด่นกว่ามีอยู่ คนก็ไปหาท่านนั้นก่อน แต่พอสิ่งที่เด่นกว่าทั้งหมดได้สิ้นไปแล้ว ท่านกลายเป็นเด่นที่สุด แล้วคนก็ไปหาท่านเอง เพราะฉะนั้น..ไม่จำเป็นต้องไปชิงดีชิงเด่นกับใคร อะไรที่เป็นของเรา พอถึงเวลาแล้วก็มาเอง ต่อให้ปฏิเสธให้ตายก็มา"


สนทนากับพระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนตุลาคม ๒๕๕๔




ขอบคุณบทความจาก วัดท่าขนุน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น