มนุษย์จะไปเกิดเป็นเทพยดาในสรวงสวรรค์ นั้น จะต้องประกอบกรรมอันเป็นบุญเป็นกุศล เช่น การทำบุญใส่บาตร ทำทาน รักษาศีล เป็นต้น ในการจะไปเกิดในสวรรค์ชั้นใด ก็จะต้องทราบถึงวิธีการวางใจ ในการทำบุญว่า ทำเพื่ออะไร วางใจอย่างไรจะได้บุญมาก จะไปสวรรค์ชั้นใด สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสไว้ใน ทานสูตร ว่า
ถ้าผู้ใดให้ทานโดยหวังผลบุญจากการให้ทาน
เมื่อตายไปจะไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา
พระเจ้าพิมพิสาร แห่งกรุงราชคฤห์ ซึ่งเป็นพระราชบิดา ของพระเจ้าอาชาตศัตรู ได้ทรงปฏิบัติธรรมจนสำเร็จเป็นโสดาบันบุคคล เมื่อสวรรคตแล้วก็ไปบังเกิด ในชั้นจาตุมหาราชิกาภูมิ เป็นสหายของท้าวเวสสุวรรณมหาราช ชื่อว่า ชนวสภยักษ์
พระเจ้าอชาตศัตรูพระราชโอรสของพระเจ้าพิมพิสาร กษัตริย์แคว้นมคธ ซึ่งประสูติแต่พระนางเจ้าเวเทหิเอกอัครมเหสี(พระราชธิดาของพระเจ้ามหาโกศลกษัตริย์แคว้นโกศล (พระบิดาของพระเจ้าปเสนทิ) พระองค์เป็นพระอนุชาต่างพระราชมารดาของอภัยราชกุมาร(๓) ซึ่งประสูติแต่พระนางปทุมวดีราชเทวี
อรรกถากล่าวว่า เมื่อพระองค์ยังอยู่ในพระครรภ์ของพระมารดานั้น พระมารดาทรงแพ้ท้องทรงกระหายจะดื่มพระโลหิตที่พระพาหา(แขน)เบื้องขวาของพระสวามีแต่ไม่กล้าทูลขอ ทำให้พระนางทรงซูบผอมไม่สดใสจนพระเจ้าพิมพิสารทรงสงสัยแล้วตรัสถามเมื่อทรงทราบ ก็ทรงเฉือนพระพาหาของพระองค์ด้วยพระศาสตราทองทรงเอาพระโลหิตที่ไหลออกผสมกับน้ำ ประทานให้พระนางดื่ม เรื่องนี้เหล่าพระโหราจารย์ได้ทำนายว่า พระโอรสในพระครรภ์เป็นศรัตรูกับพระราชบิดา
เมื่อพระนางได้สดับคำทำนายนี้ ก็ทรงต้องการทำลายพระครรภ์ให้ตกไปด้วยการหลบเข้าไปบีบพระครรภ์ในพระราชอุทยาน (สถานที่นั้นจึงถูกเรียกว่า มัททกุจิ) แต่พระครรภ์ก็หาได้ตกไปไม่ เมื่อพระเจ้าพิมพิสารทรงทราบจึงตรัสตำหนิพระนางว่าเรายังไม่รู้เลยว่าทารกในครรภ์นั้นเป็นชายหรือหญิง ทำเช่นนี้โทษก็จะกระจายไปทั่วชมพูทวีป แล้วให้จัดองครักษ์อารักขาพระนางจนคลอดพระครรภ์เป็นพระโอรส
ครั้นพระองค์ประสูติแล้ว พระราชบิดาก็ทรงขนานพระนามว่า อชาตสัตตุกุมาร เพราะเป็นศัตรูของพระบิดาตั้งแต่ยังไม่ประสูติ แต่พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่าเวเทหิบุตร แปลว่าบุตรของพระนางเวเทหิ เมื่อพระองค์ยังทรงพระเยาว์อยู่ได้ทรงมีต่อมหนองปรากฏขึ้นที่นิ้วมือ ทำให้พระองค์ได้ัรับทุกขเวทนาอย่างมาก จึงทรงพระกรรแสงมิหยุดหย่อน แม้พระพี่เลี้ยงจะปลอบประโลมเท่าไร ๆ ก็ไม่เป็นผล จึงได้นำเสด็จขึ้นเฝ้าพระชนกซึ่งขณะนั้นกำลังประทับนั่งว่าราชการ ณ ท้องพระโรงมหาวินิจฉัยอยู่ พระเจ้าพิมพิสารทรงปลอบโยนโดยทรงอมนิ้วมือเป็นต่อมนั้นไว้ และขณะนั้นต่อมนั้นได้แตกออก มีหนองไหลผสมโลหิตออกมาจากแผล แต่ด้วยความรักใคร่ในพระโอรส พระเจ้าพิมพิสารจึงได้ทรงกลืนเสีย
ครั้นพระองค์ได้ทรงเจริญวัยทรงเป็นที่รักที่เอ็นดูของพระเจ้าพิมพิสารและพระราชมารดามากจนไม่อาจฆ่าพระราชกุมารได้ พระราชบิดาได้ทรงแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอุปราชและเป็นรัชทายาท
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ประทับ ณ สวนอัมพวันของหมอชีวกโกมารภัจจ์ ใกล้พระนครราชคฤห์ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๑,๒๕๐ รูป วันนั้นเป็นวันอุโบสถ ๑๕ ค่ำเป็นวันครบ ๔ เดือน ฤดูดอกโกมุทบาน ในราตรีเพ็ญพระจันทร์เต็มดวง พระเจ้าแผ่นดินมคธ พระนามว่า อชาตศัตรูเวเทหิบุตร แวดล้อมด้วยราชอำมาตย์ประทับนั่ง ณ พระมหาปราสาทชั้นบนขณะนั้น พระองค์ทรงเปล่งพระอุทานว่า
“ดูกรอำมาตย์ ราตรีมีดวงเดือนแจ่มกระจ่างน่ารื่นรมย์หนอ ราตรีมีดวงเดือนแจ่มกระจ่าง ช่างงามจริงหนอ
ราตรีมีดวงเดือนแจ่มกระจ่างน่าชมจริงหนอ ราตรีมีดวงเดือนแจ่มกระจ่างน่าเบิกบานจริงหนอ
ราตรีมีดวงเดือนแจ่มกระจ่าง เข้าลักษณะ จริงหนอ วันนี้เราควรจะเข้าไปหาสมณะหรือพราหมณ์ผู้ใดดีหนอ
ซึ่งจิตของเราผู้เข้าไปหาพึงเลื่อมใสได้”
ครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว อำมาตย์ผู้หนึ่งจึงกราบทูลว่า “ขอเดชะ ท่านปูรณะกัสสป ปรากฏว่าเป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์มีชื่อเสียง มีเกียรติยศ...” กราบทูลอย่างนี้แล้วพระองค์ท่านก็ยังทรงนิ่งอยู่ อำมาตย์อีกคนหนึ่ง จึงกราบทูลว่า “ขอเดชะ ท่านมักขลิโคศาล ปรากฏว่าเป็นเจ้าหมู่ เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์มีชื่อเสียง มีเกียรติยศ...” กราบทูลอย่างนี้แล้ว ก็ยังทรงนิ่งอยู่ อำมาตย์อีกคนหนึ่ง จึงกราบทูลว่า “ขอเดชะ ท่านอชิต เกสกัมพล ปรากฏว่าเป็นเจ้าหมู่ เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์มีชื่อเสียง มีเกียรติยศ ...” กราบทูลอย่างนี้แล้ว ก็ทรงนิ่งอยู่ อำมาตย์อีกคนหนึ่ง จึงกราบทูลว่า “ขอเดชะ ท่านปกุธะ กัจจายนะ ปรากฏว่าเป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์มีชื่อเสียง มีเกียรติยศ ..”. กราบทูลอย่างนี้แล้ว ก็ทรงนิ่งอยู่ อำมาตย์อีกคนหนึ่ง จึงกราบทูลว่า “ขอเดชะ ท่านสญชัย เวลัฏฐบุตร ปรากฏว่าเป็นเจ้าหมู่ เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์มีชื่อเสียง มีเกียรติยศ ...” กราบทูลอย่างนี้แล้วก็ทรงนิ่งอยู่ อำมาตย์อีกคนหนึ่ง จึงกราบทูลว่า “ขอเดชะ ท่านนิครนถ์ นาฏบุตร ปรากฏว่าเป็น เจ้าหมู่ เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์มีชื่อเสียง มีเกียรติยศ..”. กราบทูลอย่างนี้แล้ว ก็ทรงนิ่งอยู่
สมัยนั้น หมอชีวกโกมารภัจจ์ นั่งนิ่งอยู่ในที่ไม่ไกลจากพระเจ้าอชาตศัตรู เวเทหิบุตร จึงมีพระราชดำรัสกะหมอชีวก โกมารภัจจ์ว่า
“ชีวกผู้สหาย เธอทำไมจึงนิ่งเสียเล่า”
หมอชีวกโกมารภัจจ์ กราบทูลว่า “ขอเดชะ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ประทับอยู่ ณ สวนอัมพวันของข้าพระพุทธเจ้า พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ หมู่ใหญ่ประมาณ ๑,๒๕๐ รูป
พระเกียรติศัพท์อันงามของพระองค์ขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น
เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชา และจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก
เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว
เป็นผู้จำแนกพระธรรมดังนี้ เชิญพระองค์ เสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นเถิด เห็นด้วยเกล้าฯ ว่า
เมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค พระฤทัยพึงเลื่อมใส “
จึงมีพระราชดำรัสว่า “ชีวกผู้สหาย ถ้าอย่างนั้น ท่านจงสั่งให้จัดเตรียมช้างพาหนะไว้.”
หมอชีวกรับพระราชโองการแล้ว สั่งให้กองพลเตรียมช้างพังประมาณ ๕๐๐ เชือก และช้างพระที่นั่ง พร้อมแล้วได้ราบทูลเชิญเสด็จออกจากพระนครราชคฤห์ ด้วยพระราชานุภาพอย่างยิ่งใหญ่ เสด็จไปสวนอัมพวันของหมอชีวก โกมารภัจจ์.
พอใกล้จะถึง พระเจ้าอชาตศัตรูเกิดทรงหวาดหวั่นครั่นคร้าม และ ทรงมีความสยดสยองขึ้น ครั้นทรงกลัว ทรงหวาดหวั่น มีพระโลมชาตชูชันแล้ว จึงตรัส กับหมอชีวก โกมารภัจจ์ว่า
“ชีวกผู้สหาย ท่านไม่ได้ลวงเราหรือ”
“ชีวกผู้สหาย ท่านไม่ได้หลอกเราหรือ”
“ชีวกผู้สหาย ท่านไม่ได้ล่อเรามาให้ศัตรูหรือ เหตุไฉนเล่า ภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ตั้ง ๑,๒๕๐ รูป
จึงไม่มีเสียงจาม เสียงกระแอม เสียงพึมพำเลย “
หมอชีวก โกมารภัจจ์กราบทูลว่า “ขอพระองค์อย่าได้ทรงหวาดหวั่นเกรงกลัวเลยพระเจ้าข้า
ข้าพระพุทธเจ้าไม่ได้ลวงพระองค์ ไม่ได้หลอกพระองค์ ไม่ได้ล่อพระองค์มาให้ศัตรูเลย พระเจ้าข้า
ขอเดชะ เชิญพระองค์เสด็จ เข้าไปเถิด ๆ นั่นประทีปที่โรงกลมยังตามอยู่. “
ลำดับนั้น พระเจ้าอชาตศัตรูเสด็จพระราชดำเนินโดยกระบวนช้างพระที่นั่งไปจนสุดทาง เสด็จลงทรงพระดำเนินเข้าประตูโรงกลมแล้วจึงรับสั่งกะหมอชีวกโกมารภัจจ์ว่า
“ชีวกผู้สหาย ไหนพระผู้มีพระภาค”.
หมอชีวก โกมารภัจจ์ กราบทูลว่า “ขอเดชะ นั่นพระผู้มีพระภาค ประทับนั่งพิงเสากลาง
ผินพระพักตร์ไปทางทิศบูรพา ภิกษุสงฆ์แวดล้อมอยู่”
ลำดับนั้น พระเจ้าอชาตศัตรูเสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ประทับยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ทรงชำเลืองเห็นภิกษุสงฆ์นิ่งสงบเหมือนห้วงน้ำใส ทรงเปล่งพระอุทานว่า
“ขอให้อุทยภัทท์กุมาร ของเราจงมีความสงบอย่างภิกษุสงฆ์เดี๋ยวนี้”
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ดูกรมหาบพิตร พระองค์ เสด็จมาทั้งความรัก”
พระองค์ทูลรับว่า “พระเจ้าข้า อุทยภัทท์กุมารเป็นที่รักของหม่อมฉัน
ขอให้อุทยภัทท์กุมารของหม่อมฉันจงมีความสงบอย่างภิกษุสงฆ์เดี๋ยวนี้เถิด.”
ลำดับนั้น ทรงอภิวาทพระผู้มีพระภาค แล้วทรงประนมอัญชลีแก่ภิกษุสงฆ์ ประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
ครั้นแล้ว ได้ตรัสพระดำรัสนี้กะพระผู้มีพระภาคว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันจะขอทูลถามปัญหาบางเรื่องสักเล็กน้อย ถ้าพระองค์จะประทาน
พระวโรกาสพยากรณ์ปัญหาแก่หม่อมฉัน”
พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า “เชิญถามเถิด มหาบพิตร ถ้าทรงพระประสงค์”.
หลังจากนั้น พระเจ้าอชาตศัตรูได้ทูลถาม และพระพุทธองค์ทรงแสดง สามัญผลสูตร พระเจ้าอชาตศัตรูแสดงพระองค์เป็นอุบาสก เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสพระคาถาอย่างนี้แล้ว พระเจ้าแผ่นดินมคธ พระนามว่าอชาตศัตรู เวเทหิบุตร ได้กราบทูลพระดำรัสนี้กะพระผู้มีพระภาคว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันนี้ ขอถึงพระผู้มีพระภาค พระธรรมและพระสงฆ์ว่า เป็นสรณะ
ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงจำหม่อมฉันว่าเป็นอุบาสก ผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
โทษได้ครอบงำหม่อมฉัน ซึ่งเป็นคนเขลา คนหลง ไม่ฉลาด หม่อมฉันได้ปลงพระชนมชีพ
พระบิดาผู้ดำรงธรรม เป็นพระราชาโดยธรรมเพราะเหตุแห่งความเป็นใหญ่ ขอพระผู้มีพระภาค
จงทรงรับทราบความผิดของหม่อมฉันโดยเป็นความผิดจริง เพื่อสำรวมต่อไป”
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า “จริง จริง ความผิดได้ครอบงำมหาบพิตรซึ่งเป็นคนเขลา
คนหลงไม่ฉลาด มหาบพิตรได้ปลงพระชนมชีพพระบิดาผู้ดำรงธรรม เป็นพระราชาโดยธรรม
เพราะเหตุแห่งความเป็นใหญ่ แต่เพราะมหาบพิตรทรงเห็นความผิดโดยเป็นความผิดจริงแล้ว
ทรงสารภาพ ตามเป็นจริง ฉะนั้น อาตมภาพ ขอรับทราบความผิดของมหาบพิตร ก็การที่บุคคล
เห็นความผิด โดยเป็นความผิดจริงแล้วสารภาพตามเป็นจริงรับสังวรต่อไป นี้เป็นความชอบในวินัย
ของพระอริยเจ้าแล”.
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว พระเจ้าอชาตศัตรูได้กราบทูลลาว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าเช่นนั้นหม่อมฉันขอทูลลาไปในบัดนี้ หม่อมฉันมีกิจมาก มีกรณียะมาก”
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ขอมหาบพิตรทรงสำคัญเวลา ณ บัดนี้เถิด”
เมื่อเสด็จจากไปไม่นาน พระผู้มีพระภาคตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระราชาพระองค์นี้ถูกขุดเสียแล้ว พระราชาพระองค์นี้ถูกขจัดเสียแล้ว
หากท้าวเธอจักไม่ปลงพระชนม์ชีพพระบิดาผู้ดำรงธรรม เป็นพระราชาโดยธรรมไซร้ ธรรมจักษุ
ปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน จักเกิดขึ้นแก่ท้าวเธอ ณ ที่ประทับนี้ทีเดียว
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสคำเป็นไวยากรณ์นี้แล้ว. ภิกษุเหล่านั้นชื่นชมยินดีภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล้วแล”
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายให้สงฆ์จงลงปกาสนียกรรมในกรุงราชคฤห์แก่เทวทัต หลังถูกสงฆ์ลงปกาสนีกรรม พระเทวทัตเห็นว่าวิธีที่ผ่านมาไม่สำเร็จต้องใช้วิธีที่รุนแรงกว่านี้จึงจะมีโอกาสสำเร็จ พระเทวทัตได้เข้าไปพบพระราชกุมารอชาตศัตรูแล้วทูลยุยงว่า
"ดูก่อนราชกุมาร เมื่อก่อนคนทั้งหลายมีอายุยืน เดี๋ยวนี้มีอายุสั่น โอกาสที่ท่านจะตายแต่วัยเด็กก็มีได้
ถ้าอย่างไรท่านจงปลงพระชนม์พระราชบิดาเสีย แล้วตั้งตนเป็นพระเจ้าแผ่นดินแทน ส่วนอาตมา
จะปลงพระชนม์พระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วเป็นพระพุทธเจ้าแทน"
แรก ๆ เจ้าชายก็ทักท้วงว่า พระองค์มีครบในทุกสิ่งที่ทรงประสงค์แล้ว แตพระเทวทัตก็ได้ทูลยุยงให้เจ้าชายปรารถนาในราชสมบัติจนเจ้าชายอชาตศัตรูทรงคล้อยตาม ทรงดำริว่า พระเทวทันมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก พระผู้เป็นเจ้าเทวทัตย่อมต้องรู้อะไรแจ่มแจ้งกว่า
ด้วยความที่ยังทรงพระเยาว์ เจ้าชายอชาตศัตรูได้แอบซุกซ่อนกฤชไว้ในพระเพลา กระทำการด้วยความหวาดวิตก รีบเสด็จเข้าไปในพระราชวังตั้งแต่ยังกลางวัน ฝ่ายพวกอำมาตย์เห็นอาการของพระราชกุมารแล้วก็เกิดความสงสัยจึงได้จับกุมตรวจค้นจนพบกฤชนั้น จึงได้ทูลถามว่าจะกระทำการสิ่งใด เจ้าชายได้สารภาพว่าจะลอบปลงพระชนม์พระราชบิดาพิมพิสาร ด้วยพระเทวทัตยุยงใช้ให้กระทำ
ราชกุมารอชาตศัตรูครองราชสมบัติ คุมขังพระราชบิดา
ครั้งนั้น มหาอำมาตย์บางพวกเสนอว่าความผิดนี้ ควรฆ่าพระกุมาร ฆ่าพระเทวทัตและภิกษุสงฆ์ทั้งหมด บางพวกคัดค้านว่า ไม่ควรฆ่าพระราชกุมาร ไม่ควรฆ่าพระเทวทัต และไม่ควรฆ่าภิกษุสงฆ์ แต่ควรกราบทูลให้พระเจ้าพิมพิสารทรงทราบ หากพระองค์รับสั่งอย่างไรก็ควรปฏิบัติตามนั้น แล้วนำพระราชกุมารเข้าเฝ้ากราบทูลให้ทรงทราบเรื่องทั้งหมด รวมทั้งความเห็นของพวกอำมาตย์ด้วย
พระเจ้าพิมพิสารตรัสว่า "ดูก่อนท่านทั้งหลาย ไม่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า พระธรรม หรือภิกษุสงฆ์ เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสให้ภิกษุสงฆ์ทำปกาสนียกรรม คือประกาศให้ประชาชนทราบว่าสิ่งที่เทวทัตทำไม่เกี่ยวกับสงฆ์ หากพระเทวทัตทำอย่างใดด้วยกาย หรือวาจา ก็ไม่พึงเห็นว่าพระพุทธ พระธรรม หรือพระสงฆ์ เป็นเหมือนพระเทวทัต เป็นเฉพาะตัวพระเทวทัตเอง"
ต่อจากนั้นทรงรับสั่งถอดยศของพวกอำมาตย์ที่เสนอว่า "ควรฆ่าพระราชกุมาร พระเทวทัตและภิกษุทั้งหมด" ทรงลดตำแหน่งพวกอำมาตย์ที่เสนอว่า "ไม่ควรฆ่าพระภิกษุ เพราะพวกภิกษุไม่ผิด แต่ควรฆ่าพระราชกุมารและพระเทวทัต"
แล้วทรงเลื่อนตำแหน่งให้แก่พวกอำมาตย์ที่เสนอว่า "ไม่ควรฆ่าพระราชกุมาร พระเทวทัตและพวกภิกษุ ควรให้พระราชาทรงวินิจฉัยเอง"
จากนั้น ตรัสถามพระราชกุมารอชาตศัตรูว่า "ลูก เจ้าต้องการฆ่าพ่อเพื่ออะไร?
ทูลว่า "หม่อมฉันต้องการราชสมบัติ พระเจ้าข้า"
ตรัสว่า "ถ้าเจ้าต้องการราชสมบัติ ราชสมบัติทั้งหมดนั้นก็เป็นของเจ้าแล้ว พ่อขอมอบให้ลูก"
เมื่อพระเทวทัตทราบดังนี้แล้วก็ยังไม่ยอม ทูลยุยงให้จับพระเจ้าพิมพิสารมาคุมขังไว้ และให้ตัดพระกระยาหาร พระเทวทัตทูลยุยงว่า "พระองค์ก็เหมือนจับเอาสุนัขจิ้งจอกขังไว้ภายในกลองหุ้มหนัง" คือเมือจำคุกพระราชบิดาหากออกมาข้างนอกได้ อีกสองสามวันพระบิดาของพระองค์ก็จะทรงคิดว่าพระองค์ดูหมิ่น ก็จักกลับมาเป็นพระราชาผู้มีอำนาจอีก หากเวลานั้นมาถึงก็จะมีภัยคุกคามพระราชกุมาร ควรจะขุดรากถอนโคนฆ่าให้ตายเสีย"
พระเจ้าอชาตศัตรูตรัสถามว่าจะฆ่าด้วยวิธีใด? พระเทวทัตแนะนำให้คุมขัง แล้วตัดพระกระยาหาร พระกุมารจึงให้ควบคุมพระราชบิดาไว้ในเรือนสำหรับควบคุมนักโทษ ตรัสสั่งทหารว่า นอกจากพระราชมารดาแล้ว ห้ามคนอื่นเยี่ยม และให้งดส่งอาหาร
พระนางเวเทหิราชมารดาทรงแอบเอาหารซ่อนชายพกผ้าเข้าเยี่ยม ให้พระสวามีเสวยประทังชีวิต พระราชกุมารทรงทราบว่าที่พระบิดายังไม่ตายก็เพราะพระมารดานำอาหารเข้าไปให้ จึงตรัสห้ามนำสิ่งของใด ๆ เข้าไปเยี่ยม พระนางก็แอบนำอาหารซ่อนไว้ในมวยผม ในฉลองพระบาท เมื่อพระราชกุมารทรงทราบแล้ว ทรงสั่งห้ามทำมวยผมและห้ามการใส่ฉลองพระบาทเข้าเยี่ยม พระนางก็ใช้วิธีทางพระวรกายด้วยอาหารแล้วห่มพระภูษาเข้าเยี่ยม ให้พระสวามีทรงเลียพระวรกาย ที่สุดพระราชกุมารก็ทรงสั่งห้ามเด็ดขาดไม่ให้พระราชมารดาเข้าเยี่ยม
ให้ช่างผมกรีดเท้า ปลงพระชนม์พระราชบิดาพิมพิสาร
พระนางเวเทหิประทับยืนกรรแสงที่ประตูเรือนจำ คร่ำครวญว่า "ยามเขาเป็นเด็ก พระองค์ก็ไม่ให้ฆ่า ทรงเลี้ยงศัตรูไว้แท้ ๆ บัดนี้หม่อมฉันคงเห็นพระองค์เป็นครั้งสุดท้าย ถ้าโทษของหม่อมฉันมีอยู่ ขอได้โปรดพระราชทานอภัยโทษให้หม่อมฉันด้วย" แล้วเสด็จกลับ
นับแต่นั้นมา พระเจ้าพิมพิสารไม่มีพระกระยาหารเสวย แต่พระองค์ก็ดำรงพระชนม์ชีพอยู่ได้ด้วยความสุขในมรรคผลที่พระองค์ท่านบรรลุแล้ว ด้วยวิธีเดินจงกรม ทรงมีพระวรกายเปล่งปลั่ง พระราชกุมารทรงทราบแล้ว ตรัสให้ช่างผมใช้มีดโกนกรีดพระบาทของพระราชบิดาทั้งสองข้าง แล้วเอาน้ำมันผสมเกลือทาและใช้ความร้อนจากถ่านไม้ตะเคียนย่างพระบาท
เมื่อพระเจ้าพิมพิสารทรงทอดพระเนตรเห็นช่างตัดผม พระเจ้าพิมพิสารดำริว่า ลูกเราคงมีใครเตือนให้รู้สำนึกแล้ว จึงส่งช่างมาแต่งหนวดให้กระมัง แต่ช่างผมกราบทูลให้ทรงทราบพระราชโองการตรัสสั่ง กราบทูลขออภัยโทษที่ต้องกระทำตามสัง แล้วกระทำการกรีดพระบาท
ซึ่งอรรถกถาว่า ในอดีตพระราชาพิมพิสารนี้เคยใส่ฉลองพระบาทเข้าไปในลานพระเจดีย์ และเอาเท้าสกปรกเหยียบเสื่อที่เขาจัดไว้สำหรับนั่ง จึงทรงเสวยผลของกรรมนั้น
พระเจ้าพิมพิสารทรงเสวยทุกขเวทนาอย่างแรงกล้า แต่ก็ทรงระลึกถึงพระรัตนตรัยอยู่ แล้วทรงมีพระชนม์อยู่ได้อีก ๒-๓ วัน ก็เสด็จสวรรคต ไปบังเกิดเป็นยักษ์ชื่อ ชนวสภะ ในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา
ในวันที่ทรงสวรรคตนั่นเอง พระมเหสีของพระเจ้าอชาตศัตรูก็ประสูติพระโอรส อำมาตย์นำข่าวการประสูติมาทูลก่อน พระเจ้าอชาตศัตรูเกิดความรู้สึกรักลูกท่วมท้นทั่วพระวรกาย ทรงรู้ซึ้งถึงคุณของพระราชบิดาว่า สมัยเราเกิด พระบิดาก็คงรู้สึกเช่นเดียวกันกับเรานี้กระมัง ตรัสให้รีบไปปล่อยพระราชบิดา อำมาตย์อีกคนทูลว่าพระราชบิดาสวรรคตแล้ว พระราชาทรงกันแสงเสด็จไปเข้าเฝ้าพระราชมารดา รับสั่งถามว่า สมัยที่ข้าพระองค์ประสูติ พระบิดารักข้างพระองค์ไหม? พระราชมารดาตรัสตอบว่า เจ้าลูกโง่ เจ้าพูดอะไร ยามเจ้ายังเล็กอยู่ เกิดฝีที่นิ่วมือ เสด็จพ่อยังเคยดูดฝีแตกออกด้วยพระโอษฐ์ และยังกลืนน้ำเหลืองนั้นด้วย
พระเจ้าอชาตศัตรูทรงกันแสงอย่างหนัก คร้ำครวญจัดพิธีถวายพระเพลิงพระศพพระบิดาแล้ว ฝ่ายพระนางเวเทหิก็ทรงตรอมพระทัยอย่างยิ่ง เสด็จสวรรคตในเวลาที่รวดเร็ว(ดู ที.อ.๑/๑/๓๓๙ข๓๔๕)
พระเทวทัตถูกธรณีสูบ พระราชาอชาตศัตรูสะดุ้งหวาดหวั่น
นับแต่พระราชบิดาพิมพิสารสวรรคตแล้ว พระเจ้าอชาตศัตรูทรงบรรทมไม่หลับเลย ทรงสะดุ้งพระทัยยิ่งนัก หลังจากทรงสดับว่าพระเทวทัตถูกธรณีสูบ คิดว่าตัวเราจะถูกแผ่นดินสูบด้วยหรือไม่? นับจากวันนั้นพระองค์ก็ไม่ได้รับความสุขในราชสมบัติ ไม่ยินดีบนพระแท่นบรรทม เหมือนนอนอยู่บนแผ่นเหล็กร้อนแล้วยังถูกแทงด้วยหลาวเหล็ก ทรงหวาดผวาเหมือนเปรตที่ถูกทรมานอย่างหนักในทุกที่ที่ทรงเสด็จไป
ทรงรู้สึกเหมือนว่ากำลังถูกแผ่นดินสูบ เหมือนเปลวเพลิงในเอวจีกำลังแลบออกมา ความสงบพระทัยแม้สักครู่หนึ่งก็ไม่มีแก่พระองค์ ผวาอยู่เหมือนสัตว์ถูกเชือด ทรงต้องการจะเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อกราบทูลขอให้ทรงยกโทษและทูลถามปัญหา(ชาดก.อ.๓/๒/๖๐๗-๗,ชาดก.อ.๔/๑/๑๖๕-๖)
ทรงประสงค์จะพบพระพุทธเจ้าแต่ทรงไม่กล้า
ในครั้งนั้น พระผู้มีพระภาค ประทับ ณ สวนอัมพวันของหมอชีวกโกมารภัจจ์ ใกล้พระนครราชคฤห์ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๑,๒๕๐ รูป วันนั้นเป็นวันอุโบสถ ๑๕ ค่ำเป็นวันครบ ๔ เดือน ฤดูดอกโกมุทบาน ในราตรีเพ็ญพระจันทร์เต็มดวง พระเจ้าแผ่นดินมคธ อชาตศัตรูเวเทหิบุตร แวดล้อมด้วยราชอำมาตย์ประทับนั่ง ณ พระมหาปราสาทชั้นบนขณะนั้น พระองค์ทรงเปล่งพระอุทานว่า
“ดูกรอำมาตย์ ราตรีมีดวงเดือนแจ่มกระจ่างน่ารื่นรมย์หนอ ราตรีมีดวงเดือนแจ่มกระจ่าง ช่างงามจริงหนอ
ราตรีมีดวงเดือนแจ่มกระจ่างน่าชมจริงหนอ ราตรีมีดวงเดือนแจ่มกระจ่างน่าเบิกบานจริงหนอ
ราตรีมีดวงเดือนแจ่มกระจ่าง เข้าลักษณะ จริงหนอ วันนี้เราควรจะเข้าไปหาสมณะหรือพราหมณ์ผู้ใดดีหนอ
ซึ่งจิตของเราผู้เข้าไปหาพึงเลื่อมใสได้”
ครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว อำมาตย์ผู้หนึ่งจึงกราบทูลว่า “ขอเดชะ ท่านปูรณะกัสสป ปรากฏว่าเป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์มีชื่อเสียง มีเกียรติยศ...” กราบทูลอย่างนี้แล้วพระองค์ท่านก็ยังทรงนิ่งอยู่ อำมาตย์อีกคนหนึ่ง จึงกราบทูลว่า “ขอเดชะ ท่านมักขลิโคศาล ปรากฏว่าเป็นเจ้าหมู่ เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์มีชื่อเสียง มีเกียรติยศ...” กราบทูลอย่างนี้แล้ว ก็ยังทรงนิ่งอยู่ อำมาตย์อีกคนหนึ่ง จึงกราบทูลว่า “ขอเดชะ ท่านอชิต เกสกัมพล ปรากฏว่าเป็นเจ้าหมู่ เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์มีชื่อเสียง มีเกียรติยศ ...” กราบทูลอย่างนี้แล้ว ก็ทรงนิ่งอยู่ อำมาตย์อีกคนหนึ่ง จึงกราบทูลว่า “ขอเดชะ ท่านปกุธะ กัจจายนะ ปรากฏว่าเป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์มีชื่อเสียง มีเกียรติยศ ..”. กราบทูลอย่างนี้แล้ว ก็ทรงนิ่งอยู่ อำมาตย์อีกคนหนึ่ง จึงกราบทูลว่า “ขอเดชะ ท่านสญชัย เวลัฏฐบุตร ปรากฏว่าเป็นเจ้าหมู่ เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์มีชื่อเสียง มีเกียรติยศ ...” กราบทูลอย่างนี้แล้วก็ทรงนิ่งอยู่ อำมาตย์อีกคนหนึ่ง จึงกราบทูลว่า “ขอเดชะ ท่านนิครนถ์ นาฏบุตร ปรากฏว่าเป็น เจ้าหมู่ เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์มีชื่อเสียง มีเกียรติยศ..”. กราบทูลอย่างนี้แล้ว ก็ทรงนิ่งอยู่
สมัยนั้น หมอชีวกโกมารภัจจ์ นั่งนิ่งอยู่ในที่ไม่ไกลจากพระเจ้าอชาตศัตรู เวเทหิบุตร จึงมีพระราชดำรัสกะหมอชีวก โกมารภัจจ์ว่า
“ชีวกผู้สหาย เธอทำไมจึงนิ่งเสียเล่า”
หมอชีวกโกมารภัจจ์ กราบทูลว่า “ขอเดชะ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ประทับอยู่ ณ สวนอัมพวันของข้าพระพุทธเจ้า พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ หมู่ใหญ่ประมาณ ๑,๒๕๐ รูป
พระเกียรติศัพท์อันงามของพระองค์ขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น
เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชา และจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก
เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว
เป็นผู้จำแนกพระธรรมดังนี้ เชิญพระองค์ เสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นเถิด เห็นด้วยเกล้าฯ ว่า
เมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค พระฤทัยพึงเลื่อมใส “
จึงมีพระราชดำรัสว่า “ชีวกผู้สหาย ถ้าอย่างนั้น ท่านจงสั่งให้จัดเตรียมช้างพาหนะไว้.”
หมอชีวกรับพระราชโองการแล้ว สั่งให้กองพลเตรียมช้างพังประมาณ ๕๐๐ เชือก และช้างพระที่นั่ง พร้อมแล้วได้ราบทูลเชิญเสด็จออกจากพระนครราชคฤห์ ด้วยพระราชานุภาพอย่างยิ่งใหญ่ เสด็จไปสวนอัมพวันของหมอชีวก โกมารภัจจ์.
พอใกล้จะถึง พระเจ้าอชาตศัตรูเกิดทรงหวาดหวั่นครั่นคร้าม และ ทรงมีความสยดสยองขึ้น ครั้นทรงกลัว ทรงหวาดหวั่น มีพระโลมชาตชูชันแล้ว จึงตรัส กับหมอชีวก โกมารภัจจ์ว่า
“ชีวกผู้สหาย ท่านไม่ได้ลวงเราหรือ”
“ชีวกผู้สหาย ท่านไม่ได้หลอกเราหรือ”
“ชีวกผู้สหาย ท่านไม่ได้ล่อเรามาให้ศัตรูหรือ เหตุไฉนเล่า ภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ตั้ง ๑,๒๕๐ รูป
จึงไม่มีเสียงจาม เสียงกระแอม เสียงพึมพำเลย “
หมอชีวก โกมารภัจจ์กราบทูลว่า “ขอพระองค์อย่าได้ทรงหวาดหวั่นเกรงกลัวเลยพระเจ้าข้า
ข้าพระพุทธเจ้าไม่ได้ลวงพระองค์ ไม่ได้หลอกพระองค์ ไม่ได้ล่อพระองค์มาให้ศัตรูเลย พระเจ้าข้า
ขอเดชะ เชิญพระองค์เสด็จ เข้าไปเถิด ๆ นั่นประทีปที่โรงกลมยังตามอยู่. “
ลำดับนั้น พระเจ้าอชาตศัตรูเสด็จพระราชดำเนินโดยกระบวนช้างพระที่นั่งไปจนสุดทาง เสด็จลงทรงพระดำเนินเข้าประตูโรงกลมแล้วจึงรับสั่งกะหมอชีวกโกมารภัจจ์ว่า
“ชีวกผู้สหาย ไหนพระผู้มีพระภาค”.
หมอชีวก โกมารภัจจ์ กราบทูลว่า “ขอเดชะ นั่นพระผู้มีพระภาค ประทับนั่งพิงเสากลาง
ผินพระพักตร์ไปทางทิศบูรพา ภิกษุสงฆ์แวดล้อมอยู่”
ลำดับนั้น พระเจ้าอชาตศัตรูเสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ประทับยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ทรงชำเลืองเห็นภิกษุสงฆ์นิ่งสงบเหมือนห้วงน้ำใส ทรงเปล่งพระอุทานว่า
“ขอให้อุทยภัทท์กุมาร ของเราจงมีความสงบอย่างภิกษุสงฆ์เดี๋ยวนี้”
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ดูกรมหาบพิตร พระองค์ เสด็จมาทั้งความรัก”
พระองค์ทูลรับว่า “พระเจ้าข้า อุทยภัทท์กุมารเป็นที่รักของหม่อมฉัน
ขอให้อุทยภัทท์กุมารของหม่อมฉันจงมีความสงบอย่างภิกษุสงฆ์เดี๋ยวนี้เถิด.”
ลำดับนั้น ทรงอภิวาทพระผู้มีพระภาค แล้วทรงประนมอัญชลีแก่ภิกษุสงฆ์ ประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
ครั้นแล้ว ได้ตรัสพระดำรัสนี้กะพระผู้มีพระภาคว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันจะขอทูลถามปัญหาบางเรื่องสักเล็กน้อย ถ้าพระองค์จะประทาน
พระวโรกาสพยากรณ์ปัญหาแก่หม่อมฉัน”
พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า “เชิญถามเถิด มหาบพิตร ถ้าทรงพระประสงค์”.
หลังจากนั้น พระเจ้าอชาตศัตรูได้ทูลถาม และพระพุทธองค์ทรงแสดง สามัญผลสูตร พระเจ้าอชาตศัตรูแสดงพระองค์เป็นอุบาสก เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสพระคาถาอย่างนี้แล้ว พระเจ้าแผ่นดินมคธ พระนามว่าอชาตศัตรู เวเทหิบุตร ได้กราบทูลพระดำรัสนี้กะพระผู้มีพระภาคว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันนี้ ขอถึงพระผู้มีพระภาค พระธรรมและพระสงฆ์ว่า เป็นสรณะ
ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงจำหม่อมฉันว่าเป็นอุบาสก ผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
โทษได้ครอบงำหม่อมฉัน ซึ่งเป็นคนเขลา คนหลง ไม่ฉลาด หม่อมฉันได้ปลงพระชนมชีพ
พระบิดาผู้ดำรงธรรม เป็นพระราชาโดยธรรมเพราะเหตุแห่งความเป็นใหญ่ ขอพระผู้มีพระภาค
จงทรงรับทราบความผิดของหม่อมฉันโดยเป็นความผิดจริง เพื่อสำรวมต่อไป”
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า “จริง จริง ความผิดได้ครอบงำมหาบพิตรซึ่งเป็นคนเขลา
คนหลงไม่ฉลาด มหาบพิตรได้ปลงพระชนมชีพพระบิดาผู้ดำรงธรรม เป็นพระราชาโดยธรรม
เพราะเหตุแห่งความเป็นใหญ่ แต่เพราะมหาบพิตรทรงเห็นความผิดโดยเป็นความผิดจริงแล้ว
ทรงสารภาพ ตามเป็นจริง ฉะนั้น อาตมภาพ ขอรับทราบความผิดของมหาบพิตร ก็การที่บุคคล
เห็นความผิด โดยเป็นความผิดจริงแล้วสารภาพตามเป็นจริงรับสังวรต่อไป นี้เป็นความชอบในวินัย
ของพระอริยเจ้าแล”.
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว พระเจ้าอชาตศัตรูได้กราบทูลลาว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าเช่นนั้นหม่อมฉันขอทูลลาไปในบัดนี้ หม่อมฉันมีกิจมาก มีกรณียะมาก”
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ขอมหาบพิตรทรงสำคัญเวลา ณ บัดนี้เถิด”
เมื่อเสด็จจากไปไม่นาน พระผู้มีพระภาคตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระราชาพระองค์นี้ถูกขุดเสียแล้ว พระราชาพระองค์นี้ถูกขจัดเสียแล้ว
หากท้าวเธอจักไม่ปลงพระชนม์ชีพพระบิดาผู้ดำรงธรรม เป็นพระราชาโดยธรรมไซร้ ธรรมจักษุ
ปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน จักเกิดขึ้นแก่ท้าวเธอ ณ ที่ประทับนี้ทีเดียว
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสคำเป็นไวยากรณ์นี้แล้ว. ภิกษุเหล่านั้นชื่นชมยินดีภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล้วแล”
(ที.สี.ข้อ ๙-๑๔๐,ที.อ.๑/๑/๓๓๗-๔๙๖)
พระราชาอชาตศัตรูไม่ทรงบรรลุโสดาบัน แต่ทรงบรรทมเป็นสุข และทรงยกเลิกการบำรุงพระเทวทัตพร้อมทั้งบริวาร ทรงสนับสนุนพระพุทธเจ้าตั้งแต่บัดนั้น และทรงกระทำกุศลใหญ่ ทรงรับอุปถัมภ์การสังคายนาครั้งแรก
อรรถกถาว่า พระเจ้าอชาตศัตรูสวรรคตแล้วเกิดในโลหกุมภีนรก ตกอยู่เบื้องต่ำ ๓ หมื่นปี(นรก) ถึงพื้นเบื้องล่างแล้วผุดขึ้นเบื้องบนอีก ๓ หมื่นปีนรก เมื่อถึงการตกลงและผุดขึ้นอีกจึงจักพ้นได้ และในอนาคตจัดได้ตรัสรู้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าชื่อ ชีวิตวิเสส(ที.อ.๑/๑/๔๙๖)
ราชวงศ์ปิตุฆาต
อรรถกถาว่า ในราชวงศ์ของพระเจ้าพิมพิสารนี้ เกิดเหตุการณ์ลูกฆ่าพ่อถึง ๕ ชั่วรัชกาล คือ
๑. พระเจ้าพิมพิสารถูกฆ่าโดยพระเจ้าอชาตศัตรูผู้เป็นราชโอรส
๒. พระเจ้าอชาตศัตรูถูกฆ่าโดยพระเจ้าอุทัยผู้เป็นราชโอรส
๓. พระเจ้าอุทัยถูกฆ่าโดยพระเจ้ามหามุณฑิกะผู้เป็นราชโอรส
๔. พระเจ้ามหามุณฑิกะถูกฆ่าโดยพระเจ้าอนุรุทธะผู้เป็นราชโอรส
๕. พระเจ้าอนุรุทธะถูกฆ่าโดยพระเจ้านาคทาสะผู้เป็นราชโอรส
พวกชาวเมืองมคธเห็นว่าราชวงศ์นี้เป็นราชวงศ์ล้างตระกูล ไม่มีประโยชน์ที่จะให้ปกครองบ้านเมืองอีก จึงช่วยกันฆ่าพระเจ้านาคทาสะเพื่อล้มล้างราชวงศ์นี้ (ที.อ.๑/๑๓๖๘-๙)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น