...+

วันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2554

น่าอ่าน น่าคิด เมืองไทย

น่าอ่าน น่าคิด เมืองไทย

เก็บมาแบ่งปัน

เมื่อวานได้มีโอกาศเสวนากับ CEO ของบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งนึงจากสิงคโปร์
มีเรื่องน่าสนใจมาเล่าแชร์ให้ฟังครับ เป็นสามชั่วโมงของการสนทนาที่ได้ความรู้มาครับ

‎1. เขาบอกว่าอายุขัยของ กรุงเทพนั้น จากการคำนวนของนักวิทยาศาสตร์
และธรณีวิทยา รวมถึงผู้เชี่ยวชาญหลายสาขา ของสิงคโปร์ เค้าบอกว่า
มีอายุอีกราวๆ 19 ปี (เค้าใช้คำว่า Life span of Bangkok City)
ถ้าไม่มีการแก้ไขใดๆ ทั้งสิ้น
‎2. หลากหลายเรื่องราวที่เราเห็นจากหน้าหนังสือพิมพ์
เกี่ยวกับการเมืองในประเทศเรานั้น จริงๆ แล้วเป็นฉากละครฉากหนึ่งที่ถูกส้รางขึ้นมา
เพื่อให้ผู้ชม (คนไทย)นั้นเชื่อไปอย่างนั้นเอง
เช่น การทำเหมือนเป็นศัตรูกันของ นักการเมือง
แต่แท้จริงแล้วทะเลาะกันบังหน้า เพื่อผลประโยชน์ ฮั้วกันลับหลัง
หลายๆอย่างที่เราเห็นนั้น รัฐบาลของเค้ามีส่วนอยู่ด้วย เชื่อไหมครับว่า
เงินของทักษิณที่โอนไปเกาะเคย์แมนนั้น รัฐบาลสิงคโปร์
เป็นคนฟอกเงินให้และจัดการส่งไปให้
‎3. เค้าบอกว่า ไม่ว่าใครจะขึ้นมาเป็นรัฐบาล สุดท้ายเข้าสู่วงจรโกงกินอยู่ดี
แน่นอนเพราะผลประโยชน์และเงินสกปรกจะถูก Offer
มาโดยรํฐบาลของเค้าเอง รวมถึงนักธุรกิจใหญ่ๆจากหลายชาติ
โดยเฉพาะสิงคโปร์ ฉะนั้นอย่าไปหวังเลยว่า สีเหลืองแดง อะไรทั้งหลาย
เขาบอกว่าหนีไม่พ้นหรอก ต่อให้ใครขาวสะอาดมาแค่ไหน
สุดท้ายก็ทนเงินก้อนโตที่ถูกยัดให้ปิดปากไม่ไหว
‎4. 20 ปีก่อน รัฐบาลไทยเคยเชิญรัฐบาลสิงคโปร์นำผู้เชี่ยวชาญ
มาเพือ่ทำการวิเคราะห์ว่าทำ ยังไงถึงจะแก้ปัญหาผังเมือง
และการขนส่งคมนาคม ผลสรุปคือ แก้ไมได้ เพราะผังเมืองผิดแต่แรกแล้ว
เค้าแนะนำให้ย้ายเมืองหลวงหรือไม่ก็ขยาย ออกรอบนอกไปไกลๆ
แล้วตั้งผังเมืองใหม่ จากวันนั้นจนวันนี้ก็ไม่มีการดำเนินการแต่อย่างใด
ผิดกับรัฐบาลของสิงคโปร์ที่ จัดทำการวางผังและปรับปรุงตลอดเวลาใหม่
ควบคุมแม้กระทั่งการกระจายต ัวของชนชาติต่าง
ไม่ให้กระจุกตัวเพื่อส้รางสังคมเฉพาะใหม่ๆขึ้นมา
รวมไปถึงมีการสร้างเขื่อนกำแพงรอบและประตูกั้นน้ำ
เพื่อป้องกันปัญหา Global warming และน้ำทะเลสูงขึ้นจนท่วมเมืองสิงคโปร์
‎5. คนไทยนั้น เป็นสังคม idol กล่าวคือ เชิดชู บูชา คนที่เด่นดัง
โดยไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดี (ไม่ว่าอยู่ข้างไหนก็ตาม) ฉะนั้นการชนะใจคนไทยนั้นง่ายมาก
จากเหตุนี้ การเข้ายึดประเทศไทยไม่ใช่เรื่องยากเลยสำหรับคนที่มุ่งมั่นตั้งใจ
พ้น 19 ปี น้ำทะเลจะหนุน จนทำให้เกิดการท่วมถาวรในบางพื้นที่ จนสุดท้าย
อสังหาริมทรัพย์และโครงส้รางพื้นฐานใหญ่ๆทั้งหลายที่เคยลงทุนไปโดยรัฐบาล
จะใช้ไม่ไ ด้ เสียเงินลงทุนไปเปล่าๆ เค้าบอกว่า
ถ้ายังทะเลาะกันไม่เลิกแบบน ี้ ก็เตรียมขายที่ดินใน กทม ทั้งหมดได้เลย
‎6. พอเริ่ม AEC เมื่อไหร่ คนไทยรากหญ้าจะเป็นกลุ่มแรก ที่ซวยที่สุด
ตามมาด้วยตระกูล Smes ทั้งหลาย
‎7. เค้าบอกว่า อย่าได้คิดว่า คนที่ดูดีภายนอก (พวกนายก)
จะไม่ทำเรื่องสกปรก คนส่วนมากไม่รู้ แค่นั้นเอง ยกตัวอย่างเช่น
นายกของสิงคโปร์เอง ลีกวนยู ที่ส้รางคุณูปการยิ่งใหญ่ทั งหลายแก่สิงคโปร
ทำให้สิงคโปร์พัฒนามาจนมีวันนี้ เบื้องหลังแล้วนั้น
เค้าจับคนยัดข้อหาเข้าคุกมากมายโดยที่ไม่มีความผิดอันใด
แม้แต่เพื่อเขาเองเขาก็ทำมาแล้ว จุดประสงค์เพียงเพื่อต้องการเสถียรภาพของการปกครอง
บางครั้ง คนที่ยิ่งใหญ่มันก็จำเป็นต้องทำเรื่องเลวๆบ้าง นายกของไทยกี่คนต่อกี่คน
ก็เช่นกัน ไม่มีข้อยกเว้น
‎8. จุดยุทธศาสตร์ของประเทศไทยน ั้น จริงๆแล้วดีมากๆในแง่ของที่ตั้งและการเชื่อมต่อ
แต่เขาสงสัยว่าทำไมรัฐบาลไทยมัวแต่ทำอะไรอยู่
ถ้าวางโครงส้รางพื้นฐาน และ วางกำหนดทิศทางประเทศให้เป็น Center of AseanDistribution ให้ดี
ประเทศไทยเราป่านนี้ คงจะเจริญไปไกลแล้ว
‎9. ทั้งไทย และมาเลเซีย รวมถึงเวียดนาม มีปัญหาเดียวกันคือ
การรับเงินสกปรกใต้โต๊ะ การจะเป็นเจ้าของสัมปทานอะไรบางอย่าง
หรือธุรกิจอะไรที่จะผูกขาดบางอย่าง เช่น กลุ่มพลังงานหรือเหมืองแร่ธาตุสำคัญอะไรทั้งหลาย
ทำได้ง่ายกว่าประเทศอื่นๆ เพราะคน "ซื้อ" กันได้
‎10. เค้าแนะนำให้รัฐบาลหาทางเปล ี่ยนโครงส้รางของค่านิยมและความคิด
ของประชากรไทย ที่ไม่เอื้อต่อการพัฒนาประเ ทศ ไม่อย่างนั้น
เราก็จะอยู่แค่นี้ คนที่รวยจะรวย คนที่จนจะยิ่งจน และสุดท้าย
โครงสร้างของชนชั้นทางสังคม จะกลายเป็น M society กล่าวคือ
M ไหล่ซ้ายแทนคนรวย M ไหล่ขวาแทนคนจน แปลว่าคนชนขั้นกลางจะหายไป
หรือ เหลือน้อยลงไปมาก อนาคต จะกลายเป็นเหลือแค่คนจน และข้ามไปคนรวยเลย
11. เค้าบอกว่า คนไทยเป็นสังคมที่แปลกคือ เป็นสังคม "รู้ทั้งรู้"
คือทุกคนรู้ดีว่าอะไรคือปัญหา และทุกคนรู้ดีว่าจะแก้ยังไง และ
ทุกคนก็รู้ดีว่าจะไปทางไหน แต่ทั้งๆที่รู้ทั้งรู้ แต่ก็เหมือนไม่ทำอะไร

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น