...+

วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ยอมรับความจริงกันเถอะ

ยอมรับความจริงกันเถอะ
ทุกวันชีวิตบอกอะไรกับเราผ่านเหตุการณ์ในแต่ละวัน
แต่สิ่งที่เราเลือกฟังคือสิ่งที่เราอยากได้ยิน
ไม่ใช่ความจริงที่ชีวิตพยายามบอก

การไม่ยอมรับความจริงตามที่ชีวิตบอก
นับเป็นอันตรายทางใจ
เพราะยิ่งแก่ตัวลงเท่าไร เราก็ยิ่งเจอแต่เรื่องไม่น่ายอมรับ
นับแต่กายใจไปจนถึงอะไรรอบตัวเลยทีเดียว
คนที่ไม่เคยฝึกยอมรับอะไรๆไว้
ฝึกแต่สะสมการไม่ยอมรับไปมากๆ
ในที่สุดจะถึงจุดๆหนึ่งในชีวิตที่เราต้องเสียใจไปอีกแบบ
เสียใจที่ยอมรับความจริงอะไรไม่ได้สักอย่าง

ฝึกยอมรับความจริงไว้แต่เนิ่นๆเถิด
เพราะยิ่งเวลาผ่านไป
คุณจะยิ่งต้องยอมรับความจริงที่ไม่น่ายอมรับมากขึ้นทุกที

บางคนอาจฝึกยอมรับความจริงมาตลอด
แต่พอเจอความจริงที่เจ็บปวดเข้า
ใจก็เหมือนคนดิ้นพราดๆ อึดอัด ร้องไห้ สับสน และขาดสติ
อันนั้นเป็นธรรมดา
ถ้าฝึก "เผชิญหน้าความจริง" ในแบบฝืนข่ม
ก็ไม่ค่อยเวิร์กหรอกครับ
ต้องฝึกแบบ "รู้ตามจริงเป็นขั้นๆ" นั่นแหละถึงจะสำเร็จได้จริง

ตามหลักการเจริญสติของพระพุทธเจ้า
ท่านให้ยอมรับสิ่งที่ยอมรับได้ง่ายที่สุดก่อนครับ
และในโลกนี้ก็ไม่มีอะไรยอมรับง่ายเท่าลมหายใจเข้าออกอีกแล้ว
หายใจออกรู้ หายใจเข้ารู้ เมื่อรู้ได้เรื่อยๆ
ก็แปลว่าเก่งในการยอมรับความจริงอันเป็นปัจจุบันขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน

จากนั้นขยายขอบเขตไปยอมรับความจริงว่ากำลังอึดอัดหรือสบาย
มันเป็นเรื่องง่ายถ้าเราเห็นถึงภาวะทางกาย
ที่มีลมหายใจเลี้ยงอยู่ ว่าสบายหรืออึดอัดในปัจจุบัน
ไม่ต้องมีกลไกปกป้องตัวเอง
ไม่ต้องแกล้งยอมรับหรือปฏิเสธอย่างภาวะทางใจที่ซับซ้อนกว่านั้น

จากนั้นขยายขอบเขตไปยอมรับความจริงว่าจิตกำลังสงบหรือฟุ้งซ่าน
อันนี้จะเริ่มยากขึ้นนิดหนึ่ง เพราะคนเรามักปฏิเสธความฟุ้งซ่าน
ไม่อยากฟุ้งซ่าน แต่อยากควบคุมความคิดตัวเองให้ได้

สำหรับคนที่ฝึกยอมรับความทุกข์ทางกายมาก่อน
ก็จะได้เปรียบ สามารถยอมรับความทุกข์ทางใจ
อันเกิดแต่ความฟุ้งซ่านได้ไม่ยากนัก

พอเริ่มยอมรับความจริงอันเป็นภายในได้
ความจริงภายนอกที่มากระทบให้ว้าวุ่นก็จะเริ่มถูกลดค่าลง
เมื่อเราให้ความสำคัญกับภายนอกน้อยลง
ก็จะยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นภายนอกได้ราวกับพลิกฝ่ามือ

ถ้าระหว่างฝึกยอมรับความจริง
ใจเกิดความหดหู่ไปด้วย
ก็ต้องแปรอาการหดหู่เป็นความพยายามทำอะไรให้ดีขึ้นครับ
วิธีคือจับความรู้สึกหดหู่ให้ถูกตัว
มันซึม มันจ๋อย มันหด มันตัวเล็กลง มันอยากร้องไห้
พอจับความรู้สึกชนิดนั้นได้ก็จะเห็นว่า
ทั้งกายทั้งใจมันอยากนอนคุดคู้อยู่เฉยๆ
รู้สึกไม่ดี รู้สึกไม่ปกติ เหมือนไม่อยากรับรู้อะไรทั้งสิ้น
จากนั้นก็ให้เห็นเหมือนเหรียญด้านกลับ
แท้จริงแล้วความรู้สึกชนิดนั้น รอการพลิกกลับมาเป็น
"ความกระตือรือร้นในการเริ่มทำสิ่งที่น่ายอมรับกว่า"

เพื่อจะรู้จริงว่าความหดหู่ก็เป็นพลังความกระตือรือร้นได้
เราต้อง "รู้สึกถึงทั้งหมดของความหดหู่" ให้ได้เท่านั้นเอง
แล้วจะรู้ว่าความกระตือรือร้นมันแค่คว่ำอยู่
เราจะเห็นตัวมันได้ก็ต้องหงายมันขึ้นมา
ฟังยาก แต่จะเข้าใจง่ายถ้าลองสังเกตจริงจังหลายๆหนนะครับ

ทั้งนี้ทั้งนั้น ขอให้ระลึกด้วยว่าการยอมรับความจริง
แตกต่างจากการนิ่งดูดาย
เราจะได้เจอความจริงที่ดีที่สุดหลังจากทำดีที่สุด
พยายามดีที่สุดได้แค่ไหนค่อยยอมรับแค่นั้น
อย่าเพิ่งด่วนยอมรับสภาพทั้งที่ยังไม่พยายามทำอะไรให้ดีขึ้นนะครับ

ดังตฤณ
สิงหาคม ๕๔

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น