...+

วันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

สิ่งดี ๆ ที่ผมได้จากน้ำท่วม

สิ่งดี ๆ ที่ผมได้จากน้ำท่วม
« เมื่อ ตุลาคม 25, 2011, 03:46:47 PM »
http://www.thailandsusu.com/webboard/index.php?PHPSESSID=5939bd36e7fc1e5af1e988b54501355b&topic=203396.msg4222176#msg4222176

ผมพักอยู่ประตูน้ำพระอินทร์ อยุธยา แต่ที่ทำงานอยู่ลาดพร้าว 80 ผมต้องเดินทางไปกลับทุกวัน (บริษัทฯมีรถรับ-ส่งแค่สะพานใหม่)
ตอนเช้าผมจะตื่นตีสี่ครึ่ง ทำธุระส่วนตัว แล้วออกมารอรถประมาณ ตีห้ากว่า ๆ โดยผมจะนั่งรถเมล์มาลงที่รังสิต แล้วต่อรถตู้ มาลาดพร้าว 80
โดยภาพที่ผมเห็นจนชินตาก็คือ ทุกคนที่รอรถ ตรงหน้าเมเจอร์รังสิต ต่างรีบวิ่งลงไปบนพื้นถนนโดยไม่นึกกลัวว่า รถจะชน หรือกรีดขวางการจราจร เมื่อเห็นรถตู้แล่นเข้ามาเทียบท่า ต่างแย่งชิง ทั้งเบียดเสียด บางครั้งก็มีถ้อยคำด่าทอเสีย ๆหาย ๆ ตามมา ไม่ว่าหญิงหรือชาย
คนขับบางคน ก็พูดจาไม่สุภาพ ขับรถเหมือนแม่ป่วยต้องนำส่งโรงพยาบาลก็ไม่ปาน ปกติรถตู้สามารถนั่งได้ 14-15 คน แต่นี่มีการเสริมเบาะนั่งให้ได้ 20 คน แออัดยัดเยียดเบียดเสียดจนแทบจะเป็นผัวเมียกันทั้งคันรถ พอรถออกตัว หน่วยคอลเซ็นเตอร์ ก็เริ่มทำงานทันที คือ ควักมือถือออกมาแล้วคุยอย่างออกรสออกชาดประหนึ่งว่า กรูนั่งมาในรถคนเดียว ไม่สนใจคนรอบข้าง คนขับก็ไม่ยอมน้อยหน้า โทรด่ากับเมียด้วยถ้อยคำที่ไม่รู้ไปขุดมาจากใหน บางครั้งมีแถมแจกกล้วยให้รถคันที่วิ่งแซงไปด้วย นี่เป็นชีวิตประจำวันตลอด 3 ปีที่ผ่านมา

แต่.........เมื่อวานนี้เอง ผมรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง แน่นอนครับ " น้ำท่วม "
หลายคนบอกน้ำท่วมมันดีตรงใหน ใช่ครับน้ำท่วมไม่ใช่สิ่งที่ผู้คนปรารถนา แต่น้ำท่วม ทำให้ผมได้เห็นชีวิตในอีกแง่มุมหนึ่งของผู้คนในเมืองฟ้าผ่องอำไพแห่งนี้ วันนี้ ผมเลิกงาน 5 โมงเย็นจึงนั่งรถบริษัท ฯ มาลงสะพานใหม่ แล้วนั่งรถเมล์สาย 39 ต่อ เพราะน้ำท่วมรถตู้วิ่งไม่ได้ รถเมล์วิ่งลุยน้ำมาถึง กม.25 ก็ต้องหยุดเนื่องจากว่า น้ำลึกไปต่อไม่ไหว กระเป๋าจึงแจ้งให้ผู้โดยสารลงจากรถ เพื่อให้ไปต่อรถทหาร(ซึ่งไม่รู้ว่าจะมา ตอนใหน) ผมเดินลุยน้ำมารอบริเวณเกาะกลางถนน ซึ่งมีผู้คนยืนรออยู่ประมาณ 30 คน ผู้คนเหล่านั้นต่างก็มีสีหน้าที่กังวล บ้างก็หันหน้าพูดคุยสอบถามว่าจะไปไหน จะมีรถหรือเปล่า ไอ้หนุ่มนักศึกษาถามป้าว่า จะไปไหน มาให้ผมช่วยถือของ พี่ผู้ชายมีหนวดช่วยอุ้มเด็ก 3 ขวบที่มากับแม่ที่หิ้วของพะรุงพะรัง แฟนสาวของไอ้หนุ่มนักศึกษาช่วยคุณแม่ของเด็กหิ้วกระเป๋า อีกมือใช้กระดาษพัดไล่ยุงให้เด็กน้อย ลุงแก่ ๆ สองคนที่นั่งบนราวเกาะกลางถนนเขยิบพร้อมเอ่ยปากเชิญให้ชายแก่อีกคน ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ มานั่งด้วยกัน


จากนั้นก็จะมีรถผ่านมาเรื่อย ๆ และสิ่งที่ผมเห็นรถเกือบทุกคันจะเปิดกระจก แล้วโผล่หน้าออกมาถามว่าจะไปใหน ถ้าผ่านจุดที่ใครจะไป คนนั้นก็จะขึ้นไป คนที่อยู่ใกล้ ๆ ไปกันเกือบหมดแล้ว จะเหลือพวกที่อยู่แถว ประทานพร บางขัน นวนคร และผม ประตูน้ำพระอินทร์ รวมแล้วน่าจะประมาณ 17 คน เรารออยู่ประมาณสองชั่วโมงก็มีรถโฟรวีลคันหนึ่งผ่านมา คนขับหน้าตายังวัยรุ่นเปิดกระจกออกมาถามพวกเราว่ามีไครไปนวนครไม๊ครับ เท่านั้นแหละทุกคนต่างยิ้มแก้มแทบปริ พวกเรารีบทะยอยขึ้นรถ บ้างก็ช่วยดึงกันขึ้น บ้างก็ช่วยถือของโดยไม่ต้องเอ่ยปากบอก แต่สิ่งที่พวกเราลืมคิดนะตอนนั้นคือ จำนวนคนกับรถมันไม่เหมาะสมกัน เนื่องจากโฟร์วีลกะบะมันเล็ก เมื่อพวกเราขึ้นแล้วมันจุได้แค่ 12 คน ที่เหลืออีก 5 คนคือ ไอ้หนุ่มนักศึกษากับแฟน ลุงแก่ ๆ 2 คน และผม พวกเรามองหน้ากัน พี่ผู้ชายมีหนวดที่เคยอุ้มเด็กเอ่ยปากขึ้นว่า พวกคุณไปกันก่อน เดี๋ยวผมรอคันหลังแล้วก็กระโดดลงรถเพื่อให้แฟนสาวของไอ้หนุ่มนักศึกษาขึ้นไป แฟนไอ้หนุ่มนักศึกษาบอกไม่เป็นไรให้ลุงไปก่อนดีกว่าเดี๋ยวหนูกับแฟนรอไปคันหลัง และอีกหลายคนที่แสดงเจตจำนงค์ที่จะเสียสละ แต่แล้วสิ่งที่ทำให้ผมต้องกลั้นน้ำตาไม่อยู่ก็คือ ป้าที่นั่งอยู่ลุกขึ้นแล้วพูดว่า "ถ้าจะไปก็ต้องไปด้วยกัน" ให้พวกเราทุกคนยืนขึ้นก็จะสามารถขึ้นมาได้อีก จริงอย่างที่แกพูด พวกเราที่เหลือขึ้นมาบนรถได้
จากนั้น พวกเราก็ยืนกอดเอวกันไว้ให้เป็นวงกลมอย่างแน่น เพื่อจะได้ไม่ล้ม เวลารถวิ่ง


จากนั้นรถก็เริ่มวิ่งลุยน้ำมาเรื่อย ๆ อย่างช้า ๆ ในขณะนั้นสิ่งที่ผมสังเกตุเห็น คือ รอยยิ้มจากมุมปากของทุกคน บางคนก็มีมุกให้พวกเราได้หัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ดูแล้วแทบไม่น่าเชื่อเลยว่า กลุ่มคนเหล่านี้ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย และเมื่อถึงจุดที่มีคนลงรถ พวกเราก็จะร่ำลาและอวยพรให้กันและกันเหมือนประหนึ่งกับญาติตัวเองไม่มีผิด


จนในที่สุด รถก็วิ่งมาถึงนวนคร ซึ่งเป็นจุดสุดท้าย พวกเราที่เหลือลงจากรถแล้ว ก็เดินไปไหว้ขอบคุณเจ้าของรถ แล้วผมก็โบกมือลาไอ้หนุ่มนักศึกษากับแฟนเพื่อเดินต่อจากนวนครไปประตูน้ำพระอินทร์ ผมเดินไปยิ้มไป ร้องเพลงบ้าง ผิวปากบ้าง อย่างอารมณ์ดีแบบที่ไม่เคยรู้สึกอย่างนี้มาก่อน
เหตุการณ์ในวันนี้ ทำให้ผมรู้ว่า "แสงสว่างนั้น ซ่อนอยู่หลังความมืดมิดเสมอ"


นายหงษ์แก่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น