...+

วันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

สัมภเวสี

ในระหว่างที่รัฐบาลยังมาประชุมที่ทำเนียบรัฐบาล ไม่ว่าหัวข้อที่ประชุมจะมีเรื่องอะไรมากมาย แต่ผู้เขียนเชื่อว่าหัวข้อใดหัวข้อหนึ่งจะต้องมีความเกี่ยวข้องกับน้ำท่วมหรือภัยพิบัติที่พร้อมจะทำให้หลายๆคนใจวิบัติตามไปด้วย เพราะความวิตกกังวลในสิ่งที่ธรรมชาติได้แสดงพลังภายหลังที่ถูกน้ำมือมนุษย์รังแก
พี่น้องคนไทยจำนวนหนึ่งจำเป็นต้องมอบตัวเดินขึ้นรถของทางราชการเพื่อไปหาแหล่งพักพิงชั่วคราว เื่พื่อจะได้ที่พักและอาหารตลอดจนสาธารณูปโภคต่างๆซึ่งนับวันก็ยังเพิ่มขึ้นตามจำนวนของมวลน้ำที่เข้ามายังพื้นที่ๆมีผู้คนอยู่อาศัย
ทำเลทองในหลายพื้นที่ กลายเป็นบึงหรือพื้นที่น้ำล้อมรอบกันจนเริ่มจะชินตา รวมทั้งรถราที่เคยเต็มแน่นถนนเผาน้ำมันอย่างไม่กลัวเปลืองหายไปมาก รวมทั้งรถบริการต่างๆ เพราะพื้นที่การวิ่งมันลดลงมากและหดลงมาทุกทีๆจนน่าใจหาย
ยังมีวิกฤตและเป็นโอกาสในหลายพื้นที่ ที่ชาวบ้านไปนั่งตกปลา จะด้วยเพราะความสนุกหรือหิวก็ไม่รู้ แต่ดูเหมือนพวกเขาจะทำกิจกรรมกันอย่างเพลิดเพลิน
แต่คนจำนวนมากก็ยังไม่วายที่จะเฝ้ามองพื้นที่ๆน้ำเดินทางรุกล้ำพื้นที่การใช้ชีวิตของคนในเมืองหลวงของประเทศสารขันธ์ ( ใช้ตามผู้เขียนตามหาแก่นธรรมท่านอื่นๆ ) เพิ่มขึ้นเรื่อยๆอย่างไม่เกรงใจผู้คนเลย ราวกับว่าน้ำโกรธแค้นพวกเราที่ถูกภัยพิบัติมาแต่ชาติก่อนหลายๆชาติ แต่ในความเป็นจริงแล้วน้ำไม่รู้เรื่องอะไรเลย น้ำทำหน้าที่ของตนเองที่พยายามที่จะไหลจากที่สูงลงไปสู่ที่ต่ำตามธรรมชาติของน้ำ
สิ่งที่หน้าเสียใจแทนคนสารขันธ์จำนวนมากและอุตสาหกรรมในนิคมอุตสาหกรรมที่ต้องเผชิญภาวะความเสี่ยงที่ถูกมือของผู้คนร่วมชาติที่ไปทำลายคันกั้นน้ำไม่ว่าจะด้วยเหตุผลประการใดก็ตาม
แต่ผลเสียหายที่อาจจะเกิด มันรุนแรงมากกว่าที่พวกเขาเหล่านั้นจะชดใช้ได้ ทั้งชีวิตและทรัพย์สิน เหมือนเรามีหนอนบ่อนไส้ให้ข้าศึกรุกรานเมืองหลวงที่มีผู้คนอาศัยมากกว่าสิบล้านคน แม้การแก้ไขจะทำไปได้บ้าง
มีคำถามหนึ่งว่าหากธุรกิจที่เสียหายเป็นหมื่นเป็นแสนล้านบาทได้รับการฟื้นฟู และผู้บริหารของธุรกิจเหล่านั้นรู้ว่าเขาหรือเธอเหล่านั้นที่เป็นผู้ทำลายคันกั้นน้ำหรือเป็นลูกหลานของผู้ทำลายคันกั้นน้ำที่ทำให้ธุรกิจของเขาเสียหาย
ธุรกิจยังจะรับผู้คนเหล่านั้นไปร่วมทำงานกันในธุรกิจหรือไม่ รวมกระทั่งผู้คนที่ทำลายคันกั้นน้ำริมคลองประปาซึ่งจะทำให้ผู้คนเสี่ยงที่จะไม่มีน้ำดื่มและเผชิญความเสี่ยงภัยในชีวิตมากขึ้นจนยากจะบรรยาย
ในขณะที่เราติดตามข่าวสารด้วนเส้นโลหิตที่ตึงขมับ แต่ก็ยังมีชายคนหนึ่งที่นั่งๆ
นอนๆแถวบริเวณริมคลองหน้าทำเนียบรัฐบาลที่มีขวดน้ำหนึ่งใบ เก้าอี้พับหนึ่งตัว หม้อหุงข้าวอลูมิเนียม เตาถ่าน และถุงใส่ขยะที่เขาเก็บสิ่งของไว้ขาย
เมื่อเสร็จหุงหาอาหารและกินในยามเช้า ก็มานั่งอ่านหนังสือพิมพ์ภายใต้ร่มคันใหญ่ราวกับนั่งอยู่ในบ้านหลังใหญ่ในหมู่บ้านจัดสรรหรูกลางกรุง ทำเหมือนกับว่าไม่มีใครเห็นเขาในโลกส่วนตัวของเขาตรงนั้น นานๆครั้งจะเห็นเขาขยับมือติดไฟสูบบุหรี่ที่เก็บก้นบุหรี่มามวนใหม่ด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์
สิ่งหนึ่งที่สัมผัสได้ก็คือทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำเป็นปกติวิสัยแบบธรรมดาหรือเป็นกิจ วัตรประจำวันแบบที่ทำอยู่ทุกวันในบ้านของผู้คนในเมือง
แต่เขายังมีต้นมะขามใหญ่หน้าทำเนียบฯเป็นร่มเงา ความรู้สึกหนึ่งที่สัมผัสได้คือความรู้สึกที่ไม่ทุกข์ไม่ร้อนอะไรเลยในชีวิต ไม่มีอะไรที่ต้องห่วงหรือกังวลอะไรในทรัพย์ให้หงุดหงิดใจ แม้ในความเป็นจริงอาจจะไม่ใช่เช่นนั้นก็ได้
ในวันนี้มีกระแสข่าวเตือนมาแทบทั้งวันมายังผู้เขียน ว่าอีกสี่สิบแปดชั่วโมงน้ำจะถึง ตัวผู้เขียนแล้วนะ ไม่ว่าจะด้านตะวันตกหรือตะวันออกก็ตาม แม้จะนั่งฟังข่าวสา่รที่ไหลระดมกรอกหูเต็มหัวไปหมด เหมือนกับว่าเราอยู่ในภาวะสงคราม ขาดอาหาร ขาดน้ำ ขาดส้วม ขาดยา ขาดสิ่งจำเป็นที่จะอยู่ในชีวิตหรือปัจจัยสี่นั่นแหละ ไม่เหลือปัจจัยอะไรให้ยึด เพราะสถานการณ์ตอนนี้ที่บีบให้เหลืออยู่ปัจจัยเดียวคือเสื้อผ้าหรือเครื่องนุ่งห่มเท่านั้น
บางคนก็บ้านแตกสาแหรกขาด เพราะสมาชิกในบ้านในหายไปอย่างไม่มีวันหวนกลับคืนมา จำนวนผู้เสียชีวิตมากขึ้นๆทุกวัน แม้อัตราจะเพิ่มขึ้นในจำนวนที่ไม่มากนักก็ตาม แต่ผู้สูญเสียนั้นใหญ่หลวง
"อัตาหิ อัตตาโน นาโถ ตนเท่านั้นเป็นที่พึ่งแห่งตน" พุทธสุภาษิตที่เราได้ยินได้ฟังมานาน ถึงเวลาที่เราต้องงัดออกมาใช้ แต่สิ่งที่สำคัญที่ผู้คนพูดกันที่จะเป็นแรงหนุนให้ใช้พุทธสภาษิต นั้นได้ดีก็คือสติ
สติที่รวมสัมปชัญญะที่แปลว่าปัญญาควบคู่กัน ใครที่ทำหายใครที่ยังมีสติอ่อนแอ นาทีนี้จำเป็นต้องฝึกให้กล้าแข็งโดยเร็ว แม้จะเป็นสติทางโลก หากรู้ตัวทั่วพร้อมแล้ว เชื่อเถอะสถานการณ์ทุกอย่างจะดีขึ้นด้วยใจของเราเอง
เรายังมีผู้คนที่ยิ้มให้เรา เดินลุยน้ำไปกับเรา ชวนเราขึ้นโดยสารรถที่วิ่งอยู่ หากเราไม่หอบหิ้วอะไรติดตัวตามไปมากและไม่ห่วงในทรัพย์ที่ติดในบ้านที่หลายคนมักจะพูดว่า"ไม่ตายก็หาใหม่ได้ แต่หาได้ยาก...มาก"
ละทิ้งความคิดต่างๆที่ชวนสับสนในขณะนี้เถอะครับ ทุกอย่างแม้จะอำนวยความสะดวกสบายให้เรามาก สักวันมันก็ต้องเสียไป ชำรุดใช้งานไม่ได้
แต่...วันนี้ มันอาจจะชำรุดเร็วไปหน่อย เร็วจนเรานึกไม่ถึง แต่เราจะทำอะไรได้ล่ะนอกจากจะยอมรับความจริง ความจริงที่มีทั้งผิดหวังและสมหวัง ความจริงที่มีทั้งทุกข์และสุข
ความจริงที่หมุนเวียนสลับไปสลับมาระหว่างทุกข์และสุข ไม่มีแต่เพียงด้านเดียวหรือด้านใดด้านหนึ่ง ความจริงที่เหมือนฝ่ามือที่มีทั้งหน้ามือและหลังมือ ถ้าเราเข้าใจมันจริงว่าความจริงนั้นคืออะไร เราก็จะสามารถพลิกความทุกข์มาเป็นความสุข ราวกับพลิกฝ่ามือ เมื่อเราเห็นความจริงแท้ว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ
เมื่อถึงตรงนี้เราจะทุกข์เบาบางลง จะไม่หนักอก เราจะไม่อัดอั้นใจ เราจะหายใจคล่องปอดสองข้าง เราจะถอนลมหายใจได้ดีอย่างที่ไม่เคยเป็น เราจะหายใจได้ยาวขึ้น ลมหายใจเราจะเบาขึ้น ใจของเราจะสงบขึ้น ไม่งอแงโยเยเหมือนเด็กทารกยามง่วงนอน เราจะไม่ซึมเซา เราจะไม่หงอยเหงา เราจะไม่สงสัย เราจะไม่โกรธอาฆาตพยาบาท เราจะไม่สนใจที่จะเสพกามผ่านตาหูจมูกลิ้นกายใจ
เราจะเริ่มมองตัวเราเองจากภายในมากกว่าภายนอก กระจกเงาแทบไม่สำคัญไปกว่าใจที่มีผู้รู้ที่สำรวจกายและใจนี้ เมื่อภาวะสงบเกิดขึ้น ความสะอาดสว่างก็จะตามมา ภาระที่แบกมานานจะถูกปลดออก ให้หลังหรือไหล่เบาลงวางลงเพื่อที่จะเริ่มต้นใหม่ในชีวิตโดยมีผู้รู้ที่จะตื่นและเบิกบานทางใจ ไม่จำเป็นต้องเป็นสัตว์ที่มุ่งแต่จะแสวงหาที่เกิดที่เรียกว่าสัมภเวสี เพราะจิตเรามันตื่นแล้ว
ตื่นจากความหลับไหล ตื่นจากความทุกข์ ตื่นจากความสุข ตื่นจากความกลัว ตื่นจากอารมณ์ทั้งหลายที่ทำให้เราตกลงไปในอกุศลมูลหรือกิเลสสามกองที่เป็นรากเหง้าแ่ห่งความทุกข์หรือความชั่วทั้งหลาย เมื่อจิตเราอยู่กับปัจจุบัน หากเราปล่อยจิตของเราล่องลอย ในสภาวะนี้เราก็ไม่ต่างไปจากสัมภเวสีหรือผู้ที่มัวแสวงหาที่เกิดแห่งทุกข์ทั้งหลาย เอวัง

ธรรมะสวัสดี

แทนสะมะชัยโย

ในนาทีเราตื่นจากความมืดความกลัวด้วยกัน แล้วเรามาฝ่าภัยพิบัติด้วยกันนะครับ

สะมชัยโ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น