...+

วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

กันลืม

ในโลกปัจจุบันที่มีแต่ความฉลาดล้ำนำหน้า ทุกอย่างดูรวดเร็วด้วยปลายนิ้วมือไปหมด ไม่ว่าจะเป็นโลกทางอินเทอร์เน็ต การสื่อสารผ่านมือถือ อีเมล์
เรียกว่าย่อโลกได้ทีเดียว แม้กระทั่งการเรียนการการสอน ก็ไม่สามารถหยุดยั้งความรวดเร็วบนปลายนิ้วมือได้ และสิ่งที่ตามมาก็คือความร้อนทั้งกายและใจ
หากสังเกตุให้ดีคนรุ่นใหม่จะพูดเร็วคิดเร็วทำเร็วมาก จนบางครั้งผู้เขียนแทบจะฟังและคิดตามไม่ทัน
เหมือนกับเพลงสมัยก่อน คนรุ่นนั้นจะฟังเนิบนาบสำนวนคมชัด แต่รุ่นหลังๆนี้ต้องมีเสียงแอบเสียงโย้วๆๆด้วย ก็ต้องปรับตัวกันไป เพราะทุกอย่างจะต้องเปลี่ยนแปลง เป็นไปตามหลักอนิจจังหรือความไม่เที่ยง ไม่งั้นทั้งท่านผู้อ่านและผู้เขียนยังคงนอนในเปลดูดนมให้แม่ไกวและเห่กล่อมอยู่นั่นแหละ
เจ้าคำว่าอนิจจังหรือแปลว่าสิ่งไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลง ทั้งๆที่รู้กันมาช้านานแสนนานแล้ว แต่ผู้คนก็ยังกลัวกับคำๆนี้มาก ตัวอย่างอนิจจังก็ แก่ เจ็บ ตายและก็เกิด
บางคนกลัวแก่จนเที่ยววิ่งไปหาหมอศัลยกรรมพลาสติคดึงหน้าจนหมอร่ำรวยไปตามๆกัน และมีบ้างเหมือนกันที่ไปทัวร์ทำหน้าถึงเกาหลีใต้โน่น
แต่ที่หมอศัลยกรรมกลัวหลังผ่าตัดดึงหน้าให้คนไข้ที่คนไม่ค่อยรู้ ก็คือหมอดึงให้ไปแล้วกลัวว่าปากของคนไข้จะเบี้ยวไหม เพื่อนผู้เขียนซึ่งเป็นหมอศัลยกรรม เคยรำพึงให้ฟัง
ความกลัวอนิจจังที่เกียวคำว่าแก่ ยังทำให้ครีมหน้าเด้งที่โฆษณาว่าทาแล้วดึ๋งดั๋งขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แม้กระทั่งเคยมีอดีตรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กระทรวงที่ตัวเองดูแลอยู่ผลิตขายซะงั้น ถ้ายังจำกันได้
ที่ทุกคนกลัวอนิจจัง เพราะไม่รู้จักความเป็นจริง แล้วก็มักจะพูดว่าตัวเองแก่แล้ว แต่อย่าไปบอกเขาหรือเธอว่าแก่เชียวนะ ความหมองใจจะมาเยือนโดยฉับพลัน ทั้งผู้พูดและผู้ฟัง
บางคนก็ยอมรับคำว่าแก่แสลงหูนะ และก็พูดว่าแก่เป็นคำหยาบคาย อย่าพูดอีกเลย อย่างโลกๆเขาเรียกว่าปากอย่างใจอย่าง
ไม่ต้องไปหาหรอกครับคนที่ปากตรงกับใจ นอกจากศรีธนญชัยที่มักหาทางออกแบบเฉไฉ แต่คนกลับหาว่าฉลาดนักหนา
หลายๆท่านอาจสงสัยว่าทำไมคนถึงกลัวแก่ กลัวเจ็บ กลัวตายกันนัก เพราะคนเราล้วนแต่จะต้องเกิดแก่เจ็บตาย ไอ้ที่ไม่ค่อยกลัวกันนักก็คำว่าเกิดนี่แหละ เพราะมันมีความอร่อยในการเกิดเป็นของแถม พอแก่และเจ็บหรือตาย ผลัดคิวให้คนอื่นไปเสียอย่างงั้น ถ้าผลัดได้
บ้างก็จะพูดว่าอย่าให้ตายแบบทรมานเลย ขอตายแบบปุ๊บปั๊บด้วยเถอะ มันขอกันมาจนเคยตัวก็เลยขอไอ้โน่นไอ้นี่อยู่ร่ำไป
ขอ ขอ ...และก็ขอ จนลืมไปว่าขออะไรบ้าง ไม่เชื่อไปดูตามศาลเจ้าหรือวัดจีนตอนตรุษจีนสิ มีใครไม่ขอบ้าง
พุทธศาสนาไม่ใช่ศาสนาแห่งการขอเลย แต่เป็นศาสนาที่สอนให้ทุกคนพึ่งคนที่สมควรจะพึ่งได้ที่สุด นั่นก็คือการพึ่งตนเอง
ไม่ว่าจะเป็นใครมาจากไหน ยากดีมีจนอย่างไร ก็ต้องพึ่งตนเอง เพราะทุกคนล้วนเกิดมาแล้วมีความทุกข์กันทั้งนั้น
จนก็ทุกข์แบบจน รวยก็ทุกข์แบบรวย เด็กก็ทุกข์แบบเด็ก แก่ก็ทุกข์แบบแก่
การพึ่งตนเอง ดูเหมือนจะฟังแล้วดูง่ายนะ แต่จริงๆแล้วมันยากไม่ใช่เล่น เพราะคนเราเกิดมาต่างต้องอาศัยกันเกิด อาศัยกันอยู่ มาตลอด ไอ้ที่จะไปบอกให้พึ่งตนเองมันไม่รับหรอก มันเป็นอย่างนี้กันมานานแสนนานแล้ว
นานเสียจนคนลืม ลืมที่จะพึ่งตนเอง เพราะพึ่งคนอื่นมันสบายกว่า อาศัยมีปัญญาทางโลกดีกว่า ก็พึ่งพาคนอื่นได้มากกว่าแล้วก็ค่อยๆลืมการพึ่งตนเองไปเรื่อยๆ ซึ่งธรรมชาติให้สัญชาตญาณในการพึ่งพาตนเองกันมามากแล้ว แต่ก็ไม่ใช้สัญชาตญาณนี้กันจนลืม
จะเห็นได้จากแอดรีนาลีนที่เป็นฮอร์โมนที่หลั่งออกจากต่อมหมวกไตในคนเวลาตื่นเต้น หรือจะหนีอะไรก็ตาม โอ่งทั้งใบยังเห็นมีคนแบกหนีไฟได้เลย ทั้งๆที่เวลาปกติไม่สามารถทำเช่นนั้ได้ นี่แหละธรรมชาติอันยิ่งใหญ่
เหมือนธรรมญาณในตัวเรา ที่รอวันถูกปลุกขึ้นมาจากการฝึกฝนใจของเราเองให้กลับไปสู่สภาวะปกติ รู้รอบตามความเป็นจริง
รู้ความจริงในอริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค หรือเรื่องแห่งทุกข์ทั้งปวง รู้ความจริงในไตร ลักษณ์ หรืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ความไม่เที่ยงเป็นทุกข์ ทนได้ยาก ทุกอย่างไม่มีตัวตนให้ยึดถือทั้งสิ้น
ทุกวันนี้คนเรามัวแต่ยุ่งกับงานที่ทำไม่รู้จักเสร็จ รีบ เร่ง ร้อน ปัญหามีร้อยแปดพันเก้า มัวแต่นั่งแก้ปัญหาไปวันๆ
เดี๋ยวก็เช้าแล้ว เดี๋ยวก็เย็นแล้ว แต่ผู้คนมักไม่เคยมองหาต้นตอของปัญหาหรืองานที่ไม่รู้จักเสร็จสักที มัวแต่เป็นมดงานแสวงหาวัตถุอยู่เรื่อยไป
และมักจะพูดคำว่าว่างๆ...แล้วเจอกัน กินข้าวกัน คุยกัน แต่ไม่เห็นจะมีวันว่างสักที
แล้วไอ้ที่ว่างๆก็ไม่ชอบ กลับไปชอบแต่วุ่นๆ หาอะไรตื่นเต้นใจ แปลกตาดู หูฟัง แต่พอถามถึงนั่งสวดมนต์ นั่งสมาธิ ก็มามุกเดิมอีกนั่นแหละ ว่างๆ...
ว่างๆ...เรามาวางกันเถอะครับ วางโทรศัพท์มือถือลง อ่านแก่นธรรมเสร็จแล้ววางเน็ทปิดเครื่อง สลัดใจให้หายมึนงงจากอารมณ์ทั้งปวง จะเอากริยาอาการใดเป็นองค์กรรมฐานก็ได้
มาทำใจให้สงบ ให้มีกำลังกัน ร่างกายจะมีกล้ามเนื้อก็ต้องออกกำลัง ใจจะมีกำลังก็ต้องทำให้มันสงบ ให้มีอารมณ์หนึ่งอารมณ์เดียว ทิ้งทุกอย่างที่รีบ เร่ง ร้อน เกิด แก่ เจ็บ ตาย รวย จน อดีต อนาคต เหลืออยู่แต่ปัจจุบันขณะที่อาการกิริยาหรือลมหายใจเข้าออก
ไม่ว่าจะสำนักไหนก็ตาม เลือกเอาสักอย่างหรือสักหลักหนึ่ง หรือจะนั่งสวดมนต์ก่อน แล้วเดินจงกรม ก็เป็นหลักของครูบาอาจารย์อยู่แล้ว เพื่อให้ใจสงบรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ไม่รีบไม่ร้อน
ไม่วันใดก็วันหนึ่ง ฝนทั่งให้เป็นเข็ม ยังมีสำนวนนี้ ไปให้สุดขุดให้ถึง ก็ยังมีสำนวนนี้ เพียงแต่อยู่ในปัจจุบันขณะให้มันว่างจริง
ไม่ใช่ว่างๆ...ที่สักแต่ว่าพูดไปวันๆ แล้วคุณจะไม่นึกเสียใจเลยว่าเกิดมาทำไม การพึ่งพาตนเองเท่านั้นที่จะไปถึงที่สุดแห่งทุกข์ เอวัง
ธรรมะสวัสดี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น