...+

วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ทำชีวิตให้ช้าลง พระไพศาล วิสาโล

สารโกมล กรกฎาคม ๒๕๕๔
ทำชีวิตให้ช้าลง

พระไพศาล วิสาโล

แบ่งปันบน facebook Share
พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เราพิจารณาธรรมชาติเสมือนครูของเรา เช่น ให้ไปอย่างเบาเหมือนกับนกที่มีเพียงแค่ปีก ๒ ข้างก็สามารถไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระ อันนี้ท่านสอนพระให้มีสัมภาระน้อย เราลองสังเกตธรรมชาติ เขาจะสอนเราหลายอย่าง เช่น ต้นไม้ เวลาเดินกลางแดดเราเคยนึกสงสัยบ้างหรือเปล่า เราเดินแค่ ๒ ชั่วโมงก็เหนื่อยแล้ว แต่ต้นไม้นี่เขียวตลอดเลย ขนาดอยู่กลางแดด รับแดดเข้าไปเต็มๆ ก็ยังเขียวได้ มีต้นไม้บางต้นบอบบางแต่เขียว แถมผลิดอกสวยงาม

อาตมาเดินธรรมยาตราทุกปี ปีหนึ่งผ่านเส้นทางที่เป็นทางดินฝุ่นจับหนามาก ตอนนั้นเป็นตอนกลางวัน สองข้างทางมีแต่หญ้าเหลืองแห้ง พวกเราเดินไปก็รู้สึกห่อเหี่ยวไปด้วย แต่พอมาถึงจุดหนึ่งระหว่างห้วยลาดผักหนามกับซับสมบูรณ์ มีต้นประทัดจีนขึ้นอยู่ริมทาง ต้นเล็กๆ ดอกแดงสด แถมหันดอกให้กับพระอาทิตย์ พวกเราหลายคนพอเห็นแล้วรู้สึกเลยว่าดอกไม้ในใจเราเบ่งบานเลย เพราะเกิดกำลังใจว่าขนาดดอกเล็กๆ เขายังสู้แดดได้ และไม่ได้สู้แดดแบบฝืนทน แต่สู้แดดแบบร่าเริงแจ่มใส เราเสียอีกกลับห่อเหี่ยวเมื่อเจอแดด ทั้ง ๆ ที่เรียกตัวเองว่านักปฏิบัติธรรม พอเจอดอกประทัดจีนบาน ดอกไม้ในใจก็บาน หน้าก็บานด้วย เลยยิ้มกันใหญ่

แต่มีบางคนมองไม่เห็นดอกประทัดจีน เพราะมัวแต่กลุ้มใจ เอาแต่บ่นว่า ร้อนเหลือเกิน เมื่อไหร่จะถึง ถ้าคิดแบบนี้ก็ไม่เห็นหรอกแม้สองข้างทางจะสวยงามเพียงใดเพราะใจไม่ว่างแล้ว ใจอัดแน่นด้วยความทุกข์ เราจะเห็นภาพสวยงามชุ่มชื่นใจอย่างนี้ได้ก็ต่อเมื่อเราเปิดใจ แล้วเราก็จะเห็นธรรมชาติ เห็นความจริงที่เขาสอนและแสดงให้เราเห็น

นอกจากต้นไม้ทนต่อแดด สามารถเขียวสะพรั่งได้ตลอดวันแล้ว ต้นไม้ยังทำได้ยิ่งกว่านั้นอีก คือเปลี่ยนแดดให้กลายเป็นร่มเงา เปลี่ยนแดดให้กลายเป็นใบไม้ เปลี่ยนแดดให้กลายเป็นดอกไม้ที่สวยงามได้ ไม่มีแดดก็ไม่มีสีเขียว ไม่มีแดดก็ไม่มีดอกไม้ นี้เป็นความเก่งกาจของต้นไม้ นอกจากจะทนต่อแดดแล้ว ยังสามารถเปลี่ยนแดดมาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ด้วย พวกเราก็ได้รับประโยชน์จากความสามารถของต้นไม้ ถ้าต้นไม้ไม่มีความสามารถที่จะเปลี่ยนแดดร้อนให้กลายเป็นร่มเงาที่เย็น ดอกไม้ที่สวยงาม หรือผลไม้ที่หอมหวานได้ เราก็คงจะไม่สามารถอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ เขาสอนเรามากเลยนะ คือสอนเรื่องความเสียสละ เพราะว่าเขายอมทนแดดเพื่อให้ร่มเงาแก่เรา ให้ร่มเงาแก่สัตว์เล็กสัตว์น้อย เราจะมองว่าเขาฉลาดก็ได้ที่เปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดี

คนเราถ้ารู้จักเปลี่ยนทุกข์ให้กลายเป็นสุข เปลี่ยนอุปสรรคให้กลายเป็นกำลังบำรุงใจเราก็จะไม่ด้อยกว่าต้นไม้เลย เปลี่ยนทุกข์ให้กลายเป็นสุขให้ได้ เปลี่ยนเคราะห์ให้กลายเป็นโชคให้ได้ ไม่ใช่แค่ใบเท่านั้นที่ทำอย่างนี้ได้ รากต้นไม้ก็ทำอย่างนี้ได้เหมือนกัน เราเอาขยะ เอาขี้หมา เอาซากเอาศพเน่าทิ้งลงไปที่โคนต้น ประเดี๋ยวรากก็จัดการเอง เปลี่ยนของที่เน่าเหม็นให้กลายเป็นดอกไม้ที่สวยงามหรือผลไม้ที่อร่อยได้

พวกเรา เคยไปเมืองจีนไหม ปุ๋ยที่เอามาทำสวน จนได้ผักใบงามๆ ผลไม้ลูกใหญ่ๆ ล้วนมาจากขี้ทั้งนั้น ที่เมืองจีนส้วมจะมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร คือไม่มีประตู มีแต่ฝาคั่นเป็นช่องๆ เวลาจะถ่ายเราก็หันหน้า ส่วนอุจจาระก็จะหล่นลงไปในราง แล้วชาวบ้านจะกวาดเก็บอุจจาระเหล่านี้มาทำปุ๋ย สวนผลไม้ สวนผักชอบปุ๋ยแบบนี้มาก อันนี้คือความสามารถของต้นไม้ ทั้งใบทั้งรากสามารถเปลี่ยนขยะปฏิกูลให้กลายเป็นของดีขึ้นมาได้

เวลาเราเดิน หากเราเดินช้าๆ จะช่วยให้ชีวิตเราเร่งรีบน้อยลง ชีวิตคนเราสมัยนี้เร่งรีบมาก เราเร่งรีบเพื่อจะได้ไปทำอีกอย่างหนึ่ง พอทำงานชิ้นที่ ๒ เราก็เร่งรีบอีกเพื่อไปทำงานชิ้นที่ ๓ กับชิ้นที่ ๓ เราก็เร่งรีบอีก กลายเป็นว่าเราเร่งรีบเพื่อจะไปเร่งรีบอีกอย่างหนึ่ง ไม่ได้มีเป้าหมายอะไรนอกจากนี้ ผลก็คือเรา กลายเป็นคนไม่มีเวลาว่าง แม้แต่ไปเที่ยวธรรมชาติก็รีบๆ คนสมัยนี้มีเครื่องทุ่นแรงทุ่นเวลามากมาย เพื่อทำอะไรให้เร็วๆ ให้เสร็จไวๆ แต่สุดท้ายก็ไม่มีเวลาว่างเลย ไม่มีเวลาแม้แต่จะพักผ่อน หรือมีเวลาให้กับพ่อแม่ลูกหลาน ตรงกันข้ามกับชาวบ้าน ชาวบ้านไม่ค่อยมีเครื่องทุ่นแรงทุ่นเวลา จะทำอะไรแต่ละอย่างๆ ใช้เวลามาก ไม่ว่า การเดินทาง การหุงหาอาหาร การตักน้ำ แต่ทำไมเขามีเวลาว่างเยอะ ลองสังเกตก็จะเห็นว่า เขามีเวลานอนเล่น กลับถึงบ้านเขาก็มีเวลาอยู่กับลูกกับหลาน ส่วนคนเมืองกลับไม่มีเวลาว่างทั้ง ๆ ที่รีบทุกอย่าง แปลกไหม ยิ่งรีบ กลับไม่มีเวลาว่าง ส่วนคนไม่รีบ กลับมีเวลาว่าง เราลองสังเกตดู

มาเดินธรรมยาตรา เราบ่นว่าใช้เวลาเดินเยอะเหลือเกิน ถ้านั่งรถครู่เดียวก็ถึงแล้ว แต่สิ่งที่เราสูญเสียไปกับการเร่งรีบนี้มีเยอะมาก เราเคยคิดบ้างหรือเปล่า การเร่งรีบดูเหมือนจะทำให้ประหยัดเวลา แต่นับวันเวลาว่างเรากลับมีน้อยลง การเร่งรีบยังทำให้เราสูญเสียหลายอย่าง เช่น สูญเสียความสงบใจ สูญเสียโอกาสที่จะเพ่งพินิจธรรมชาติตามรายทาง รวมทั้งสูญเสียโอกาสที่จะได้ใกล้ชิดกับผู้คน ไม่มีโอกาสพูดคุยกับผู้คน เดี๋ยวนี้เวลาไปเที่ยวต่างประเทศ เรารู้จักแต่สถานที่ โดยเฉพาะย่านช็อปปิ้ง แต่เราแทบไม่รู้จักกับผู้คนที่เป็นเจ้าของประเทศเลย เพราะเราไปกันแบบรีบๆ เลยไม่ได้มีโอกาสปฏิสัมพันธ์หรือเรียนรู้จากผู้คน เวลาไปต่างประเทศก็อยู่โรงแรม พอย่างท้าวออกจากโรงแรมก็ขึ้นรถทัวร์ ถึงสถานที่ท่องเที่ยวก็ลงรถ เที่ยวๆ เสร็จกลับมาขึ้นรถทัวร์ กลับมาพักโรงแรม เราถ่ายรูปเพื่อบอกใครว่าได้ไปสถานที่โน้นสถานที่นี้ แต่เรารู้จักคนที่เป็นเจ้าของประเทศบ้างหรือเปล่า

การขาดปฏิสัมพันธ์แบบนี้เป็นความขาดทุนอย่างหนึ่ง เพราะการมีปฏิสัมพันธ์กันทำให้เกิดความเข้าอกเข้าใจกัน รวมทั้งได้ซาบซึ้งกับน้ำใจของผู้คน เวลาเราเอาท้องฝากไว้กับคนอื่น มันจะทำให้เราเห็นน้ำใจของผู้คนมากขึ้น อย่างขบวนธรรมยาตรานี้ จะเรียกว่าเราเอาปากท้องฝากไว้กับชาวบ้าน กับผู้คนสองข้างทางก็ได้ เมื่อไรก็ตามที่เราทำอย่างนี้ เราจะเห็นน้ำใจของผู้คน คนที่นั่งรถ คนที่ทำอะไรเร็วๆ ไปถึงที่หมายเร็วๆ หรือนั่งรถทัวร์ จะไม่มีโอกาสได้สัมผัสน้ำใจแบบนี้เลย ประสบการณ์แบบนี้เป็นสิ่งมีค่า และอาจตราตรึงใจเราได้ไม่น้อยกว่าการได้เห็นสถานที่แปลกๆ ก็ได้

การได้เห็นสถานที่แปลกๆ ส่วนใหญ่ก็แค่ประทับไว้ในภาพถ่าย อาจถ่ายเป็นพันรูปแต่ไม่ได้กลับมาดูเลยก็ได้ หรืออาจจะดูแค่วันสองวันแล้วก็ลืมไป แต่สิ่งที่จะประทับอยู่ในใจเรานานก็คือเมตตาของผู้คน โดยเฉพาะเวลาตกระกำลำบากเราจะซาบซึ้งน้ำใจของเขามาก เวลาประสบความยากลำบากในต่างแดนแล้วมีคนช่วยเรา เราจะจำหน้าเขาได้ไม่ลืม ทุกวันนี้อาตมายังจำหน้าคนหลายคนที่ช่วยอาตมาตอนมีปัญหาได้ หากเราอยู่แต่ในบ้านเราจะไม่รู้สึกแบบนี้ เพราะเวลาเราอยู่บ้าน เราจะรู้สึกว่าเรามีทุกอย่าง เราเป็นใหญ่ในบ้าน ทุกอย่างเรียบร้อยเลิศเลอเพอร์เฟ็ค สบาย เราจะรู้สึกว่าเราเป็นคนสำคัญ ทุกอย่างอยู่ในอำนาจของเรา แต่พอเราไปต่างแดน ตัวเราจะเล็กลง เพราะเราไม่ใช่เจ้าบ้าน ยิ่งเราตกระกำลำบาก เราจะได้พบกับน้ำใจผู้คน และหากเราไปช้า ๆ เราจะได้เรียนรู้จากผู้คน ได้มีโอกาสพูดคุยกับเขา ประสบการณ์เหล่านี้ทำให้เราเข้าใจกันมากขึ้น แม้จะต่างชาติ ต่างภาษา หรือต่างศาสนาก็ตาม

การเดินจึงมีหลายมิติมาก การท่องเที่ยวด้วยการเดินไปช้าๆ ทำให้ได้เห็นธรรมชาติ ได้อาศัยธรรมชาติเป็นครู และได้รู้จักผู้คนต่างชาติต่างภาษาที่อาจจะไม่ได้เจอกันอีกเลย เจอกันเพียงครั้งเดียว แต่อาจซาบซึ้งน้ำใจของเขาไปตลอดชีวิตเลยก็ได้


ที่มา : http://www.visalo.org/article/komol255407.htm

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น