...+

วันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2554

พี่แดง หญิงผู้มีชัยต่อความตาย

"เรือที่จอดเทียบท่าอยู่นั้น เรายังมิอาจรู้ได้ว่าเป็นเรือที่ดีจริงหรือไม่ต่อเมื่อมันถูกนำออกทะเล ว่าสามารถฝ่าคลื่นลมมรสุมโดยไม่สะทกสะท้าน นั้นแหละ จึงจะบอกได้ว่าเป็นเรือที่ดีจริง

บุคคลที่ยังไม่เจอสิ่งกระทบที่หนักหนาสาหัจสากรรจ์ ดังเช่น การที่ต้องเผชิญกับโรคร้าย ความตาย และความพลัดพรากจากบุคคลอันเป็นที่รัก เป็นต้น เราก็ยังไม่อาจบอกได้ว่าเป็นคนที่ปล่อยวางได้จริง ต่อเมื่อ พิสูจน์ตนเองว่าสามารถฝ่าคลื่นลมมรสุมหนักของชีวิตได้โดยไม่สะทกสะท้าน นั้นแหละ จึงจะบอกได้ว่าเป็นคนที่แข็งแกร่งจริง ปล่อยวางได้จริง"

พี่ แดง ...ผู้จัดการร้านกรอบรูปนำเข้าขนาดใหญ่ อายุราว ๕๐ ปีเศษ มีสามีเป็นนักธุรกิจ และลูกเล็ก ๆ ๑ คน ซึ่งเพิ่งจะเตรียมตัวเข้าเรียนในชั้นประถม เมื่อ เธอรู้ตัวว่าเป็นมะเร็งตับระยะสุดท้าย (ประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๒) เธอได้พูดกับคุณเอก (หนึ่งในกลุ่มเพื่อนธรรมเพื่อนทำ) ซึ่งรู้จักกันเพราะมีออฟฟิสอยู่ใกล้ ๆ กัน ว่า

"ทำไมต้องเป็นฉัน...ฉันก็เป็นคนดีมาตลอด", “ฉันห่วงลูกมากๆ” และเมื่อความทุกข์โหมกระหน่ำใส่เธอมากเข้า เธอก็พูดด้วยความท้อใจว่า "อยากให้มันตายๆ ไปเลย จะได้จบ"

คุณเอกเลยพูดให้สติเธอไปว่า "ตาย แล้วมันไม่จบอย่างที่พี่คิดนะซิ มันก็ต้องไปเกิดๆ ตายๆ ต่อไปอีกไม่รู้จักจบจักสิ้น แถมไม่มีอะไรการันตีได้ว่า เราจะไม่ไป เกิดเป็นหมูหมากาไก่ ก็ยิ่งทุกข์กันเข้าไปใหญ่"

เธอเล่าภายหลังว่าประโยคที่ทำให้เธอคลิ๊กก็คือประโยคที่ว่า "ตายแล้วมันไม่จบอย่างที่พี่คิดนะซิ"
จาก คำพูดนี้เอง จึงเป็นจุดเริ่มที่ทำให้พี่แดงสนใจศึกษาธรรมะ โดยมีคุณเอกเป็นเพื่อนกัลยาณมิตร

เธอได้รับความซาบซึ้งในธรรมะของพระพุทธองค์เป็นลำดับ ๆ ผ่านพระธรรมเทศนาของหลวงพ่อชา สุภัทโท และพระอาจารย์ชยสาโร (ศิษย์ต่างชาติของหลวงพ่อชา) จากซีดีที่คุณเอกนำมามอบให้ รวมทั้งการสนทนาธรรมกับคุณเอกอยู่เนืองๆ

เพียงไม่กี่เดือนที่พี่แดงปฏิบัติธรรมด้วยตนเอง ความแข็งแกร่งในจิตใจของเธอเริ่มฉายแววออกมาอย่างเด่นชัด เธอบอกว่าเมื่อมาถึงตรงนี้ เธอไม่ได้คิดจะต่อสู้กับมะเร็ง หากแต่ยอมรับมันและขออยู่ร่วมกับโรคร้ายนี้ฉันท์มิตร

เมื่อเธอศึกษาและปฏิบัติธรรมมากเข้า ๆ เธอก็ยิ่งเห็นคุณค่าของธรรมะและเห็นคุณค่าของเวลาที่ยังเหลืออยู่

ดังนั้้น เธอจึงปฏิบัติธรรมชนิดไม่คิดถึงเรื่องเวล่ำเวลา รู้สึกตัวตื่นขึ้นเมื่อไร ไม่ว่ากี่โมง นั่นถือเป็นเวลาแห่งการปฏิบัติธรรม ตื่นก็ตื่นกับพุทโธ หลับก็หลับไปกับพุทโธ

พี่แดงยังคงทำงานและกิจวัตรในแต่ละวันตามปรกติเหมือนสมัยที่ยังไม่ป่วย แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปก็คือ เธอกลับมีสีหน้าและน้ำเสียงที่แช่มชื่นเบิกบานอยู่เสมอ สวนทางกับการที่ร่างกายเธอต้องถูกโรคมะเร็งเบียดเบียนหนักขึ้นทุกวัน ๆ

เธอพูดบ่อยครั้งขึ้น ถึงความเป็นธรรมชาติธรรมดาของทุกสิ่งทุกอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความตายที่เธอกำลังเผชิญ นี้กระมังที่เป็นวิหารธรรมหรือเครื่องอยู่ของเธอนับจากที่เธอได้เข้ามาประพฤติธรรม

ในการศึกษาและปฏิบัติธรรมของเธอนั้น เธอต้องใช้กำลังใจมากกว่าคนทั่วไป เพราะสามีของเธอก็เหมือนกับคนอื่นๆ ทั่วไปที่เห็นว่าการปฏิบัติธรรมยังมิใช่สาระสำคัญของชีวิต เธอต้องสู้อดทนอดกลั้น และเอาตัวเองเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าธรรมะมีคุณค่าจริง กระทั่งในที่สุด สามีเธอเอ่ยปากออกมาเองว่าหากเขาเป็นโรคร้ายอย่างเธอ ก็คงไม่สามารถเป็นอยู่อย่างแช่มชื่นเบิกบานหรือปล่อยวางอย่างเธอได้ นี้จึงเป็นจุดที่เธอถือเป็นโอกาสชี้ให้สามีตระหนักว่าที่เธอเป็นอยู่ได้เช่น นี้ก็เพราะธรรมะ

เมื่อ ย่างเข้าปีที่ ๒ ที่เธอป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย (เธอปฏิบัติธรรมมาได้ราว ๑ ปี) ซึ่งเลยเวลาที่คุณหมอขีดเส้นไว้นานหลายเดือน อาการของโรคนั้นเพียบเต็มที่ แต่คุณหมอที่ดูแ ลอาการป่วยของเธอไม่เข้าใจว่าทำไมเธอจึงยังสามารถเดินเหิรไปไหนมาไหนได้ อีกทั้งยังพูดคุยเป็นปรกติ ทั้ง ๆ ที่ควรจะมีอาการตัวเหลืองและนอนซม เพราะความที่ตับของเธอดำหมดแล้ว

คุณหมอไม่รู้ว่าเธอทำตัวอย่างไร วางใจอย่างไร หรือได้ยาวิเศษที่ไหนมาถึงได้สามารถรักษาสุขภาพจนอยู่มาได้ขนาดนี้ซึ่งจากผลทางกายภาพที่คุณหมอมองเห็น ทำให้คุณหมอพูดด้วยความมั่นใจว่าแนวปฏิบัติที่เธอทำอยู่ (ซึ่งคุณหมอก็ไม่รู้ชัดนักว่าคืออะไร) นั้นถูกต้องแล้ว ให้เธอทำต่อไป
ก่อนที่เธอจะลาโลกนี้ไปไม่กี่เดือน คุณเอกได้ชวนผมไปนั่งสนทนากับเธอ และสิ่งที่ผมจะถ่ายทอดต่อไปนี้ คือสาระสำคัญที่ได้จากการพูดคุยซักถามเธอเพื่อให้รู้ถึงธรรมโอสถหรือยาวิเศษที่ช่วยรักษาโรคทุกข์ให้กับเธอชนิดที่ผมและเพื่อนในกลุ่มเพื่อนธรรมเพื่อนทำต้องยอมรับและถือเธอเป็นแบบอย่างของนักปฏิบัติตัวจริง ชนิดที่แม้เรา ๆ ซึ่งเข้าวัดมานานกว่าเธอมากก็ยังต้องเขินอายต่อความจ ริงจังในการปฏิบัติธรรมของเธอ (โปรดอดใจรออ่านบทสัมภาษณ์พี่แดงในกระทู้ต่อไปนะครับ)

บัดนี้ ซึ่งล่วงเลยวันที่สัมภาษณ์พี่แดงมาได้ไม่ถึงปี พี่แดงก็จากไปอย่างผู้องอาจจริง ๆ แม้ในวันท้าย ๆ จะมีเลือดออกมาทั้งทางปากและจมูก แต่เธอก็ยังคงรักษาอาการอันสงบระงับไว้โดยปราศจากการใช้มอร์ฟีนกระทั่งวินาทีสุดท้าย ...ช่างงดงามและเป็นแบบอย่างของนักปฏิบัติผู้มีชัยต่อความตายจริง ๆ

พี่แดงจากไปด้วยอาการอันสงบ เมื่อวันพฤหัสที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๔ รวมสิริอายุ ๕๐ ปี รวมระยะเวลาที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งราว ๓ ปีเศษ และปฏิบัติธรรมได้ราว ๒ ปี กราบอนุโมทนาต่อบุญกุศลที่พี่แดงบำเพ็ญมาดีแล้วและขออนุญาตดวงจิตพี่แดงที่จะนำบทสัมภาษณ์มาเผยแพร่เพื่อเป็นแบบอย่างและกำลังใจแก่นักปฏิบัติผู้มุ่งหวังความพ้นทุกข์ทุกๆ คน

ผมได้สรุปคำสัมภาษณ์ไว้ทั้งสิ้นจำนวน ๑๐ ข้อ โดยจะทยอยลงเผยแพร่เป็นลำดับ ดังนี้

๑. เมื่อรู้ตัวว่าต้องเผชิญหน้าต่อความตาย ซวนเซเพราะโรคร้าย แล้วตั้งหลักใจขึ้นได้เพราะวางใจไว้อย่างไร

”อันดับแรกเราต้องยอมรับความจริงให้ได้ก่อนมันเป็นธรรมชาติ ใบไม้แม้ยังเขียว แต่หากมีหนอนกัดกินก็ร่วงได้ เกิดเป็นเจ้าฟ้ามหากษัตริย์ก็ยังต้องตายเลย เกิดเป็นกบเป็นเขียดอยู่ในรูก็ตาย อยู่ในอวกาศก็ตาย ทุกชีวิตต้องตายหมด”

๒. อะไรที่ช่วยเราในยามเจ็บไข้เช่นนี้

”ธรรมะ ... ธรรมะและเรื่องใจต้องมาก่อน ธรรมะสอนให้เรารู้จักว่า หน้าที่ของเราคือการดูแลจิตใจ ส่วนร่างกายนั้นก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหมอที่จะเยียวยา

“ธรรมะ ช่วยให้ใจเราดี เมื่อใจเราดี เรานอนหลับได้ รับประทานได้ ร่างกายก็พลอยดีขึ้น ใจไม่ดี ทานก็ไม่ได้ นอนก็ไม่หลับ ร่างกายก็ทรุดโทรม”

“ข้อ ปฏิบัติหลักในยามนี้คือ ไหว้พระ ทำสมาธิ คิดในสิ่งที่ดี พูดในสิ่งที่ดี ๆ ทำในสิ่งที่ดี ๆ ตื่นก็ตื่นกับพุทโธ หลับก็หลับไปกับพุทโธ”

“ ธรรมะนอกจากช่วยเยียวยาใจได้แล้วยังล้ำมาที่ร่างกาย คือช่วยให้สุขภาพกายดีขึ้นหรือทรุดโทรมช้าลงได้อีกด้วย”

”เวลา เข้าไปในห้องพยาบาล ไม่ว่าลูกเรา สามีเรา หรือญาติคนไหน ๆ ก็ตามเราเข้าไปในห้องไม่ได้ สิ่งเดียวที่ตามเราเข้าไปได้คือ พุทโธๆ นี่ขนาดยังไม่ตาย ยังไม่มีใครตามเราเข้าไปได้ ยิ่งเวลาตาย ไม่มีใครไปกับเราหรือช่วยอะไรเราได้จริง ๆ ทุกคนส่งเราได้แค่กองฟอน ที่ช่วยได้มีแต่พระ มีแต่ธรรมะเท่านั้น”

๓. ประคองใจคนใกล้ตัวอย่างไรไม่ให้ทุกข์เพราะการเจ็บไข้ของเรา

”ความตายมันเป็นธรรมชาติธรรมดาที่เกิดกับทุกคน ตอนนี้ฉันยังไม่ตายจะร้องไห้ไปทำไม ฉันเป็นคนป่วยฉันยังไม่ทุกข์ ยังไม่ร้องไห้เลย ดูอย่างภูเขาสิมันยังสึกกร่อนได้เลย ความเสื่อมสิ้นไปของทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นเรื่องธรรมชาติ”

๔. ห่วงลูกห่วงสามีไหม

”ทางใครทางมัน ตอนนี้ก็ทำหน้าที่ในฐานะแม่ ฐานะภรรยา แต่สุดท้ายแล้วก็ “ทางใครทางมัน” แม้ จะห่วงความเป็นไปของลูกมาก ก็ต้องทำใจและยอมรับความจริงว่าสังขารมันไปไม่ไหวแล้ว สิ่งที่ควรทำในฐานะแม่ ฐานะภรรยา ก็ได้ทำอย่างเต็มที่แล้ว ทุกคนย่อมมีกรรมเป็นของ ๆ ตน ไม่ว่าจะมีอุปสรรคมากบ้าง น้อยบ้าง ชีวิตก็ต้องดำเนินไป แม้ว่าจะไม่มีแม่ ไม่มีภรรยาแล้วก็ตาม”

๕. หากย้อนเวลาไปได้ อยากทำอะไร

”อยากพาลูกเข้าวัดฟังธรรม ปฏิบัติธรรมะเยอะ ๆ ต้องระวังตัวเองให้มาก ไม่ให้ไปเบียดเบียนคนอื่น”

๖. ปฏิบัติธรรมประจำวันอย่างไร

“ก่อนนอนจะไหว้พระ สวดมนต์ และนั่งสมาธิทุกคืน แล้วลุกขึ้นมานั่งสมาธิอีกทีตอนตีสี่ตีห้า แต่บางครั้ง หากตื่นขึ้นมาไม่ว่าจะเป็นตีสองตีสามก็ช่าง ก็จะลุกขึ้นนั่งภาวนาเลย จะไม่ปล่อยให้นอนคิด เพราะหากปล่อยให้คิดไปเรื่อย ๆ มันมีแต่จะคิดลงต่ำ คิดปรุงแต่งเลยเถิดไปจนน่ากลัวชวนให้ทุกข์ใจ ต้องลุกขึ้นมานั่งสมาธิทำให้จิตนิ่ง เมื่อจิตนิ่งก็จะมีความสุขสงบ”

ทุกวันนี้กล้าพูดว่าแทบจะไม่ลืม “พุทโธ” และลมหายใจเลย ตื่นนอนก็ตื่นพร้อมพุทโธ หลับก็หลับไปกับพุทโธ จะรู้สึกเสียใจถ้าหากวันไหนลืมระลึกรู้ลมหายใจหรือลืมบริกรรมพุทโธ”
”วางใจเหมือนก้อนหิน ประคองใจให้สงบนิ่ง ไม่หวั่นไหว คลื่นซัดก้อนหิน ก้อนหินก็ยังอยู่อย่างเดิม ...อะไรจะเกิดก็เกิด ไม่เผลอให้ความอยากมีชีวิตอยู่รอดทำให้เกิดความเครียด
...สุขทุกข์อยู่ที่ใจ จึงต้องทำใจให้เป็นสุข ทำใจให้ดีอยู่เสมอ”

๗. ประสบการณ์การปฏิบัติภาวนา

”บาง ครั้งปฏิบัติไปจนเหมือนลมหายใจไม่มี แต่ก็อยู่ได้ ไม่ตายรวมทั้งเคยปฏิบัติจนได้ข้ ามเวทนา จึงเกิดความเชื่อมั่นว่ากายกับใจเป็นคนละส่วนกันจริง”

๘. อยากบอกอะไร

”อยากขอบคุณความเจ็บป่วยที่ทำให้หันมาสนใจธรรมะ ได้หันมาดูแลตัวเอง จนทุกวันนี้รู้สึกสุขใจ มีเวลาให้คนในครอบครัว หากไม่เจ็บป่วยอย่างนี้ก็คงจมหรือหมดเวลาทั้งชีวิตไปกับการงานและกิจกรรมโลกๆ และคงตายไปโดยไม่ได้ตระเตรียมอะไรเลย”
”อยากขอบคุณพระพุทธเจ้าที่ให้ธรรมะแก่เรา ธรรมะสอนไว้หมดจริงๆ ทั้งการอยู่การกิน การดูแลรักษาใจ ฯลฯ”

๙. ถ้าว่าไม่กลัวตาย ถามว่ากลัวทุกขเวทนาตอนตายที่จะมาถึงหรือไม่

> ”กลัว แต่จะไม่ไปเป็นทุกข์ล่วงหน้า ตอนนี้ยังไม่เกิดก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ไปกับมัน”

๑๐. ตั้งความปรารถนาไว้อย่างไร

> “หากยังต้องเกิดก็อยากเกิดเป็นผู้ชาย อยากเป็นพระค่ะ”

http://www.luangpordu.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น