...+

วันอาทิตย์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

คนโง่เก็บใจไว้ที่ลิ้น คนฉลาดเก็บลิ้นไว้ที่ใจ ว.วชิรเมธี

TAKE care

ผมเองก็เป็นเหมือนคนเมืองทั่วไป ที่กระหายใคร่รู้ในการทำงาน จะเรียกว่าเป็นพวกบ้างานมากคนหนึ่งก็น่าจะได้ การตรากตรำกับการทำงานหนัก ส่วนใหญ่ก็มีทางออกโดยการดื่มและสูบบุหรี่ แต่ในความเป็นจริงแล้วมันไม่ใช่ทางออกเลย
ความที่ไม่สนใจตนเอง ป่วยไปก็หาหมอ จนมีหมอเป็นเพื่อนสนิทหลายคน เพราะป่วยจากการทำงานบ่อยและไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย รู้แต่ว่ายาไหนดี ใช้กับอาการอย่างไร
ความอวดดีกับความมั่นใจ ห่างกันแ่ค่เยื่อบางๆที่ปิดกั้เอาไว้เท่านั้น และด้วยความที่เป็นคนมั่นใจในตนเองสูง บางครั้งหลายคนก็คิดว่าผมเป็นคนอวดดี อย่างไรก็เถอะมันไม่สำคัญหากเรารู้ตัวว่าเราเป็นอย่างไร
จนกระทั่งผมป่วยด้วยอาการภูมิแพ้อย่างรุนแรง ตั้งแต่เป็นไข้เล็กๆ ปวดหัวประจำ ก็เลยไปหาเพื่อนสนิทที่เป็นหมอเฉพาะทางด้านภูมิแพ้ที่โรงพยาบาลเอกชนมีชื่อในกรุงเทพฯแห่งหนึ่ง ท่านจบamerican board จากสหรัฐอเมริกา ท่านบอกว่าโรคที่ท่านดูแลอยู่รับรองหายร้อยเปอร์เซ็นต์ ผมรักษากับท่านมาหนึ่งเดือน ฉีดยากินยาฆ่าเชื้อมาตลอด
จนมีอยู่วันหนึ่งไข้เริ่มขึ้นสูงที38.5 cหมอเพื่อนกันเอ่ยถามด้วยคำพูดหนึ่งว่า "รู้จักหมออารยุรกรรมที่โรงพยาบาลแห่งนี้บ้างหรือเปล่า
ผมกล่าวขอบคุณท่าน แล้วรีบขับรถไปยังโรงพยาบาลที่ผมรู้จักหมออายุรกรรมอีกแห่งหนึ่ง และเอ่ยปากให้ท่านตรวจเลือดเ้พื่อเช็คตับไตก่อน เพราะใช้ยามามากและนาน ผมสึกตัวรู้ว่าผมอยู่ในภาวะติดเชื้อเรื้อรังและรุนแรง
คืนนั้น...ผมมีอาการไข้สูงถึง 40c ภรรยาทั้งสองและลูกได้มาเยี่ยมไข้ แต่ผมให้กลับบ้านไป เพราะกลัวจะติดเชื้อตามผมไปด้วย เพราะผมไม่รู้ว่าผมติดเชื้ออะไรถึงได้รุนแรงขนาดนี้ ภรรยาทั้งสองเป็นผู้หญิงบ้างานเหมือนกัน เธอก็รับปากแล้วก็กลับไป
คืนถัดมา...ผมยังมีภาวะไข้สูงปรี๊ดตามมาติดๆกลางดึ เหมือนจะรู้ตัวก็ไม่ใช่ ไม่รู้ตัวก็ไม่เชิง ผมนิมิตรเห็นหลวงปู่โต วัดระฆัง หลวงปู่ทวดวัดช้างให้ และหลวงปู่แหวน สุจิณโณ
จากนั้นผมก็เห็นตัวเองนอนอยู่เหนือน้ำ แล้วค่อยๆจมลงไปจนเหลือแต่เพียงจมูก ที่กำลังจะจมดิ่งลงไปอย่างช้าๆ มันเป็นความรู้สึกที่สงบและร่มเย็น ยากจะเล่าเป็นคำพูดได้
จนกระทั่งถูกปลุก โดยพยาบาลสองคน ผมงงๆว่าทำไม แล้วเธอก็บอกให้ผมเปลี่ยนเสื้อผ้า เพราะมันเปียกชุ่มเหมือนตกน้ำมา เป็นคำตอบ
ผมเปลี่ยนเสื้อผ้าแต่โดยดี แล้วก็นอนหลับไปอย่างสงบและร่มเย็น แต่อาการไข้ยังอยู่ แม้จะลดลงไปบ้าง วัดไข้ในตอนเช้าได้ 39 c ตอนบ่ายวันนั้น ภรรยาคนหนึ่งของผมเธอบอกเลิกกับผมโดยให้เหตุผลว่าทนภาวะเช่นนี้ต่อไปไม่ไหว แม้จะทนมาหลายปี ใจผมกระเพื่อมและหวั่นไหว เกรงว่าภรรยาที่รักจะจากไป แม้จะอยู่กันมานานด้วยความลำบาก แต่ด้วยความเจ็บป่วยทำให้ผมต้องปล่อยวาง แล้วหันไปสู้กับโรคแทน
หมอให้ยาฆ่าเชื้อผมโอเว่อร์โด๊ส(เกินขนาดปกติ) หรือมากกว่าที่ผมเคยได้ยินและรู้มา ผม ถามเภสัชกรของโรงพยาบาลก็ตอบให้ไม่ได้ เขาให้ถามหมอเิอาเอง
แต่ด้วยความไว้ใจหมอก็เลยละความสนใจในเรื่องนี้ไป แม้คุณป้าของผมคนหนึ่งจะตายภายใต้การดูแลของท่าน แต่ด้วยกรอบการรักษาที่ถูกหลักการแพทย์ ผมยอมรับและเชื่อใจท่าน ส่วนเรื่องคุณป้าของผม ผมคิดว่าเป็นเรื่องสุดวิสัย แม้้พี่ๆจะประนามหมอก็ตาม แต่ผมคิดว่าพวกพี่ๆไม่เข้าใจนั่นเอง
อาการโดยรวมผมดีขึ้นตามลำดับ จนหายเกือบหมดและไข้ลดเป็นปกติ แต่นอนพักรักษา ตัวในโรงพยาบาลนานถึง 9 วัน แถมได้ยากลับมากินต่อเนื่องถึงสองอาทิตย์ ก็ได้ทำตามคำแนะนำของหมอ และรู้สึกขอบคุณที่หมอช่วยชีวิตไว้
มีเรื่องตลกอีกเรื่องหนึ่งตามมา หลังจากที่ออกจากโรงพยาบาลมาแล้ว ผมเดินแล้วเจ็บข้อเท้ามาก จนต้องไปหาหมอข้างบ้านทั้งๆที่มีอาการเจ็บปวดมากเดินแทบไม่ไหว ขยับทีน้ำตาไหลทีเดียว หมอท่านบอกผมว่าผมเป็นโรคอพอลโล่ เพราะไม่ได้เดินมาหลายวัน แล้วก็พันผ้าที่เท้าให้ภายหลังจากฉีดยาให้ผมหนึ่งเข็ม
การนอนพักฟื้นนานสองอาทิตย์ ทำให้คิดถึงเรื่องที่ผ่านมา แล้วถามตัวเองได้ว่าที่ผ่าน มาเราทำงานมากไปหรือเปล่า จนขาดความสนใจที่จะดูแลตัวเองและดูแลใจของตัวเอง ตอนนั้นความรู้จากหนังสือธรรมะประเดประดังเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย หัวแทบแตกและตกใจว่า "เกิดอะไรขึ้น"
หลังจากหายตื่นตระหนก และสงสัยว่าความรู้ที่รุมเข้ามาทีเดียวหลายสิบเรื่องมันเป็นเพราะอะไร และจัดลำดับเรื่องราวไม่ได้ หรือจิตมันปรุง แล้ว...มันปรุงได้ขนาดนี้เลยหรือ
เมื่อจิตพลิกย้อนกลับมาสงบแล้ว คิดดูถี่ถ้วนอีกครั้งหนึ่งก็นึกถึงคำสอนของท่านเจ้าคุณชุบ แห่งวัดคลองสะท้อน ที่เขาใหญ่ "เอ็งจะเดินหน้า ก็ต้องฝึกอินทรีย์และพละห้าให้แข็งแรง เข้าใจไหม"คิดแล้วนึกถึงคำแปลว่าอินทรีย์ แปลว่าความเป็นใหญ่ พละแปลว่าความไม่หวั่นไหว
แต่ยังมีอีกอินทรีย์หนึ่งทางพุทธศาสนาที่หมายถึงตา หู จมูก ลิ้ นกาย ใจ ที่ใครไม่มีอินทรีย์นี้ก็ต่อเชื่อมโลกไม่ได้ ไม่มีตาสำหรับดูทาง หูฟังเสียง ลิ้นลิ้มรส จมูกดมกลิ่น กายสัมผัสสิ่งกระทบ และใจกับความนึกคิด และอีกอินทรีย์หนึ่งที่ควบกับพละห้าคือ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัณญา( ศรัทธาคือความเชื่อมั่นและมั่นใจ วิริยะคือความเพียรในการปฎิบัติ สติคือความระลึกรู้อารม ณ์ จนรู้อารมณ์ดียวและจิตตั้งมั่นที่เรียกว่าสมาธิ และรู้เท่าทันความผันแปรของกายและจิตเรื่อยไป ก็คือปัญญา )
" เอ็งมันมวยรุ่นเล็กเวลเตอร์เวทจะหาญไปสู้กับรุ่นใหญ่เฮฟวี่เวท ก็ต้องฝึกให้แข็งแรงเสียก่อน เข้าใจนะ" ท่านเจ้าคุณกล่าวสำทับ
ผมน้อมรับธรรมของท่านเจ้าคุณอย่างเต็มหัวใจ ที่ท่านสอนในเรื่องขององค์ธรรมที่นำไปสู่การตรัสรู้ แม้ตัวเรายังเป็นแค่ฝุุุ่่นผง แต่เห็นทุกข์ในกายสังขารและจิตสังขารแล้ว ก็พลอยเห็นธรรมไปด้วย
เราต้องดูแลจิตให้แข็งแรงเสียแล้ว แม้มีสติอย่างเดียวก็ไม่พอ อย่ามัวแต่หลงตามความคิดที่จะคิดตามให้เข้าใจในการปฎิบัติอยู่เลย เพียงแต่เริ่มลงมือแล้วทุกอย่างมันน่าจะพอดี ดังคำสอนของท่านเจ้าคุณ take care ครับ

วิด
ตามหาแก่นธรรม ไม่ต้องไปหาที่ไหนหรอกครับ มันอยู่ในอินทรีย์นี้ทั้งหมด หากมีพละห้าที่พร้อมแล้ว ศรัทธาแข็งแกร่ง วิริยะจะตามมา สติก็ไหวตัวรู้เท่าทันความคิด ตั้งมั่นในสมาธิแล้วรวม เป็นแรงหนุนเนื่องให้เกิดปัญญา อย่ามัวแต่เดี๋ยวก่อนเลยครับ เดี๋ยวกระเป๋ารถเมล์จะร้องบอกคนขับว่า"จอดเฉยให้เลยไป...." เสียดายครับ
สะมะชัยโย
ใบโพธิืแก่นธรรม ท่านอาจารย์ไพศาล วิสาโล จากหนังสือชีวิตที่จิตใฝ่หา
สิ่งที่จิตส่วนลึกปรารถนาอย่างแท้จริงคือ ความสงบเย็นและความเบิกบาน ซึ่งมิอาจได้มาจากการครอบครองสิ่งภายนอก แต่เกิดจากความตื่นรู้และความอิสระภายใน อันเป็นที่มาแห่งความ
สุขอย่างแท้จริง
หมายเหตุแก่นธรรม
ผู้เขียนและคณะเป็นผู้เขลาทางปัญญา หากมีข้อผิดพลาดบกพร่อง ขอน้อมรับทุกประการ บุญกุศลที่เกิดจากบทความนี้ขอน้อมถวายแด่หลวงปู่ หลวงตา หลวงพ่อ ครูบาอาจารย์ และขออุทิศให้แก่บรรพบุรุษ อันมีพ่อแม่ปู่ย่าตายายเป็นปฐม เจ้ากรรมนายเวร สรรพสัตว์ทั้งหลายในสากลโลกนี้ รวมทั้งท่านผู้อ่านทุกท่าน ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป

1 ความคิดเห็น: