...+

วันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ถอย...ดีกว่า

เห็นท่านสะมะชัยโยขยันขันแข็งในแก่นธรรม ทั้งประกาศเชิญชวนมิตรสหายที่สนใจในธรรมและใคร่เผยแพร่ธรรมที่มีความสามารถจะถ่ายทอดธรรมะที่รู้มา จากยากให้เป็นง่าย ก็ขอร่วมอนุโมทนากับท่านด้วยครับ พร้อมทั้งส่งบทความนี้มาร่วมแจมด้วยเหมือนเดิม
มีอีกอย่างหนึ่งที่ได้รับคำขอร้องให้ใช้ ก็คือคำพูดโบราณของไทย ที่ท่านสะมะชัยได้เขียนถึง เช่นคำว่าประหวัดที่แปลว่าหวนนึกถึง หวนคิดถึง หรือคำว่าประหวั่นแปลว่ากลัวจนขี้แตกขี้แตน สยอง อะไรทำนองนั้น
มันออกจะยากสำหรับคนรุ่นผม เพราะคำพูดเช่นนั้น ผมว่าเกิดก่อนท่านสะมะชัยโยและผู้เขียนเสียอีก แต่มันมีความหมายดีนะครับ ภาษาไทยจึงสวยงาม
อย่างไรก็ตามเราก็พยายามจะรักษาภาษาไทยของเราให้คงอยู่ไว้ ถ้าไม่เชื่อลองอ่านบทความตามหาแก่นธรรมในระยะหลังๆนี้ดูสิครับ จะก็เห็นมีคำว่ากูเต็มไปหมด เช่นเรื่องของมึง-เรื่องของกู, กู-ตัวกู แต่มันเป็นเพียงแต่คำอุปมาอุปไมย เปรียบเทียบเท่านั้นเองดังที่ท่านผู้อ่านทราบดีอยู่แล้ว
ท่านสะมะชัยโยเล่าให้ฟังว่ามีคนชมก็เยอะ แต่ก็ไม่ยักจะมีคนด่า แสดงว่าท่านผู้อ่านเดินตามหาแก่นธรรมเช่นกัน ( ฮา ) แต่มีที่บ่นๆมาก็มีว่าอ่านไม่ทัน ทั้งๆที่ท่านสะมะชัยโยวางมือจากคีย์บอร์ดไปเป็นเวลากว่าสิบวันเพราะป่วย แต่คนที่บ่นว่าเยอะอ่านไม่ทันก็ล้วนแต่บอกว่าได้เก็บเอาไว้อ่านที่หลังแล้ว
ท่านผู้อ่านบางท่านนอกจากจะส่งต่อให้ผู้อื่นแล้ว ยังถ่ายเอกสารแจกจ่ายอีกต่างหาก ก็ขออนุโมทนาบุญกุศลด้วยนะครับ ท่านสะมะชัยโยยังพูดว่าท่านมีหน้าที่แค่ส่ง แต่ไม่มีหน้าที่จะบอกให้ใครอ่าน หากใครรู้สึกว่ามันรก โปรดแจ้งให้ท่านทราบด้วยนะครับ จะปลดออกจากรายชื่อที่ส่งต่อออกให้ครับ ขอบพระคุณครับ
เสียงตอบกลับมาตอนนี้มีหลายแบบ แต่แบบหนึ่งที่พูดกันแทบทุกท่านก็คือรูปในบทความสวยมาก เป็นที่พักสายตาได้ดี แต่ผมว่าจะดีกว่านั้นถ้าเราเอามาพักใจของเราให้นิ่งๆ แม้จะเป็นขณิกะสมาธิคือช่วงสั้นๆก็ยังดีครับ( แถมยังเอาไปทำรูปสวยหน้าdesktop ได้ด้วย )
หากรูปต่างๆมีลิขสิทธิ์โปรดทักท้วงด้วยนะครับ ทางเราจะหยุดเผยแพร่ตามที่ท่านแจ้งมาในทันทีครับ
ท่านสะมะชัยโยเล่าถึงพี่ทวีและพวกพ้องที่เป็นวิศวกรหนุ่มและเป็นแฟนคลับของแก่นธรรมมาตั้งแต่ต้น ชอบให้กำลังใจมาและกล่าวชมอย่างชื่นชอบมาด้วย และที่สำคัญยังร่วมทำบุญกับผ้าป่าสามัคคีแก่นธรรมกับเรามาทั้งสามกอง อย่าลืมมาเอาใบอนุโมทนาบัตรและใบเสร็จนะครับ โลกๆเขาบอกกันว่าหักลดหย่อนภาษีได้ครับ
อย่างที่พี่ทวีเคยบอกพวกเราเสมอว่าข้อเขียนในแก่นธรรม มันไม่ได้มีอะไรแปลกหรือแหวกแนวเลย แต่เป็นเรื่องใกล้ตัวที่นึกไม่ถึง พอมาอ่านแล้วก็เห็นว่าอ๋อ...มันอยู่ตรงนั้น นั่นแหละครับปลายจมูก ถ้าไม่ฝึกลมหายใจแล้วจะเห็นปลายจมูกหรือครับ
แต่บางเรื่องพี่ทวีบอกว่าเขียนออกไปทางแนวเ็ซ็นจ๋าเลย ความจริงพวกเรามีแนวเดียวครับ แนวร่วมไงครับ อย่างน้อยผ้าป่าแก่นธรรมกองที่แล้ว เรายังได้เงินทำบุญถึง 125,700.00บาท นับว่าไม่น้อยนะครับ
ในชีวิตที่ผ่านมาถ้ามาสังเกตุดีๆแล้วจะเห็นว่าคนไทยนอกจากจะอัธยาศัยดี ยิ้มแย้มแจ่ม ใส หนักนิดเบาหน่อยก็ยอมกัน นึกว่าพี่ว่าน้อง คงเป็นเพราะกรอบวัฒนธรรมและวิถีชีวิตกับธรรมชาติที่ใกล้น้ำสองฝั่ง จนเดี๋ยวนี้มันใกล้น้ำรอบตัวมาก เพราะฝนตนหนักเกือบทั้งปี และก็มีน้ำท่วมถึงที่ เป็นของแถมให้กับบ้านแนวราบที่เรียกว่าโลว์ไลฟ์สไตล์ ถ้าเป็นคอนโดมีเนียมหนีน้ำเขาเรียกว่าบ้านแนวดิ่งหรือไฮไลท์สไตล์
อย่างไรก็ตามถ้าน้ำท่วมกรุงเทพฯแบบที่ท่านเทพพยากรณ์ท่านทำนาย รับรองว่าตายเรียบ ไม่ว่าแนวราบหรือแนวดิ่ง แนวราบอาจตายง่ายหน่อย แต่แนวดิ่งอาจตายยากหน่อยเพราะอดตาย จึงไม่ต้องเป็นห่วงนะครับว่าจะไม่ตาย เผลอๆท่านเทพพยากรณ์อาจจะตายก่อนก็ได้ ถ้ายึดหลักพุทธปรัชญาที่ว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ท่านสะมะชัยโยเล่าให้ฟังว่า หลังๆมีบทความส่งเข้ามามากเรื่องการปล่อยวางและการยึดติด ล้วนแล้วแต่มีคอมเมนต์ตามมาว่า อ่านแล้วนึกถึงจึงส่งมาให้อ่านอีกต่อหนึ่ง ท่านก็หัวเราะแล้วพูดว่า"นั่นแหละการยึดติดหนึบ" จะส่งก็ส่งมา ไม่ต้องมาพร่ำว่าอย่ายึดติด เพราะมันยึดติดไง ( ฮา ) แต่ก็ขอขอบคุณและอนุโมทนาด้วยครับเพราะผมเองก็ได้อ่านตามไปด้วย โดยเฉพาะบทความเรื่องการยึดติดของท่านอาจารย์พระไพศาล วิสา โล ท่านเขียนได้น่าอ่านมาก
ในระยะหลังที่เมืองไทยเราก้าวเข้าสู่สังคมคนเมืองทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัดเกอบจะเต็มตัว จะมีกลิ่นไอชนบทนั้นก็ไม่มาก เพราะอะไรๆที่เป็นธรรมชาติหลังจากมีผู้พบเห็นสักพักหนึ่ง เดี๋ยวก็มีรมาจอดเต็มถนนติดยาวสองสามชั่วโมงอีกแล้ว
ยกตัวอย่างที่นครนายกใกล้ๆกรุงเทพฯนี่แหละ ผู้คนแถบนั้นที่จะเข้ากรุงเทพฯต้องเตรียมตัวกันตั้งแต่บ่ายโมง เพราะกว่าจะมาถึงกรุงเทพฯได้ก็เย็นๆค่ำๆแล้ว เนื่องจากรถติด แต่มีเหตุผลที่น่าขำกว่าก็ตรงที่ว่าสาเหตุของรถติดก็คือผู้คนวิ่งไปขอหวยเส้นทางนั้น ( ดูมันทำ )
การได้คุยกับผู้คนแบบเปิดใจกว้างในทุกระดับ สิ่งที่ตามมาก็คือสุตมยปัญญา หรือปัญญาที่เกิดจากการฟัง เพราะคนไทยหลายๆคนยังเป็นคนนิสัย ดี น่ารัก อัตตาต่ำ เพราะรู้จักอะไรๆดี อย่างน้อยก็รู้ว่าชีวิตมันสั้นและไม่ลืมว่าเป็นเช่นนั้น จึงมีเรื่องเกี่ยวกับสติปัญญามาเล่าสู่กันฟัง
ผิดกับผู้คนสมัยนี้ที่มีแต่สังคมคนเมือง ที่วันๆมุ่งที่จะแสวงหาวัตถุมาเพื่อมาสนองหรือเสพให้กับความอยากได้ อยากมี อยากเป็น จนท่านว.วชิรเมธีท่านมีสำนวนออกมาว่า อยากได้ อยากใหญ่ ใจแคบ
ท่านเป็นอีกมุมมองหนึ่งแห่งปราชญ์ ที่สะท้อนภาพของผู้คนที่เป็นอยู่ในทุกวันให้เห็นอย่างชัดเจนว่า พอเสพวัตถุสนองความอยากเบื้องต้นเสร็จ ก็หาวัตถุเสพสนองความอยากเบื้องกลาง และเบื้องปลาย สุดท้ายก็หนี้สินล้นพ้นตัว เพราะรูดปรี๊ดๆจนหาเงินมาจ่ายตอนครบรอบไม่ทัน คราวนี้ก็วิ่งวุ่น กลายไปเป็นพวกใฝ่สูงใจต่ำไปก็มี โดยหาทางออกในที่ๆไม่ควร
และสิ่งที่ตามติดมาก็คือความเครียดของตนเอง คนรอบข้างและครอบครัว วิ่งวุ่นเหมือนคนบ้าที่ขาดยา การเสพวัตถุติดนั้น ไม่ต่างกับการเสพยาเสพติดสักเท่าไร อย่างน้อยก็นำความปวดหัวให้ผู้คนมากมาย
ไม่เชื่อลองมองคนที่แต่งตัวเนี๊ยบๆดูสิครับว่า จะมีใจเนี๊ยบหรือใจที่สงบปลอดโปร่งกันสักกี่คน หรือคนที่ขับรถใหม่ขัดเงากิ๊บ แมลงวันเกาะเป็นร่วง มีสักกี่คนที่ไม่วิ่งหัวปั่นหาเงินผ่อนรถให้ไฟ แนนซ์ ก่อนที่เขาจะมายึดรถเพราะเงินดาวน์ต่ำ เงินผ่อนนาน ( ดอกเบี้ยสูง )และค้างผ่อน
ใจที่ขมึงตึงเครียดกับวัตถุ ทำให้ใจมันแคบลง ตัวตนใหญ่กลับขึ้น จนแทบมองไม่เห็นคนอื่นมีค่าหรือสำคัญ และมักเป็นไปตามคติที่ว่ายอมหัก ไม่ยอมงอ แล้วมันก็จะเป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะไม่รู้จักอีกคติหนึ่งที่ว่ารู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครา หรือคติที่ว่าลูกผู้ชายรู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว
แต่อย่างที่ว่าพอใจขมึงตึง มันก็เหมือนถูกวิญญาณร้ายเข้าสิง แต่จริงๆไม่ใช่ เพราะมันเกิดจากความยึดติดในตัวตนและมีความอยากมาเป็นผู้ชักนำ แต่กลับไปอ้างความผิดให้กับด้านมืดหรือด๊ารคไซด์ของตัวเองว่ามันเป็นคนทำ
อารมณ์นี้แม้ท่านผู้อ่านจะร่ำเรียนมาสูงสักเท่าไร หน้าที่การงานจะสูงถึงไหน มันก็ไม่เคยลดวาราศอกให้ท่านผู้อ่านแม้แต่น้อย เพราะที่เรียนมาหรือรู้มามันขาดการเรียนรู้ใจตัวเองหรือใจของเจ้าของนั่นเอง
เหมือนคำพูดธรรมดาที่คนชอบพูดกันทั้งโลกว่า เกิดมาแล้วก็สนุกสนานในวัยเด็ก มีความรัก มีครอบครัว มีลูก มีหลานแล้วแก่เฒ่า แต่ไม่ค่อยมีใครชอบพูดถึงความตายเลย ทั้งๆมันอยู่ห่างจากสิ่งที่คนชอบพูดกัน...แค่ลมหายใจ
ก็เลยมัวเมาเอาแต่วัตถุ กามารมณ์และอารมณ์ทั้งหลาย จนเพ้อคลั่งลืมธรรมชาติที่ควรจะเป็นและต้องเป็น เพราะวัตถุและกามมันบังตา
โลกอันหมายถึงกายกับใจ นับวันมีแต่เสื่อมถอยไปตามกาลเวลา ทุกอย่างมันถอยของมันเอง ตั้งแต่ตาที่ใช้มันมาก มันก็สั้นแล้วก็ถอยยาว ฟันดีๆมันก็หลุดร่วงตามเหงือกที่ถอยร่นลงไปได้ ผมก็หงอกขาวให้แพ้ยาย้อมผมจนผมร่วง เล็บก็เปราะแตกหักง่ายเพราะแคลเซี่ยมมันลดน้อยถอยลง หนังก็เหี่ยวย่นหน้าก็ยับตามอายุ แล้วมามัวบ้ามัวเมากับวัตถุกาม เมาผัวเมาเมีย จนลืมความจริง
ผู้คนเดี๋ยวนี้ เบื่อผัวเบื่อเมีย ถ้ามีสตางค์หน่อยก็ถอยเมียหรือผัวมือหนึ่งมาใช้ ถ้ามีน้อยหน่อยหรือมีรูปเป็นทรัพย์ พอจะถอยเมียหรือถอยผัวมือสอง มือสามมาใช้กันให้หายเมา แต่ผู้เขียนเกรงว่าจะเมาหนักกว่าเดิมเสียอีก
คนที่มีธรรมเสมอกัน ก็จะอยู่กันอย่างร่มเย็น เดินโอบกอดกันหรือจูงมือกันด้วยหนังเหี่ยวๆที่โอบกอดหรือจูงมือนามธรรมที่เรียกว่าความรักอย่างมีคุณค่า เป็นกัลยาณมิตรต่อกัน พึ่งพากันได้เมื่อยามเจ็บไข้ได้ป่วย และยามจำเป็น ถอยจากวัตถุทั้งหลายที่เป็นของชั่วคราวทีละเล็กทีละน้อย อย่างเข้าใจ ว่างๆก็ชวนกันสวดมนต์ไม่ใช่ก่นด่ากันเพราะสังขารบีบให้เจ็บป่วย
มีแรงมีกำลังก็ชวนกันไปหามุมสงบฟังเทศน์ฟังธรรม หาความสุขที่แท้จริง สุขที่มันเหนือกว่าอะไรทั้งปวงที่เคยมีมา
แม้ใบไม้เพียงกำมือเดียวก็รู้แจ้งได้ ดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนว่าธรรมที่รู้มันเพียงพอแล้ว รู้เกิดรู้ดับเขาเรียกว่าเกิดวิปัสสนาปัญญาแล้ว ทางที่เหลือข้างหน้ายังมีแสงสว่างที่สวยงามรออยู่ แม้เทียนที่มีจะเหลือไม่มากแล้วก็ตาม
ไม่ใช่มัวแต่หาผัวหาเมียกันอยู่ร่ำไป แล้วก็ร้องบอกว่า" เอ๊า...คนต่อไป"
ถอย.....ดีกว่าครับ มันเหนื่อย

ธรรมะสวัสดี

สุรเดช

ธรรมะอ่านสนุกๆก็ได้ข้อคิดดีๆเหมือนกัน แม้จะไม่บ่อยนัก ขอบคุณนะครับที่ส่งมา ว่างๆส่งมาอีกนะครับ
การถอย แม้ในตำราพิชัยสงครามก็ยังมีผู้เขียนไว้ว่าเป็นกลยุทธในการศึกที่จะต่อสู้กับศัตรูได้ดีและอาจนำพาซึ่งชัยชนะได้เช่นกัน
มีอยู่ครั้งหนึ่งเมือสี่ปีก่อน ผู้เขียนได้ไปเดินออกกำลังกาย ภายหลังจากหายจากป่วยหนักมาประมาณสามเดือน แล้วก็เกิดอาการแขนเย็นเฉียบเหมือนจุ่มลงไปในถังน้ำแข็ง แต่ด้วยการตั้งสติที่ดี ก็เลยไปถามเฮียตี๊ เพื่อนร่วมกิจกรรมข้างๆ แกให้ผู้เขียนรีบนั่งลง แล้วถอดรองเท้า แกบอกว่าเดี๋ยวเท้าจะเย็นตาม ไม่ทันขาดคำ อาการเช่นนั้นก็ตามมา แกก็หายไปสักพักหนึ่ง กลับมาพร้อมน้ำผลไม้และนมถั่วเหลืองกล่อง ด้วยความเมตตา คะยั้นคะยอให้ผู้เขียนดื่ม แล้วบอกกับผู้เขียนว่าคุณกำลังจะเป็นลม บังเอิญผมเป็นผู้ชำนาญในเรื่องนี้ จึงสอนคุณได้
ผู้เขียนซาบซึ้งใจในเฮียตี๊ที่แปลว่าโอ่งหรืออ่างน้ำมาก เพราะแกมีน้ำใจต่อผู้เขียนและผู้อื่นดุจเดียวกันกับชื่อของแกที่เปี่ยมไปด้วยน้ำใจ
นอกจากนี้แล้วแกยังเป็นคนใฝ่ธรรม สวดมนต์ไหว้พระ ฟังเทศน์ตั้งแต่ตีสี่ จนจำพุทธพจน์ได้อย่างแม่นยำ แม้แกจะเจ็บป่วยอย่างมาก แต่แกก็ประคองชีวิตและการเจ็บป่วยด้วยสติที่เข้มแข็ง จนรู้เท่าทันมันในบางอาการโดยไม่ปริวิตกอะไร
แม้กระทั่งตอนช๊อคอยู่ในห้องไอซียู แกเล่าให้ฟังว่ารู้ตัวแต่ก็ขยับตัวไม่ได้ เพราะไตของแกหยุดทำงาน จนหมอปลุกแกฟื้นขึ้นมาจากโคม่า แกก็เลยมายืนหัวเราะเสียงดังอยู่ข้างนี่ไง
ผู้เขียนไม่ได้เจอกับแกมากว่าหนึ่งปี แล้วมาทราบภายหลังว่าแกเดินทางไกลไปแล้ว บุญกุศลที่แกสร้างและจิตที่แกฝึกให้เข้มแข็งต่ออาการป่วย เจ็บ แก่ ที่ไม่สามารถทำให้สติของแกขาดหายไปได้แต่อย่างใด
และท้ายสุดแกก็สอบผ่านในเรื่องความตายไปแล้ว ส่วนเรื่องการเกิดนั้นก็ขึ้นอยู่กับแก ซึ่งตอนนี้เฮียตี๊ได้ถอยตัวเองออกจากโลกใบนี้แล้วอย่างสมเกียรติแห่งความเป็นมนุษย์ ขอให้แกไปยังสุคติที่แปลว่าไปที่ชอบๆด้วยเทอญ

สะมะชัยโย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น