...+

วันเสาร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

การเปลี่ยนมุมมองเพื่อชีวิตที่เปลี่ยนไป

หากผมจะถามว่ารูปข้างบนนี้ ไม้สามเหลี่ยมที่เห็นตั้งหรือนอน ผมเชื่อว่าคงมีบางคนที่ตอบว่าตั้งในขณะที่หลายๆคนตอบว่านอน และหากจะหาข้อสรุปก็คงนำมาซึ่งเหตุผลที่ต่างฝ่ายมี ซึ่งผมอยากเพียงจะชี่ให้เห็นว่าการที่คนเรามองดูในสิ่งเดียวกันนั้นไม่จำเป็นที่คนทั้งหมดจะมีความเห็นที่ตรงกัน เพราะต่างคนก็มีมุมมองที่ต่างกันไปและหากผมจะถามว่า "ทำไมนกกระยางจึงยืนขาเดียวเวลาหลับ" ขอบอกว่านี่เป็นปริศนาประลองเชาว์ ไม่เกี่ยวกับความรู้รอบตัว ถ้าผ่านไป 5 นาทีแล้วคุณยังคิดไม่ออก (หรือยังตอบได้ไม่ถูกใจทั้งคนถามและคนฟัง) นั่นเพราะคุณมัวแต่ จะถามตัวเองใช่ไหมว่า... ทำไมมันยืนขาเดียว ทำไมมันไม่ยืนสองขา
หากเรามาลองเปลี่ยนมุมมองเปลี่ยนคำถามเสียใหม่สิว่าทำไมมันหดขาเดียว ทำไมมันไม่หดสองขา? เท่านี้แหละ คำตอบก็ออกมาทันทีว่า "ถ้ามันหดทั้งสองขา มันก็ล้มน่ะสิ" ปริศนาข้อนี้ตอบได้ง่าย หากเราเปลี่ยนมุมมอง หรือตั้งคำถามเสียใหม่ นกกระยางยืนขาเดียว กับนก กระยางหดขาเดียว ที่จริงก็คือสิ่งเดียวกัน แต่เป็นภาพอันเกิดจากมุมมองที่ต่างกันและสามารถชักนำ ความคิดของเราไปคนละทิศละทางได้

การเปลี่ยนคำถามหรือมุมมองไม่ได้มีประโยชน์เพียงแค่ช่วยให้เรารอดพ้นจากอาการหน้าแตกเวลาถูกจู่ โจมด้วยปริศนาแบบนี้ (ซึ่งบางคนเรียกอย่างเจ็บแค้นว่าปริศนาปัญญาอ่อน) ที่จริงมันมีประโยชน์มากกว่านั้น

เชื่อหรือไม่ว่า มันอาจจะมีผลถึงกับเปลี่ยนวิถีชีวิตของคุณได้ คงมีหลายครั้งที่คุณรู้สึกเศร้าสร้อยน้อยใจ เฝ้าบ่นในใจว่า "ทำไมเขาไม่เข้าใจเราเลย" ไม่ว่าเขา (หรือเธอ) คนนั้นเป็นเพื่อนหรือคู่รักของคุณก็ตาม การตอกย้ำกับตัวเองด้วยความคิดอย่างนี้ บางทีก็ไม่ได้ ช่วยอะไรเลย นอกจากตัวเองจะทุกข์แล้ว ยังอาจหมางเมินเขามากขึ้น ซึ่งทำให้ความสัมพันธ์แย่ลงไป อีก ลองเปลี่ยนมุมมองหรือตั้งคำถามใหม่สิว่า "แล้วเราล่ะ เข้าใจเขาบ้างหรือเปล่า"

การถามแบบนี้อาจช่วยให้เราพบสาเหตุที่แท้จริงของปัญหาก็ได้ เพราะอันที่จริง เราเองก็คงไม่ได้เข้า ใจเหมือนกัน สัมพันธภาพของผู้คนมักมีปัญหาก็เพราะทุกคนคิดแต่จะเรียกร้องให้คนอื่นเข้าใจตนเอง แต่ไม่พยายามหรือ แม้กระทั่งคิดที่จะเข้าใจคนอื่น ถึงตรงนี้ คำถามไม่ได้อยู่ที่ว่า "ทำไมเขาไม่เข้าใจเรา" แต่อยู่ที่ " ทำไมเราถึงไม่เข้าใจเขา" และ"ทำอย่างไร เราถึงจะเข้าใจเขาได้" ในทำนองเดียวกัน สำหรับคนที่ชอบบ่นในใจว่า "ทำไมฉันถึงซวยอย่างนี้" หากเปลี่ยนมาถามตัวเองว่า "ทำไมฉันชอบบ่นอย่างนี้" เขาอาจได้คิดและลุกขึ้นมาสู้ใหม่ ไม่ทดท้อหรืองอมืองอเท้าเหมือนเก่า

การรู้จักตั้งคำถามเป็นศิลปะสำคัญอย่างหนึ่งของชีวิต ทุกวันนี้เราถูกสอนให้สนใจคำตอบ จนลืมว่าคำถาม นั้นสำคัญกว่าคำตอบมาก คำถามนั้นเป็นตัวกำหนดคำตอบ พูดอีกอย่างก็คือ คำถามเป็นตัวกำหนดความคิด และการกระทำของเรา ถ้าตั้งคำถามผิดก็พาความคิดของเราเข้ารกเข้าพง ซ้ำอาจพาชีวิตหลงทางไปด้วย เด็ก (และผู้ใหญ่) หลายคน ชอบถามในใจเวลามีงานมากองอยู่ข้างหน้าว่า "ฉันจะทำได้หรือ"

คำถาม อย่างนี้ชวนให้ท้อ แต่ความรู้สึกของเขาจะเปลี่ยนไป หากเขาถามตัวเองใหม่ว่า "ทำไมฉันจะทำไม่ได้" อย่างไรก็ตาม บ่อยครั้งอุปสรรคไม่ได้อยู่ตรงที่ว่าทำได้หรือไม่ได้ หากอยู่ที่แรงจูงใจ

มีคำถามหนึ่งซึ่งคุณหมอประเวศ วะสี บอกว่า เป็นคำถามที่น่าเกลียดที่สุด แต่เป็นคำถามที่กำลังระบาด ไปทั่วสังคมไทย นั่นก็คือ คำถามว่า "ทำแล้วฉันจะได้อะไร" คำถามอย่างนี้ทำให้คนเห็นแก่ตัวมากขึ้น ทำให้จิตใจแคบลง และหาความสุขได้ยาก

จะไม่ดีกว่าหรือ หากเราถามใหม่ว่า "ทำแล้วส่วนรวม (หรือสังคม) จะได้อะไร" การคำนึงถึงส่วนรวมโดยเริ่มต้นจากคำถามแบบนี้ จะช่วยให้สังคมไทยน่าอยู่มากขึ้น และคนที่เสียสละ เพื่อส่วนรวมก็จะได้ไม่ต้องมาคอยตอบคำถามของญาติมิตรว่า "ทำแล้วเธอได้อะไร" หรือถูกตั้งข้อสงสัย ว่า "ได้ไปเท่าไหร่" การถามว่า ใคร กับ ทำไม ก็ให้ผลที่แตกต่างกันมาก เวลาเกิดเหตุร้ายขึ้นมา คนส่วนใหญ่มักสนใจว่า ใครทำ

แต่ไม่ค่อยถามว่า ทำไมเขาจึงทำ คำถามแรก นั้นเพียงแต่สนองความอยากรู้อยากเห็น แต่คำถามหลังช่วยให้เห็นสาเหตุของปัญหา และอาจนำมาเป็น บทเรียนแก่ตนเองได้

คุณโสภณ สุภาพงษ์ เล่าว่า ตอนที่ไปบริหารโรงกลั่นน้ำมันบางจากใหม่ๆ โรงกลั่นอยู่ในสภาพทรุดโทรม มาก อุบัติเหตุเกิดขึ้นประจำ ขาดทุนมหาศาล ขณะที่ขวัญของพนักงานก็ไม่ดี เพราะมีปัญหาสืบเนื่องจากเจ้าของเดิม คุณโสภณเล่าว่า เวลาเกิดอุบัติเหตุในโรงกลั่นจะไม่ถามพนักงานว่า "ใครทำ" แต่จะถามว่า "ทำไมถึงเกิดขึ้น"

วิธีการดังกล่าวมีผลคือ ทำให้พนักงานช่วยกันหาสาเหตุและวิธีป้องกันแก้ไข แทนที่จะซัดทอดหรือกล่าว โทษกัน ซึ่งมีแต่จะทำให้แตกความสามัคคีกันมากขึ้น ในเวลาไม่นานโรงกลั่นก็แทบไม่มีอุบัติเหตุเลย กำไรก็เพิ่มมากขึ้น จนมีสถานะมั่นคงส่วนพนักงานก็ทำงานอย่างมีความสุขและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม คงไม่มีคำถามใดสำคัญเท่ากับคำถามเกี่ยวกับชีวิตจิตใจของเราเอง ถ้าเราเริ่มรู้สึก เหนื่อยอ่อนกับการถามตัวเองไม่รู้จบว่า "เมื่อไหร่ฉันถึงจะรวยเสียที" ลองเปลี่ยนมาเป็นคำถามว่า " เมื่อไหร่ฉันถึงจะพอใจกับความรวยของฉันเสียที" ลองเหลียวดูรอบตัวเถิด ตอนนี้คุณอาจร่ำรวยอยู่แล้วก็ได้ แต่ยังไม่พอใจเสียที เพราะพยายามชะเง้อมองคนอื่นที่รวยกว่า ผมขอฝากไว้ว่าถึงแม้คุณจะยังไม่รวย แต่หากคุณพยายามบ่มเพาะความพอใจในสิ่งที่ตนมีแล้วคุณจะพบกับความรวยชนิดที่ไม่มีใครมาแย่งชิงไปจากคุณได้ แม้จะอิจฉาตาร้อนจนลุกเป็นไฟก็ตาม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น