...+

วันเสาร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

มหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งแรกของโลก

ถ้าจะนับอายุมหาวิทยาลัยที่มีอายุเก่าแก่มากที่สุดในโลกแล้ว สำนักอคาเดมีของเพลโตน่าจะเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของโลก เกิดขึ้นในกรีกประมาณพุทธศตวรรษที่ 2 (เพลโตเกิดเมื่อปีพุทธศักราช 116 หรือก่อนคริสตศักราช 427 ปี ตาย 347) เพลโตนักปรัชญาชาวกรีกที่ได้ตั้งสำนักสอนปรัชญาอันเป็นผลมาจากโสเครตีส ในส่วนของดินแดนตะวันออกมหาวิทยาลัยนาลันทาอันเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงของพระพุทธศาสนาในอดีตน่าจะเป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่มากที่สุด เกิดขึ้นในสมัยพระเจ้าอโศกมหราชประมาณพุทธศตวรรษที่ 2
พระเจ้าอโศกมหาราช ปรารภถึงสถานที่ประสูติและนิพพานของพระสารีบุตร อัครสาวกเบื้องขวาของพระพุทธเจ้า จึงให้สร้างสถูปเจดีย์เพื่อเป็นสิ่งระลึก นาลันทาวิหารจึงได้เกิดขึ้น ตั้งแต่บัดนั้น แต่ยังมิได้มีรูปแบบเป็นมหาวิทยาลัย เพียงแต่เป็นวัดหรือวิหาร โดยมีสถูปขนาดใหญ่เป็นที่บรรจุสารีริกธาตุของพระสารีบุตร นัยว่าในยุคแรกๆเริ่มมีการเรียนการสอนวิชาการด้านพระพุทธศาสนาในส่วนที่พระสารีบุตรชำนาญนั่นคือพระสูตรและพระวินัย
นาลันทาได้กลายเป็นศูนย์กลางการศึกษาที่สำคัญของพระพุทธศาสนาในรัชสมัยของพระเจ้าหรรษวรรธนะ (พ.ศ. 1149-1190) นาลันทาวิหารได้กลายเป็นสถานที่มีชื่อเสียงเมื่อนาครชุนนักปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาที่ยิ่งใหญ่เดินทางมาพักอาศัยที่นาลันทา พราหมณ์ชื่อสุวิษนุได้สร้างวิหารขึ้นถึง 108 หลัง ส่วนความสำคัญของนาลันทาเริ่มต้นขึ้นประมาณพุทธศตวรรษที่ 11-12 ในสมัยราชวงศ์คุปตะ จากบันทึกของหลวงจีนเหี้ยนจังระบุไว้ว่ามีกษัติริย์ถึง 6พระองค์ให้การอุปถัมภ์พระอารามแห่งนี้ แต่ละพระองค์ได้สร้างวิหารขนาดใหญ่ขึ้นและทรงให้การอุปถัมภ์ภิกษุที่อาศัยอยู่ในแต่ละวิหาร
พอมาถึงสมัยราชวงศ์ปาละ นาลันทาก็ได้เจริญจนถึงระดับสูงสุด ได้กลายเป็นจุดศูนย์กลางของพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานและวัชรยาน บันทึกของหลวงจีนเหี้ยนจังได้กล่าวถึงนาลันทาวิหารไว้อย่างน่าสนใจดังนี้ “พระเจ้าศักราทิตย์ ได้สร้างอารามขึ้น ณ ที่นี้ด้วยความเคารพเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า เมื่อพระองค์ทิวงคตแล้วราชโอรสผู้สืบราสมบัติทรงพระนามว่าพระเจ้าพุทธคุปต์ ก็ได้สร้างอารามขึ้นอีกแห่งหนึ่งติดต่อกับทางด้านทิศใต้ สืบมาจนถึงพระโอรสของพระองค์ทรงพระนามว่าพระเจ้าตถาคตราชา ได้ทรงสร้างอารามขึ้นอีกทางด้านตะวันออก ครั้นเมื่อพระราชโอรสของพระราชาองค์นี้ขึ้นครองราชสมบัติทรงพระนามว่าพระเจ้าพาลาทิตย์ ก็ได้ทรงสร้างอารามขึ้นทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือ ภายหลังทรงทราบว่ามีพระอริยสงฆ์จากประเทศจีนมารับบิณฑบาต จึงบังเกิดความเลื่อมใสสละราชสมบัติออกทรงผนวช ราชโอรสพระนามว่าวชิรราชาขึ้นครองราชย์ ได้ทรงสร้างอารามขึ้นอีกทางด้านทิศเหนือ หลังจากนั้นยังมีกษัตริย์แห่งภาคกลางของอินเดีย ได้ทรงสร้างอารามขึ้นอย่างต่อเนื่องกับข้างนี้อีกหลายแห่ง ฉะนั้นพระมหากษัตริย์ 6 พระองค์ จึงทรงมีส่วนร่วมสถาปนาต่อเนื่องสืบกันมา”
ในขณะที่หลวงจีนเหี้ยนจังพักอยู่ที่นาลันทานั้นได้รับการอุปัฏฐากเป็นอย่างดีจากบันทึกตอนหนึ่งว่า “ของถวายประจำวันมีชัมพีระ(ส้มชนิดหนึ่ง) 120 ผล หมาก 20 ผล กะวาน 20 ผล การบูร 1 ตำลึง ข้าวมหาสาลี 1 เซ็ง ข้าวชนิดนี้เม็ดใหญ่กว่าถั่วดำ เมื่อหุงสุกแล้วมีกลิ่นหอม ไม่มีข้าวอื่นเสมอเหมือนและปลูกได้แต่ในแคว้นมคธแห่งเดียวไม่ปรากฎมีในแห่งอื่น ข้าวนี้เป็นของถวายพระราชาและผู้ทรงศีลชั้นสูง จึงได้ชื่อว่าเป็นข้าวถวาย นอกจากของถวายเหล่านี้ยังมีน้ำมันเดือนละ 3 เต๊าและเครื่องบริโภคอื่นๆเช่นนม เนย ก็มีมีเพียงพอแก่ความต้องการประจำวัน กับยังจัดให้มีอุบาสก 1 คนพราหมณ์ 1 คน เป็นผู้รับใช้ และเมื่อจะไปที่แห่งใดๆ ก็ขึ้นหลังช้างที่มีกูปพร้อม” ผู้ที่ได้รับความเคารพในระดับนี้ในเวลานั้นมีเพียง 10 รูป ส่วนภิกษุรูปอื่นๆ มีชีวิตความเป็นอยู่ตามอัตภาพในฐานะนักศึกษา


ภิกษุที่ศึกษาอยู่ที่นาลันทาวิหารนั้นมีทั้งอยู่ประจำและอาคันตุกะจากที่อื่นเป็นจำนวนนับหมื่น สถานที่เป็นที่พักของสงฆ์เป็นหอสูงจากบันทึกว่า “หอที่พำนักของสงฆ์ล้วนเป็นหอสูง 4 ชั้น ชายคาสูงตระหง่านเป็นนาคเลื้อย ขื่อโค้งเหมือนเส้นรุ้งมีเสารับสีแดงยอดและฐานเสามีลวดลายอย่างวิจิตรงดงาม ซึ่งตรงกับกรอบหน้าต่างเครื่องประกอบหลังคาล้วนประดับประดาอย่างประณีต เมื่อแสงอาทิตย์ส่องต้องหลังคาแลระยับจับตางามยิ่งนัก”
ในด้านการศึกษาหลวงจีนเหี้ยนบันทึกไว้ว่า “สังฆารามในอินเดียมีมากหลายนับด้วยจำนวนพันและหมื่น แต่กล่าวเฉพาะความงามและสูงแล้ว จัดว่าอารามนี้เป็นเด่นยิ่งกว่าแห่งอื่นทั้งสิ้น พระภิกษุสงฆ์ในอารามสงฆ์ในอารามรวมทั้งที่มาจากที่อื่นมีจำนวนนับหมื่น ล้วนศึกษาในลัทธิมหายาน แต่ลัทธินิกายต่างๆ ทั้ง 18 นิกายก็ได้ศึกษาควบคู่กันไปด้วย”
จำนวนนักศึกษาและอาจารย์ที่อยู่ในนาลันทาวิหาร เอ. โกส นักเขียนชาวอินเดียระบุไว้ใกล้เคียงกับหลวงจีนเหี้ยนจังคือ “นาลันทาเป็นมหาวิทยาลัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอินเดียในอดีตมีนักศึกษาจำนวน 9,500 รูป, อาจารย์ 1,510 รูป พักอาศัยอยู่ภายในวิหารในอารามเดียวกันนั่นเอง” (A. Ghosh,History of Nalanda, p.15)
จากสภาพปัจจุบันที่ผู้เขียนได้ไปเยี่ยมชมนั้นต้องขอทำความเข้าใจคำว่า“วิหาร” “อาราม” และ “วัด” ให้ชัดเจนก่อน อารามหมายถึงสถานทั้งหมดที่เรียกว่าวัดเหมือนบ้านเรา ส่วนวิหารคล้ายๆกับคณะแต่คณะที่แยกปกครองภายในวัดหนึ่งๆ มีเจ้าคณะหรือหัวหน้าวิหาร แต่ก็อยู่ในการกำกับดูแลของเจ้าอารามหรือเจ้าอาวาสอีกทีหนึ่ง ส่วนวัดคืออารามหลายอารามมารวมกันเรียกว่าวัด ดังนั้นนาลันทาจึงน่าจะเรียกว่าวัดหนึ่ง แต่มีอารามเป็นร้อยอารามและมีวิหารเป็นพันแห่ง ผู้เขียนคิดถึงมหาวิทยาลัยในเมืองไทยซึ่งแบ่งเป็นคณะแต่ละคณะมีคณบดีเป็นหัวหน้า ในคณะยังแบ่งเป็นภาควิชา ในแต่ละมหาวิทยาลัยมีหลายคณะ แต่คณะก็ขึ้นตรงต่ออธิการบดี ถ้าจะเปรียบนาลันทาในอดีตแล้ว วิหารคือภาควิชา อารามคือคณะ ส่วนวัดคือมหาวิทยาลัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยนาลันทาเรียกว่าอธิบดีสงฆ์แห่งนาลันทา การเปรียบเทียบนี้ผู้เขียนคิดเองจากหลักฐานตามที่ได้เห็นมา



ในแต่ละวิหารจะมีกำแพงกั้นชัดเจน มีประตูใหญ่ทางเข้าหนึ่งประตู พอเดินเข้าไปสิ่งแรกที่เห็นคือบ่อน้ำขนาดใหญ่ 1 บ่ออยู่ตรงกลางวิหาร ล้อมรอบด้วยห้องพัก แต่ละห้องมีสองเตียง เตียงหนึ่งสำหรับนักศึกษารุ่นพี่ ส่วนอีกเตียงสำหรับนักศึกษารุ่นน้อง เป็นระบบของพี่สอนน้อง ภายในวิหารหนึ่งๆจะมีห้องสวดมนตร์หรือห้องประชุมกลางขนาดใหญ่ 1 ห้อง วิหารจึงเป็นเพียงที่พักและที่ประชุมสำหรับภิกษุในแต่ละนิกาย ในวิหารหนึ่งจะมีเจ้าคณะหรือหัวหน้าวิหารเป็นผู้รับผิดชอบดูแลหมู่คณะ น่าจะอยู่ได้ประมาณ 100 รูปขึ้นไป เพราะหลวงจีนบอกว่าวิหารแต่ละแห่งสูง 4 ชั้น แต่ละชั้นมีที่พักหลายสิบห้องๆหนึ่งๆ อยู่สองรูป
วิหารแต่ละแห่งอยู่ติดกันเป็นแถวที่เหลือซากให้เห็นในปัจจุบันเรียงรายเป็นระเบียบยาวประมาณ 1 กิโลเมตร มีวิหารประมาณ 8 แห่งอยู่ติดกันรวมเรียกว่าหนึ่งอาราม ในแต่ละอารามก็จะมีหัวหน้าอารามอาจารย์เป็นผู้ดูแลอีกทีหนึ่ง อารามในอดีตที่นาลันทาจึงมีมาก แต่ก็อยู่ภายใต้การปกครองของอธิบดีสงฆ์แห่งนาลันทา ซึ่งเลือกมาจากหัวหน้าอารามต่างๆ นั่นเอง

มหาวิทยาลัยนาลันทา


มหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งแรกของโลก

************


นาลันทาในปัจจุบัน


มหาวิทยาลัยนาลันทา เริ่มสร้างขึ้นครั้งแรก ตั้งแต่สมัย พระเจ้าอโศกมหาราช แห่งราชวงศ์โมริยะ ประมาณพุทธศตวรรษที่ 3. และมีการสร้าง ติดต่อกันเรื่อยมา อีกหลายยุคหลายสมัย โดยประสงค์ จะให้เป็นสถานศึกษา แก่พระภิกษุสงฆ์ ในพระพุทธศาสนา.

ต่อมา ก็มีการก่อสร้างส่วนอื่นๆ เพิ่มเติมขึ้นมา อีกมากมาย ตลอดระยะเวลา อันยาวไกล นับตั้งแต่พระเจ้าแผ่นดิน ในราชวงศ์คุปตะ, ราชวงศ์ปาละ และพระเจ้าแผ่นดินแห่งชวา สุมาตรา อินโดนีเซีย เป็นต้น.

ราวพุทธศตวรรษที่ 7-8 นาคารชุน คณาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ แห่งลัทธินิกายมหายาน ได้เดินทางไป ยังปูชนียสถานสำคัญๆ หลายแห่ง พร้อมกับท่าน อารยเทวะ ผู้เป็นศิษย์ แล้วท่านก็ได้เดินทาง มาถึงนาลันทา.

ภายในระยะเวลาเพียง 1-2 ศตวรรษ จากเวลา ที่ท่านนาคารชุน เดินทางมาถึงนาลันทา. ต่อจากนั้น นาลันทา ก็ได้กลายเป็นศูนย์กลาง แห่งพระพุทธศาสนา นิกายมหายาน ที่สำคัญยิ่ง. ขณะนั้น มหาวิทยาลัยนาลันทา กำลังเจริญรุ่งเรืองเต็มที่.

ต่อมา ในราวพุทธศตวรรษที่ 9 ได้เกิดคณาจารย์ที่สำคัญ ของนิกายมหายานขึ้น อีกท่านหนึ่ง นามว่า “อสังคะ” ท่านผู้นี้ เป็นผู้ประกาศหลักธรรม “ลัทธิโยคาจาร” ท่านได้ใช้ช่วงเวลา 12 ปีสุดท้าย แห่งชีวิตของท่าน ที่นาลันทาแห่งนี้.

เมื่อพระภิกษุอสังคะ ได้มรณภาพลง น้องชายของท่าน มีนามว่า “ภิกษุวสุพันธ์” ผู้เป็นนักปราชญ์ คนสำคัญ แห่งลัทธิโยคาจาร ได้เป็นประธานสงฆ์ บริหารมหาวิทยาลัยนาลันทา สืบต่อมา.

ในสมัยคุปตะ ซึ่งจัดเป็นยุคทอง แห่งประวัติศาสตร์ของอินเดีย ในยุคนี้ มีพัฒนาการในด้านต่างๆ เกี่ยวกับ ชีวิต วัฒนธรรม และแนวความคิด ทางศาสนา ของอินเดีย ได้เป็นไปอย่างกว้างขวาง.

หลักฐานจากศิลาจารึก ตลอดจนหลักฐาน ทางโบราณคดี ได้เปิดเผย ให้เห็นถึง ความเจริญรุ่งเรืองสูงสุด ของพระพุทธศาสนา ในยุคนี้ แม้ว่าพระพุทธศาสนา จะไม่ได้เป็น ศาสนาทางราชการ ตลอดทั่วทุกแคว้น ในมัชฌิมประเทศ.



ซากปรักหักพังของนาลันทามหาวิหาร อาจทำให้เรานึกได้ว่า ครั้งหนึ่งพระพุทธศาสนาในอินเดียได้เจริญรุ่งเรืองอย่างสูง แต่ก็ได้ผันผวนตกต่ำลงไปตามหลักเหตุปัจจัย อันเป็นหลักสำคัญในพุทธธรรมนั่นเอง


มหาวิทยาลัยสงฆ์นาลันทาสมัยเฮียงจัง

ในสมัยของหลวงจีนเฮียงจัง ราวพุทธศตวรรษที่ 12-13 นั้น, พระเจ้าหรรษวรรธนะ ทรงเป็นองค์อุปถัมภก ที่สำคัญยิ่ง ของพระพุทธศาสนา
พระองค์ได้ทรงทำนุบำรุง มหาวิทยาลัยนาลันทา ด้วยศรัทธาอันแก่กล้า, ทรงอุทิศส่วย จากหมู่บ้าน 100 หมู่บ้าน ให้เป็นปัจจัย บำรุงมหาวิทยาลัย และมีบัญชาให้ หัวหน้าครอบครัว 200 ครอบครัว บำรุงพระภิกษุ ที่อยู่ในมหาวิทยาลัย ด้วยภัตตาหาร เช่น ข้าว เนย และนม เป็นประจำ, โดยพระภิกษุเหล่านั้น ไม่ต้องออกไป บิณฑบาตข้างนอก.

นักศึกษาแห่งนาลันทา ไม่ต้องมีความกังวล เกี่ยวกับเรื่องปัจจัยสี่นี้เลย ฉะนั้น จึงสามารถอุทิศเวลาทั้งหมด ให้แก่การศึกษา ได้เต็มที่.
พระเจ้าหรรษวรรธนะ ทรงเคารพยกย่องพระภิกษุ แห่งมหาวิทยาลัย นาลันทา เป็นอย่างยิ่ง พระองค์ทรงโปรดให้ พระนักศึกษาแห่งนาลันทา ประมาณ 1000 รูป เข้าร่วมรัชสภา ที่กะเนาซ์ ด้วย.

หลวงจีนเฮียงจัง ได้กล่าวถึง มหาวิทยาลัยนาลันทา ไว้อย่างชัดเจน แสดงถึงความใหญ่โต และมาตรฐานการศึกษา อันสูงกว่า สถาบันการศึกษาอื่นๆ ทั้งหมด ที่มีอยู่ในตะวันออกโบราณ.

ในสมัยนั้น มหาวิทยาลัยนาลันทา เจริญรุ่งเรืองมาก เป็นมหาวิทยาลัย ที่ใหญ่ที่สุด เก่าแก่ที่สุด มีชื่อเสียงมากที่สุด
มีห้องประชุมขนาดใหญ่ ซึ่งบรรจุผู้ฟัง ได้มากกว่าพันคนขึ้นไป มีถึง 8 ห้อง, มีห้องเรียนกว่า 300 ห้อง, มีห้องพระคัมภีร์ขนาดใหญ่ และมีหอพักนักศึกษา ในมหาวิทยาลัยพร้อม โดยมีโรงครัว ยุ้งฉาง สำหรับการหุงหาอาหาร เลี้ยงพระนักศึกษา เหล่านั้นด้วย.

ในมหาวิทยาลัยนาลันทาทั้งหมด มีที่พักสำหรับนักศึกษาถึง 10,000 คน พร้อมด้วย อาจารย์ผู้วชาญ อีกประมาณ 1,500 คน มีกฎเกณฑ์เข้มงวดมาก นักศึกษาผู้เข้าใหม่ กว่าจะถูกรับเข้าสถาบันได้ จะต้องผ่านการทดสอบมากมาย. พระนักศึกษาแห่งนาลันทา ได้รับการยกย่องอย่างสูง จากทั่วทุกแห่ง.
พระภิกษุที่เรียนอยู่นี้ มีพระเจ้าแผ่นดิน เป็นองค์อุปถัมภ์ การเป็นอยู่ทุกอย่าง ให้เปล่าหมด ทั้งนี้เพื่อประสงค์ที่จะให้ สืบทอดพระพุทธศาสนา ให้มีหลักธรรม ที่ลึกซึ้งและถูกต้อง ทั้งภายใน และภายนอกประเทศ ซึ่งก็ปรากฏว่า มีพระภิกษุจากต่างแดน ได้เดินทาง เข้ามาเรียนที่นี่เช่นกัน เช่น หลวงจีนเฮียงจัง (พระถังซัมจั๋ง) เป็นต้น.

ในระยะก่อน ที่หลวงจีนเฮียงจัง จะได้เข้ามาศึกษา ในมหาวิทยาลัยนาลันทา เล็กน้อย ท่านอาจาริยะ ธัมมปาละ ได้เป็นประมุขสงฆ์ หลังจากท่านองค์นี้แล้ว ศิษย์ของท่านชื่อ อาจาริยะ ศีลภัทระ ผู้เป็นโอรส ของกษัตริย์แห่งสมตาฎ (แคว้นเบงกอลทางใต้) เป็นอธิบดีสงฆ์ต่อมา ซึ่งท่านองค์นี้ เป็นอาจารย์สอน พุทธปรัชญา ให้แก่หลวงจีนเฮียงจัง เป็นเวลา 5 ปี.

วิชาที่หลวงจีนเฮียงจัง ได้ศึกษา ในมหาวิทยาลัยนาลันทา ได้แก่ คัมภีร์พระพุทธศาสนา ทั้งหินยาน และมหายาน, เหตุวิทยา (Logic), ศัพท์วิทยา (Gramma), จิกิตสาวิทยา (Medical Sciences), พระเวทย์ทั้งหลาย และ สางขยศาสตร์ เป็นต้น.

ในการเรียนการสอน ในมหาวิทยาลัยนาลันทานั้น มีการสอนวิชาต่างๆ มากมาย เช่น พุทธปรัชญา ไวยากรณ์ วรรณคดี แพทยศาสตร์ และมีวิชาบังคับ พระไตรปิฎก เป็นต้น.

หลังจากสิ้นรัชสมัยของ พระเจ้าหรรษวรรธนะแล้ว พระพุทธศาสนา ในมัชฌิมประเทศ เริ่มเสื่อมลงๆ. หลวงจีนเฮียงจังได้เล่าว่า ท่านได้เห็นศูนย์กลาง ทางพระพุทธศาสนา หลายแห่ง ตกอยู่ในสภาพเสื่อมโทรม แม้ในนครสาวัตถี เมืองปยาคะ และที่อื่นๆ วัดในทางพระพุทธศาสนา ได้ลดจำนวนน้อยลง แต่ในขณะเดียวกัน เทวาลัย และสถานบูชา ของพวกต่างศาสนา กลับมีจำนวนเพิ่มขึ้น, มีแต่ในแคว้นมคธ ภายใต้การอุปถัมภ์ บำรุงของกษัตริย์ ราชวงศ์ปาละ แห่งเบงกอล และพิหารเท่านั้น ที่พระพุทธศาสนา ได้เจริญรุ่งเรือง ต่อมาอีก 2-3 ศตวรรษ.



- ซ่อนข้อความที่ยกมา -
พระถังซำจั๋งเมื่อครั้งเดินทางมาถึงนาลันทามหาวิหาร
(ภาพดัดแปลงจากหนังสือ ภาพประวัติ พระถังซัมจั๋ง เรียบเรียงโดย ล. เสถียรสุต)


มหาวิทยาลัยนาลันทาในสมัยปาละ

จนมาถึงรัชสมัย ของพระเจ้าเทวปาละ (พ.ศ.1358-1397) พาลปุตรเทวะ แห่งสุมาตรา ได้สร้างวิหารขึ้นหลังหนึ่ง ที่มหาวิทยาลัยนาลันทา และพาลปุตรเทวะ ได้ขอร้องให้กษัตริย์เทวปาละ ยกผลประโยชน์ 5 ตำบลในแคว้นมคธ เพื่อการบำรุงภิกษุ ที่ได้ทำการคัดลอกคัมภีร์ พระพุทธศาสนาให้
และพระเจ้าเทวปาละ ยังได้ทรงแต่งตั้ง ภิกษุรูปหนึ่งชื่อ พระวีรเทวะ ผู้เป็นบุตรของ อินทรคุปตะ แห่งรคาหาร (ขณะนี้ อยู่ในปากีสถานตะวันตก) เป็นผู้บริหาร นาลันทามหาวิหาร

นอกจากนี้ เมื่อพระเจ้าเทวปาละ ครองราชย์ได้ 35 ปี ได้สร้างรูปเจ้าแม่ตารา และมีการจารึกอักษร ที่ได้กล่าวถึงชื่อ มัญชุศรีเทวะ.
เมื่อกษัตริย์โคปาละที่ 2 ครองราชย์ในปีแรกๆ (พ.ศ.1478-1535) ได้ทรงสร้างรูปวาคีศวรี ให้เป็นเทพเจ้า แห่งความรู้ ของชาวพุทธ แล้วนำไปประดิษฐาน ไว้ที่นาลันทา.

ในปีที่ 6 แห่งการครองราชย์ ของกษัตริย์มปาละที่ 1 (พ.ศ. 1535-1583) ได้มีการซ่อมแซม สถาบันนาลันทา ซึ่งได้ถูกไฟไหม้ นอกจากนี้ ยังได้มีนักศึกษา นาลันทาผู้หนึ่ง ชื่อ กัลยาณมิตร จินตามณี ได้ทำการคัดลอกคัมภีร์ อัศฏสาหัสริกา.

ส่วนคัมภีร์ ปรัชญาปารมิตา คัมภีร์นี้ได้ถูกคัดลอก 2 ครั้งที่นาลันทา คืออีกครั้งในสมัยของรามปาละ ด้วย.

สมัยจักรพรรดิ แห่งวงศ์ปาละ ได้ปกครองอินเดียตะวันออก ซึ่งรวมดินแดน ของมคธด้วย เป็นเวลาประมาณ 400 ปี (จากพุทธศตวรรษที่ 14-18). กษัตริย์เกือบทุกพระองค์ ได้เป็นผู้อุปถัมภ์ พระพุทธศาสนา อย่างเข้มแข็ง ได้ถวายความอุปการะ แก่สถาบันนาลันทา ด้วยดีตลอดมา.

การล่มสลายของมหาวิทยาลัยนาลันทา

มหาวิทยาลัยนาลันทานี้ เจริญอยู่ได้ประมาณ 800 ปี จึงเริ่มเสื่อมสลายลง, แม้ว่า จะกำหนดระยะเวลา ที่นาลันทาได้เสื่อมสลายลงไป ให้แน่นอนไม่ได้ ก็ตาม, ก็ยังมีหลักฐาน พอที่จะกล่าวว่า

ความร่วงโรย ของสถาบันนาลันทานั้น ได้เกิดขึ้น พร้อมกับ การที่พระพุทธศาสนา เริ่มเสื่อมสูญ ไปจากอินเดีย. หลวงจีนเฮียงจัง ได้เห็นลักษณะ ที่จะก่อให้เกิดความเสื่อม มีอยู่ทั่วอินเดีย. แม้ว่า ในครั้งนั้น นาลันทายังเป็นศูนย์กลาง แห่งพระพุทธศาสนา ที่กำลังเจริญรุ่งเรืองก็ตาม.
การที่นาลันทา ถูกไฟไหม้ ก่อให้เกิดความเสียหาย อย่างมากมาย หลวงจีนเฮียงจัง สามารถมองเห็น ความวิบัติ ที่จะมีแก่สถาบันนาลันทาแล้ว.
หลวงจีนเฮียงจังเล่าว่า เมื่อท่านมาถึงนาลันทา มีพระภิกษุ อยู่ในนาลันทาถึง 10,000 รูป แต่ต่อมา พอหลวงจีนอี้จิง มาถึงอินเดีย หลังจากท่านไม่กี่ปี ก็ได้พบว่า มีพระภิกษุในนาลันทาเพียง 3,000 รูป เท่านั้น.

ความเสื่อมโทรมลง ของพระพุทธศาสนา ทั้งในนิกายเถรวาท และมหายาน ยิ่งมากขึ้นไปอีก เมื่อได้มีการเกิดขึ้น ของนิกายตันตระ ซึ่งในนิกายนี้ ได้เอาหลักคำสอนมาจาก การผสมผสาน ของคำสอนในลัทธิโยคะ กับวิธีการบูชาบวงสรวง แบบต่างๆ หลายแบบ
พระพุทธศาสนา แบบดั่งเดิม ได้ถูกกลืนหายไป ในลัทธิลึกลับ ที่เกิดขึ้นใหม่นี้ .

ความเสื่อมสลาย ของพระพุทธศาสนา ไปจากอินเดียนี้ อาจจะเกิดจาก นักปรัชญาผู้ยิ่งใหญ่ ของศาสนาพราหมณ์ เช่นท่านกุมาริละ และ ศังกราจารย์ ที่ได้ทำให้ วงการพระพุทธศาสนา สั่นสะเทือน

แต่เหตุการณ์ ที่ทำลาย มหาวิทยาลัยนาลันทา อย่างรุนแรง คือการที่ พวกมุสลิมบุกรุก เข้ามาฆ่าและทำลาย.
มินฮัช (Minhaj) นักประวัติศาสตร์ มุสลิมได้เล่าถึง โมฮัมเม็ด บุขเตียร์ (Mohammed Bukhtiar) ทำลายเมืองๆหนึ่ง ในแคว้นพิหารตะวันตก ซึ่งเป็นแหล่งวิชาการ ของพระพุทธศาสนา แห่งหนึ่ง เมืองนี้ก็คือนาลันทา นั่นเอง.

ข้อมูลบางแหล่งว่า พวกมุสลิมซึ่งมีแม่ทัพชื่อ บักตยาร์ ขิลจิ พร้อมทหาร 200 คน บุกเข้ามาฆ่าพระสงฆ์ องค์แล้วองค์เล่า แต่พระภิกษุสงฆ์เหล่านั้น ก็ยังคงนั่งกันเฉย ไม่ลุกหนี ไม่ต่อสู้.

บางท่านเล่าถึง การบุกโจมตีนาลันทาว่า “ป้อมปราการที่นี่ ช่างน่าแปลก นักรบทุกคน ล้วนแต่นุ่งห่มสีเหลือง โกนหัวโล้น ไม่มีอาวุธในมือ นั่งกันอยู่เป็นแถวๆ เมื่อเราบุกเข้าไปถึง ก็ไม่ลุกหนี ไม่ต่อสู้ เมื่อเราเอามีดฟันคอขาด คนแล้วคนเล่า ก็ยังนั่งกันอยู่เฉยๆ ไม่ร้องขอชีวิต ไม่โอดครวญ”
ตารนาถกล่าวว่า มุสลิมได้สร้างความพินาศ ย่อยยับ ให้แก่นาลันทา, โดยฆ่าพระภิกษุ อย่างมเกรียม บุกรุกทำลาย จุดไฟเผา จนนาลันทา กลายสภาพ เป็นเถ้าถ่านไป ในที่สุด.

พวกมุสลิม ยังได้เผาทำลาย ตำรับตำราต่างๆ ในทางพระพุทธศาสนา ในมหาวิทยาลัยนาลันทา จนหมดสิ้น. กล่าวกันว่า เผาตำรับตำราอยู่ถึง 3 เดือน จึงได้เผาหมด.

นอกจากนี้มุสลิม ยังเอาไฟคอกพระภิกษุ โดยหวังจะให้ตายให้หมด แต่ก็ยังมี พระส่วนน้อยที่หนีไปได้ โดยหนีเข้าไปอยู่ ในธิเบตบ้าง เนปาลบ้าง.
เมื่อได้ฆ่าและเผาแล้ว พวกมุสลิม ยังได้ขนเอาทรัพย์สมบัติ อันมหาศาลไปด้วย. มุสลิมนั้น หวังจะทำลาย พระพุทธศาสนา ให้หมดสิ้น ไปจากอินเดีย.
ด้วยเหตุนี้ มหาวิทยาลัยนาลันทา อันเป็นศูนย์กลาง แห่งพระพุทธศาสนา อันเจริญรุ่งเรือง มานานแสนนาน ก็ถึงจุดจบ ด้วยน้ำมือของมุสลิม และด้วยการปฏิรูป ของศาสนาพราหมณ์.


แหล่งข้อมูลที่น่าอ่านเพิ่มเติม.-

-หนังสือ ถังซำจั๋ง จดหมายเหตุการเดินทางสู่ดินแดนตะวันตกของมหาราชวงศ์ถัง เขียนโดย ชิว ซูหลุน สำนักพิมพ์มติชน (ISBN 974-323-332-6) หน้า 379-386
-หนังสือ จาริกบุญ จารึกธรรม เขียนโดยท่านพระธรรมปิฎก (สมณศักดิ์ในขณะนั้น) สนพ. มูลนิธิพุทธธรรม (ISBN 974-7890-74-7) หน้า 46-66

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น