...+

วันอาทิตย์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ตามหาแก่นธรรม 100.71 เออ...เอ็งเก่ง

สติเป็นพื้นฐานแห่งการแก้กิเลสทุกประเภท ให้พากันจำเอาไว้นะ สติเป็นสิ่งสำคัญมากทีเดียว ถ้าลงขาดสติแล้วอะไรเหลวไหลทั้งนั้น งานนอกงานในเหลวไหลไปหมด ขาดสติเสียอย่างเดียว ถ้าสติดี งานใดยิ่งละเอียดลออเข้าไปโดยลำดับ สติเป็นพื้นฐานทุกด้านทุกทาง ไม่มีคำว่าครึล้าสมัย ในธรรมทุกขั้น ขั้นหยาบ ขั้นกลาง ขั้นละเอียด ถึงขั้นสูงสุด ปราศจากสติไม่ได้เลย สติเป็นสำคัญ เป็นพื้นฐานแห่งการชำระล้างกิเลสทั้งหลาย เพราะฉะนั้นขอให้พระนำไปปฏิบัติ ใครมีสติดีคนนั้นแหละจะประคองความเพียรได้ดี สติตั้งให้มั่นคง

เช่นเราอยู่กับคำบริกรรมคำใด ให้สติติดอยู่กับคำบริกรรม หรือจิตมีความสงบ ให้ตั้งอยู่ในจุดแห่งความสงบเรื่อย ๆ ไปอย่างนี้ สติติดแนบ ๆ จำให้ดี สติเป็นพื้นฐานแห่งการชำระกิเลสทุกประเภท ไม่เหนือสติไปได้เลย นี่ได้พิจารณามาแล้ว ได้ปฏิบัติมาแล้วด้วย ที่ได้มาสอนหมู่สอนเพื่อนจึงองอาจกล้าหาญในการสอนว่าไม่ผิด เพราะเราดำเนินมาแล้ว


พระธรรมวิสุทธิมงคล วัดป่าบ้านตาด อุดรธานี (หลวงตามหาบัว คัดลอกจากthammasatu.com ขอขอบคุณมาณ.ที่นี้ด้วยครับ )




















เออ...เอ็งเก่ง

บทความนี้มีหัวข้อดีๆที่เอามาให้อ่านเป็นอาหารทางความคิดมานาน หลายข้อเขียนคุณภาพอาจจะต่ำกว่ามาตราฐานของท่านผู้อ่านบ้าง แต่ก็มีหลายบทความที่คนชมกันมาก มีผู้อ่านหลายท่านที่ผละไปจากบทความนี้ แต่ก็มีหลายท่านที่เป็นแฟนประจำ ถึงกับบอกว่าชอบอ่านบรรทัดต่อบรรทัดอย่างพี่ทวี วิศวกรหนุ่มไฟแรงและมีศรัทธาในพุทธศาสนามาก ทำเอาผู้เขียนถึงกับอึ้งเพราะเวลาเขียนไปก็ใช้ความคิดก่อนทุกตัวอักษร เกรงว่าจะผิดไปจากที่ครูบาอาจารย์ท่านสอน และจะเผยแพร่ความรู้ผิดไปสู่ท่านผู้อ่าน แม้จะมีผู้สอบทานหลายคนก็ตาม ซึ่งมันเป็นกรรมหนักดังที่ครูบาอาจารย์หลายท่านกล่าวเตือน ด้วยความบริสุทธิ์ใจ บาปบริสุทธิ์ก็ไม่เอา ดังที่เคยเรียนท่านผู้อ่านว่าบทความนี้เริ่มต้นจากเขียนให้ตัวเองอ่านครับ และยังเป็นเช่นนี้ตราบนานเท่านาน เพราะเป็นการเจริญสติ
มีผู้อ่านถามมาว่าใครนะใช้นามปากกานี้ ใครนะใช้นามปากกานั้นเพราะอาจจะรู้จักกับผู้เขียนบางท่าน เขียนได้ดีกินใจจังเลย
ขอเรียนว่าอย่าไปสนใจเลยครับ มันไม่ได้อะไรนอกจากเรื่องพูดคุย ดูที่เนื้อหรือแก่นมันเถอะครับ ยิ่งเจาะแก่นได้ถึงใจยิ่งดี ชีวิตที่สั้นๆมันมีความหมายขึ้นมาเยอะ ก็หวังว่าจะมีนามปากกาใหม่ๆที่เรืองธรรม มาช่วยชี้แนะในการตามหาแก่นธรรมที่อยู่ในตัวตนของเรานี้แหละ เชิญนะครับ สำหรับท่านที่กำลังจะขยับมือแต่ใจอยากเผยแพร่ข้อธรรมมากแล้ว
หนึ่งความเห็นดีๆมีค่ามากกว่าล้านคำพูด และหนึ่งการกระทำดีๆมีค่ามากกว่าล้านความเห็นครับ ช่วยๆกันให้พ้นไปจากทุกข์นั่นแหละดี
เคยมีคนบอกผู้เขียนเหมือนกันว่าความเห็นของผู้เขียนไม่ค่อยมีค่า แต่ผู้เขียนก็มีอาชีพขายความเห็นมานานมากแล้ว และก็ยังทำงานอาชีพนี้อยู่ บางคนบอกว่าง่าย บางคนบอกว่ายาก แต่จะง่ายหรือยากมันก็ไม่ต่าง มันเป็นเรื่องของอาชีพหนึ่งในโลกเท่านั้นเอง
คนจะรวยหรือจะจน จะดีหรือเลวก็ขึ้นอยู่กับความเห็นทั้งนั้นแหละครับ การจะไปนิพพานก็ต้องมีสัมมาทิฐิหรือความเห็นชอบ อันเป็นป้ายบอกทางป้ายแรกในทางสายกลาง ที่พระพุทธองค์ทรงชี้แนะว่าเป็นทางหลุดพ้น อักขา ตาโร ตถาตา ( พระพุทธองค์เป็นเพียงผู้บอกทาง ส่วนใครจะไปนิพพานก็แล้วแต่ตัวของท่านเอง )
ผู้เขียนมีความเชื่อว่าคนที่ดีที่สุดสามารถจะกลายเป็นคนที่เลวที่สุดได้ และคนเลวที่สุดก็สามารถกลับมาเป็นคนดีที่สุดได้เช่นกันตามกฎอนิจจลักษณะคือความไม่เที่ยงไม่แน่นอน ขึ้นอยู่ว่าคนผู้นั้นเห็นธรรมโดยเริ่มต้นจากการมีสัมมาทิฐิหรือเปล่าเท่านั้นเอง และก็เห็นเช่นนั้น
ในพระสูตรก็มีมากมายที่บุคคลที่กระทำกรรมหนักแล้วสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ก็เลยมีสำนวนในหนังกำลังภายใน ที่คนเขียนบทรู้เรื่องราวนี้นำไปเขียนขายว่า วางดาบฆ่าคนเสีย แล้วสำเร็จอรหันต์ได้ ซึ่งการฆ่าคนและการสำเร็จเป็นพระอรหันต์ เป็นการกระทำที่สุดโต่งคนละขั้วเลย
มีคนเคยพูดให้ผู้เขียนฟังว่าตัวท่านเองพบสภาวะนิพพานแล้ว ผู้เขียนก็ได้แต่รับฟังท่าน แม้จะนับถือท่านเท่าไร ก็ได้แต่ฟังเฉยๆด้วยความไม่รู้.
..ก็ได้แค่รับฟังเพราะตัวเองยังไม่มีทางพิสูจน์ได้ แต่ก็ได้ยินได้อ่านมามากแล้วเหมือนกัน ก็ยังเฉยๆครับ
ผู้เขียนเคยแบกความเห็นของผู้อื่นมามาก ทั้งความเห็นที่ดีที่ ฟังแล้วเย็นใจ และความเห็นที่ไม่ดีที่ฟังแล้วร้อนใจ ที่บ่าแบกเพราะคิดตาม บางกรณีจำเป็นต้องคิดตาม จนมาถึงในสภาวะหนึ่งตัวเองก็คิดเห็นออกมาได้ว่าา ไปแบกมันไว้ทำไม แค่ความเห็นของเรามันก็หนักแย่แล้ว เดี๋ยวตัวก็เตี้ยลงหรอก ก็เลยทุเลาเบาบางลงมามาก จนใครๆจะพูดอะไรตามที่เขาเห็น...ก็เฉยมากขึ้น
หลวงปู่ชา สุภัทโท ท่านเคยเทศน์เรื่องพระปล่อยวางเรื่องนี้หลายครั้ง ต่างกรรมต่างวาระ แต่น่าฟังทุกครั้ง เพราะมีอุบายเพิ่มมาทุกครั้งในการฝึกตัวฝึกตน
เรื่องมีอยู่ว่าพระคงแก่เรียนรูปหนึ่งท่านมากราบหลวงปู่ขอจำพรรษาที่วัดด้วยเพราะต้องการปล่อยวาง หลวงปู่ก็ให้ท่านจำวัดที่กุฎิหลังคามุงจากหลังหนึ่ง พระรูปนั้นท่านก็เคร่งในการทำสมาธิ มีอยู่วันหนึ่งลมแรง พัดหลังคามุงจากของท่านเปิดออก ท่านก็นั่งอยู่อย่างนั้น แม้ฝนจะตกแดดจะออก จนหลวงปู่ต้องเรียกท่านมาถามว่า ไม่คิดจะซ่อมหลังคาบ้างหรือ ไม่ใช่แดดออกก็หลบไปข้างหนึ่ง ฝนตกก็หลบไปอีกข้างหนึ่ง
พระรูปนั้นท่านก็บอกว่าท่านปล่อยวางถึงขนาดนี้แล้วมันไม่ดีหรือ จนถูกหลวงปู่อบรมเรื่องการดูแลเสนาสนะ และท่านก็บอกว่า การปล่อยวางแบบนี้เขาเรียกว่าเฉยๆแบบควาย
มีเรื่องของผู้เขียนอยู่เรื่องหนึ่ง เกี่ยวกับการกู้เงินกับธนาคาร เป็นการกู้เงินร่วมกับผู้อื่น เจ้าหน้าที่สินเชื่อของธนาคารยื่น เงื่อนไขมาให้กับผู้เขียนว่า ในกรณีกู้ร่วม ผู้เขียนจะต้องทำสัญญาค้ำประกันด้วย ผู้เขียนก็เลยย้ำถามท่านไปว่าจริงหรือ แล้วถามต่อไปว่าหากเกิดกรณีฟ้องร้องกันขึ้นมาแล้วศาลจะเบิกตัวผู้เขียนขึ้นศาล จะไปในฐานะไหน ผู้กู้หรือผู้ค้ำประกัน แล้วผู้เขียนทำไมต้องค้ำประกัน มันซ้ำซ้อนกัน เจ้าหน้าที่สินเชื่อผู้ทำงานมานานก็เลยคิดได้ว่าจริงแต่ก็ยังงอยู่ ใครที่ต้องติดต่อธนาคารเรื่องการกู้เงินเยอะ ต้องพิจารณาสัญญาให้ดี คนทำมานานบางทีก็เมาเหมือนกัน
อีกเรื่องหนึ่ง ผู้เขียนมีโอ/ดี กับธนาคารแห่งหนึ่งโดยมีหลักประกันเป็น บ้านและที่ดินค้ำประกันสัญญาหนึ่ง และเงินฝากจำนวนหนึ่งค้ำปะกันอีกสัญญาหนึ่ง แต่มีความจำเป็นต้องถอนเงินฝากจำนวนนั้น และคิดว่าเรื่องนี้จะเรียบร้อยด้วยดี เพราะหนี้ในธนาคารแห่งนี้ไม่มียอดคงเหลือ จากการสอบถามทางธนาคารแห่งเดียวกันกับผู้เชี่ยวชาญแล้วและกับทางธนาคารอื่นๆ ทุกคนบอกตรงกันว่าสามารถถอนเงินได้ทันทีไม่มีปัญหา แต่ที่ธนาคารที่ผู้เขียนใช้บริการ และเจ้าหน้าที่ผู้ใหญ่ท่านบอกว่าจะรีบดำเนินการให้ ผลปรากฎว่ากว่าสองอาทิตย์แล้วยังทำอะไรไม่ได้ ผู้เขียนจึงทำหนังสือไปแจ้งเจ้าหน้าที่ท่านนั้นว่าจะถอนเงินวันนี้แล้วนะ แล้วสิ่งอัศจรรย์ก็เกิดขึ้นว่าผู้เขียนสามารถถอนเงินได้ทันทีวันนี้ โดยไม่มีการชี้แจงแต่อย่างใดจากทางธนาคารว่าที่เสียเวลาและปวดหัวจะใช้เงินไปกว่าสองอาทิตย์นั้นเพราะอะไร แถมยังขอประเมินราคาหลักทรัพย์ใหม่อีกต่างหาก ผู้เขียนเป็นผู้รู้เรื่องนี้ดีเพราะเคยทำงานธนาคารมานาน และเห็นว่าเจ้าหน้าที่ๆดูแลบัญชีของผู้เขียน ท่านแล้งน้ำใจในการปฎิบัติหน้าที่หรือไม่ใส่ใจในการทำหน้าที่ของตนเองโดยไม่สนใจว่าลูกค้าจะเดือดร้อนหรือเปล่า หรือไม่รู้แล้วบอกว่ารู้ แต่ท่านก็กล่าวคำขอโทษมา ผู้เขียนให้อภัยแล้วก็เลยปล่อยท่านเป็นไปตามกรรม และบอกกับตัวเองว่าท่านพึ่งไม่ได้ เราก็หาคนใหม่ทำหน้าที่แทน
ใครที่ใช้เงินกู้กับธนาคารก็โปรดเลือกเจ้าหน้าที่ๆดูแลท่านให้ดีด้วยครับ จะได้ไม่ปวดหัวและลำบากหากมีความจำเป็นต้องใช้เงินหรือเรื่องอะไรกับธนาคาร เช่นกรณีที่เราเผลอผ่อนบ้านช้ากว่ากำหนด ก็จะโดนปรับดอกเบี้แพงมาก หากไม่ผิดพลาดบ่อย นานๆจะมีสักครั้งหนึ่งเราก็สามารถขอให้ทางธนาคารที่ใช้บริการยกเว้นให้ได้เป็นส่วนใหญ่ กฎระเบียบมีไว้สำหรับห้ามการทำไม่ดี แต่ก็มีข้อยกเว้น ขึ้นอยู่กับผู้ใช้กฎระเบียบมาว่าจบ นิติศาสตร์มาว่า เถรตรงตามตัวสัญญา หรือจบร้ฐศาสตร์มาก็จะโอนอ่อนผ่อนปรน หากจบพุทธศาสตร์มาเรื่องยากก็จะกลายเป็นเรื่องง่าย และเรื่องเล็กก็จะกลายเป็นเรื่องขี้ผง ปัดเป่าออกไปให้ท่านครับ
ในขณะจิตใดขณะจิตหนึ่ง ที่มีอารมณ์มาแซกแทรง หรือกระทบใจจากสัมผัสหรือผัสสะ ยากที่บุคคลธรรมดาจะสะกดระงับ ได้หากไม่ได้ฝึกใจให้แข็งแรง การเจริญสติปัฎฐานไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นหรือเบื้องปลาย ล้วนแล้วแต่มีคุณเอนกอนันต์ เพราะสติที่ประกอบไปด้วยสัมปชัญญะนั้น จะเป็นตัวรู้ที่ชัดเจน เห็นได้ เข้าใจจริง เหมือนตอนที่เรามีอารมณืหงุดหงิด โกรธ รัก ชอบ ชัง หากเรารู้ตัว เหมือนกับมีใครมากับกระซิบข้างหู ให้ตามดูและรู้ทัน ( แต่ไม่ใช่หูแว่วนะครับ )ทุกอารมณ์มันจะเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วหายไป เพียงแต่ว่าเราติดใจหรือเสียดายมันหรือเปล่า หากเป็นเช่นนั้นมันก็จะกลับมาและรุนแรงกว่าเดิม
ดังที่ท่านว.วชิรเมธีท่านพูดไว้ว่า ความทุกข์แท้ๆนั้นมันอายุสั้น แต่เราชอบต่ออายุให้มันโดยการคิดวนเวียนซ้ำซากอยู่นั้นแหละ อารมณ์ก็เช่นกันหากเราไวกว่า ไหนเลยทุกข์จะเกิดขึ้นได้ เพราะเราตามอารมณ์ทัน เอวัง

ธรรมะสวัสดี

แทนสะมะชัยโย

สตินั้นสำคัญที่สุดเพราะเป็นหางเสือที่จะนำเราไปสู่เป้าหมายอย่ามั่นคง ไม่หลงหรือตก ลงในอบายที่แปลว่าหาความเจริญไม่ได้และเป็นองค์ของมรรคอันสำคัญ บางคนทำงานโดยขาดสติ ก่อกรรมมากมายกับผู้คน หลงเข้าไปสู่ภพของเปรต อสุรกาย นรกหรือเดริฉานโดยไม่รู้สึกตัว มืดมาสว่างไปก็ดี มืดมามืดไปก็แย่ สว่างมามืดไปยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ มืดมาสว่างไปก็ดีมาก สว่างมาสว่างไป ขออนุโมทนาและสาธุการครับ

สะมะชัยโย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น