...+

วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

10 เหตุผลที่ราชอาณาไทยจะเสียดินแดนในช่วงที่เรายังมีชีวิตอยู่ !? โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

สถิติที่น่าสนใจในศาลโลกคือมี 17 คดีที่ศาลโลกรับเอาไว้พิจารณาในเรื่องมาตรการคุ้มครองชั่วคราว ซึ่งมี 10 คดีที่ศาลโลกออกมาตรการคุ้มครองชั่วคราว ซึ่ง 10 คดีนั้น “ไม่มีแม้แต่คดีเดียว” ที่มีประเทศต่างๆได้ปฏิบัติตามมาตรการคุ้มครองชั่วคราวที่ศาลโลก

ดังนั้นถ้าหากประเทศไทยพร้อมและเดินหน้าในการปฏิบัติตามมาตรการคุ้มครองชั่วคราวที่ศาลโลกได้กำหนดมาครั้งนี้จะถือได้ว่า...

“เป็นชาติแรกในโลกที่(แกล้ง)โง่ปฏิบัติตามมาตรการคุ้มครองชั่วคราวของศาลโลก”

เพราะหากไทยยอมบ้าจี้(แกล้ง)โง่ปฏิบัติตามมติของศาลโลกด้วยการถอนทหารออกจากพื้นที่ซึ่งกำหนดโดยศาลโลกเมื่อใด ผลที่ตามมาจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเสียดินแดนโดยนิตินัย(จากเดิมซึ่งเสียดินแดนในทางพฤตินัยไปแล้ว) ดังต่อไปนี้

1. เท่ากับว่าฝ่ายไทยและกัมพูชายอมถอยทหารออกจาก “แผ่นดินไทย” โดยฝ่ายไทยยอมถอยไป “มากกว่า” แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งจัดทำขึ้นโดยฝรั่งเศสแต่เพียงฝ่ายเดียว อันเป็นการถอยเกินไปมากกกว่าที่รัฐบาลเรียกว่า ”พื้นที่พิพาท” ซึ่งรวมถึง สระตราว, สถูปคู่, ผามออีแดง, และภูมะเขือ ซึ่งทั้งหมดล้วนแล้วแต่อยู่ในแผ่นดินไทยทั้งสิ้น

2. หากทหารไทยและทหารกัมพูชายอมถอยออกจากแผ่นดินไทย ก็จะเท่ากับว่าชุมชน สิ่งปลูกสร้าง ของกัมพูชา สามารถยังคงรุกรานและยึดครองแผ่นดินไทยได้ต่อไป โดยที่ฝ่ายไทยไม่สามารถใช้กำลังทหารผลักดันใดๆได้อีก

ซึ่งบังเอิญอย่างร้ายการที่ตามมาตรการคุ้มครองชั่วคราวครั้งนี้ มีความเลวร้ายยิ่งกว่า“ร่างข้อตกลงชั่วคราว” ซึ่งแนบอยู่ในบันทึกผลการประชุมของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (เจบีซี) ซึ่งรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะพยายามมาหลายครั้งที่จะขอความเห็นชอบจากที่ประชุมรัฐสภา ตั้งแต่ปี 2552 แต่บังเอิญว่าประชาชนรู้เท่าทันเสียก่อน โดยในร่างข้อตกลงชั่วคราวในข้อที่ 1 ระบุว่า

“คู่ภาคีจะไม่คงกำลังทหารของแต่ละฝ่ายในวัด “แก้วสิขาคีรีสะวารา” (ต่อไปนี้จะเรียกว่า “วัด”) พื้นที่รอบวัดและพื้นที่ (ไทย-ปราสาท) (กัมพูชา-ปราสาทเปรียะวิเฮียร์) (พระวิหารในภาษาไทย) แม่ทัพภาคที่สองของกองทัพบกไทยและผู้บัญชาการกองทัพภาคที่ 4 ของกองทัพกัมพูชาจะกำหนดมาตรการที่เหมาะสมรร่วมกันเพื่อปฏิบัติให้ข้อบทนี้มีผล โดยฝ่ายชุดทหารติดตามสถานการณ์ชั่วคราวของแต่ละฝ่าย”

3. ฝ่ายไทยจะถูกห้ามไม่ให้ขัดขวางการเข้าไปยังปราสาทพระวิหาร หรือขัดขวางการส่งบำรุงให้แก่บุคคลกรที่ไม่ใช่ทหาร นั่นหมายถึงต้องปล่อยถนนที่สร้างรุกล้ำเข้ามาในดินแดนไทยให้เป็นเส้นทางลำเลียงของกัมพูชาต่อไป ชุมชนกัมพูชาย่อมสามารถขยายชุมชนต่อไปได้เรื่อยๆ อีกทั้งจะมีทหารอีกจำนวนมากสามารถเปลี่ยนชุดเป็นพลเรือน เป็นพระสงฆ์ โดยที่ฝ่ายไทยทำอะไรไม่ได้ตรวจสอบก็ไม่ได้ และจะทำให้เปิดเป็นพื้นที่ให้กับนักท่องเที่ยวเข้าปราสาทพระวิหารเข้ามาจากฝั่งกัมพูชาและใช้ถนนซึ่งรุกล้ำเข้ามาในเขตไทยได้อีกด้วย

จึงย่อมเท่ากับศาลโลกใช้มาตรการคุ้มครองชั่วคราวสนับสนุนการที่กัมพูชาละเมิด บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก ไทย-กัมพูชา พ.ศ. 2543 MOU 2543 โดยการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมอย่างเต็มรูปแบบ

4. หากไทยยอมให้อาเซียนส่งผู้สังเกตการณ์ชาวอินโดนีเซีย เข้ามาในพื้นที่ย่อมเท่ากับมีชาติที่สามเข้ามาแทรกแซงอธิปไตยของชาติ ด้วยการเข้ามาเป็นสักขีพยานในการห้ามมีการปะทะต่อกัน จึงย่อมเท่ากับมีชนชาติอื่นเข้ามาเป็น “กันชน”ห้ามทหารไทยผลักดันกัมพูชาออกจากแผ่นดินไทย ซึ่งเป็นการเรียกร้องโดยฝั่งกัมพูชามาโดยตลอด

5. หากไทยยอมถอนทหารออกจาก “แผ่นดินไทย” ตามมาตรการคุ้มครองชั่วคราวจะทำให้กัมพูชาสามารถเดินหน้าต่อไปในเวทีมรดกโลกได้ โดยปราศจากการขัดขวางจากทหารไทยอีกต่อไป อันรวมถึงการที่ยูเนสโกจะส่งคนเข้าไปยังปราสาทพระวิหารโดยอาศัยถนนที่สร้างจากบ้านโกมุยรุกเข้ามาในดินแดนไทยเพื่อดำเนินการ ป้องกัน อนุรักษ์ บูรณะ และปฏิสังขรณ์ปราสาทพระวิหาร อันอาจรวมถึงการพัฒนาพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารเพื่อการรองรับแผนบริหารจัดการปราสาทพระวิหารต่อไปในอนาคตได้ และทำให้พื้นที่รอบปราสาทพระวิหารซึ่งเป็น “มรดกโลกอันตราย” ซึ่งเดิมไม่สามารถเข้าไปบริหารจัดการได้ จะกลายเป็นพื้นที่สันติภาพโดยมีมาตรการคุ้มครองชั่วคราวของศาลโลกและผู้สังเกตการณ์ชาวอินโดนีเซียเป็นเครื่องมืออันสำคัญที่จะเป็นหลักประกันให้กัมพูชาเดินหน้าต่อไปในมรดกโลกได้

6. หากไทยยอมปฏิบัติตามมติศาลโลก อาจถูกตีความได้ว่า “ไทยรับอำนาจศาลโลก” และจะยินยอมให้มีการตัดสินตามที่กัมพูชาอ้างว่าเป็นการตีความคำพิพากษาศาลโลก พ.ศ. 2505 ให้ขยายขอบเขตไปมากกว่าการตัดสินว่า “ปราสาทพระวิหารอยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของกัมพูชา”

หมายความว่าประเทศไทย “เปลี่ยนจุดยืน” สำคัญจากเดิมที่ฝ่ายไทยได้ตั้งข้อสงวนสิทธิ์ต่อเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ เมื่อ พ.ศ. 2505 ว่าไม่เห็นด้วย คัดค้าน ประท้วงต่อคำพิพากษาของศาลโลกที่ยกปราสาทพระวิหารให้อยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของกัมพูชา และขอสงวนสิทธิ์ในการทวงคืนปราสาทพระวิหารในอนาคต และประเทศไทยไม่ได้ต่ออายุปฏิญญาการยอมรับอำนาจศาลโลกโดยบังคับมา 50 ปีแล้ว กลายมาเป็นว่าฝ่ายไทย “ยอมรับ”คำตัดสินเมื่อปี พ.ศ. 2505 จึงพร้อมที่จะน้อมรับและยอมรับในการตีความให้ขยายขอบเขตไปมากกว่าเดิมด้วย โดยมีจุดเริ่มต้นด้วยการแสดงออกว่า “ยอมรับและปฏิบัติตามมาตรการคุ้มครองชั่วคราวของศาลโลก”

เมื่อฝ่ายไทยไม่ยืนหยัดต่อการ คัดค้าน ประท้วง และสงวนสิทธิ์ ต่อคำพิพากษาของศาลโลกเมื่อ พ.ศ. 2505 ที่ได้ยื่นเอาไว้ต่อองค์การสหประชาชาติแล้ว ก็ย่อมต้องถูกตีความว่าไทยไม่ยืนหยัดต่อการปฏิเสธในเนื้อหาที่ว่า “กฎหมายปิดปากที่ไทยไม่ได้ปฏิเสธแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งเป็นมูลฐานสำคัญในการตัดสินคดีปราสาทพระวิหาร พ.ศ. 2505” ด้วยเช่นกัน ทั้งๆ ที่ไทยได้คัดค้าน ประท้วง สงวนสิทธิ์ เอาไว้เพราะศาลโลกไม่ยอมกล่าวถึงและพิพากษาประเด็นที่ไทยหยิบขึ้นมาต่อสู้อย่างอยุติธรรมในการใช้กฎหมายปิดปากโดยไม่สนใจเรื่องอื่น เช่น ศาลโลกไม่พิจารณากรณีแผนที่ทำผิด ศาลโลกไม่กล่าวถึงผลทางวิทยาศาสตร์ยืนยันเส้นสันปันน้ำอยู่ที่ขอบหน้าผา ศาลโลกไม่ยอมวินิจฉัยบันทึกของฝรั่งเศสที่ระบุว่าขอบหน้าผาคือสันปันน้ำและเส้นเขตแดนในบริเวณทิวเขาดงรัก ฯลฯ

เมื่อเป็นเช่นนี้ก็แปลว่าหากปล่อยให้ ศาลโลกวินิจฉัยตีความคำพิพากษาศาลโลก พ.ศ. 2505 ย่อมเกิดความเสี่ยงที่จะใช้การอ้างอิงกฎหมายปิดปากที่ไทยไม่ปฏิเสธแผนที่มาตราส่วน 1: 200,000 ซึ่งเป็นมูลฐานในการตัดสินคดีปราสาทพระวิหารเมื่อ พ.ศ. 2505 อีกครั้งหนึ่งแล้ว ก็ยังอาจถูกอ้างอิงจากพฤติกรรมของรัฐบาลในการยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ของฝ่ายไทยอีกด้วย เช่น จากเอกสาร บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกไทย-กัมพูชา พ.ศ. 2543 หรือ MOU 2543 ข้อ 1 (ค.), จากการไม่ทักท้วงในเวทีคณะกรรมการมรดกโลก, และบันทึกผลการประชุมของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (เจบีซี) ฯลฯ

การยอมรับอำนาจศาลโลกให้ตีความเช่นนี้ จึงย่อมมี “ความเสี่ยงสูงมาก” เพราะศาลโลกมีแนวโน้มที่จะตีความและพิพากษาให้เป็นคุณต่อกัมพูชาและเป็นโทษกับฝ่ายไทย

7. หากไทยแพ้ที่ศาลโลกก็จะแพ้ต่อที่มรดกโลก โดยดูจากสัญญาณการลุแก่อำนาจออกมาตรการคุ้มครองชั่วคราวในการตีกรอบให้ถอนทหารทั้งสองฝ่ายออกจาก “แผ่นดินไทย” หากศาลโลกมีคำตัดสินให้ “เป็นคุณ”กับฝ่ายกัมพูชาเมื่อใด มรดกโลกปราสาทพระวิหารก็จะสามารถเดินหน้าผ่านฉลุยต่อไปโดยไม่ต้องสนใจประเทศไทยว่าจะถอนตัวหรือไม่ เพราะถือว่าอยู่ในอาณาเขตของกัมพูชา

8. ความผิดพลาดในการวางกลยุทธ์ความสัมพันธ์ไทยกับนานาชาติ โดยเฉพาะกับประเทศสมาชิกในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ไทยเสื่อมถอยความสัมพันธ์กับจีน และรัสเซีย ฝรั่งเศสยืนอยู่ข้างกัมพูชาเต็มตัว ส่วน สหรัฐอเมริกาและอังกฤษ อยู่บนผลประโยชน์ทางพลังงานเป็นหลักสำคัญ ไทยจึงอยู่ในฐานะที่เสียเปรียบกัมพูชาในเวทีคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติจากนโยบายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ถือเป็นจุดที่มีความน่าเป็นห่วงที่สุดในขณะนี้ ทำให้กัมพูชากลายเป็นชาติที่มีพวกมากกว่าฝ่ายไทยในเวทีนานาชาติ

9. การที่ฝ่ายไทยยืนยันที่จะเลือกใช้เครื่องมือ MOU 2543 เพื่อใช้ในการอ้างว่า ไทย-กัมพูชากำลังตกลงกันเรื่องเขตแดนกันเอง เป็นผลทำให้ไม่สามารถยืนยันเส้นเขตแดนของตัวเองให้ชัดเจนได้, ทำให้ไม่สามารถอ้างข้อสงวนสิทธิ์ของไทยต่อคดีปราสาทพระวิหารได้, ในขณะที่กัมพูชาอาศัย MOU 2543 ในการอธิบายว่าไทยและกัมพูชาต้อง “ทำหลักเขตแดน” ในการปักปันซึ่งเสร็จสิ้นแล้วตามแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 โดยการอ้างอิงคำพิพากษาศาลโลก การต่อสู้เช่นนี้ได้พิสูจน์แล้วว่า MOU 2543 ช่วยอะไรไม่ได้ในเวทีมรดกโลก(ไทยจึงต้องประกาศลาออกจากภาคีมรดกโลก) และ MOU 2543 ก็ช่วยอะไรไม่ได้ในศาลโลกจนศาลโลกออกมาตรการคุ้มครองชั่วคราวให้เป็นคุณต่อฝ่ายกัมพูชาอยู่ในขณะนี้ หากปล่อยให้มีคำตัดสินตีความคำพิพากษา พ.ศ. 2505 ไทยจึงมีแนวโน้มสูงที่จะพ่ายแพ้ต่อกัมพูชาในท้ายที่สุด


10. ทหารและตุลาการไม่ทำหน้าที่ ทหารซึ่งมีจอมทัพไทยเป็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และศาลก็กระทำการในพระปรมาภิไธยในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กับอ่อนแอไม่ใช้อำนาจและทำหน้าที่ของตัวเองในการปกป้องแผ่นดิน ทหารบางคนกลับยอมจำนนต่อฝ่ายการเมืองพร้อมทำตามนโยบายนักการเมืองอย่างไม่ลืมหูลืมตา บ้างก็ได้ประโยชน์ส่วนตนมากกว่าประโยชน์ของประเทศชาติ จนปล่อยให้แผ่นดินไทยถูกรุกรานและยึดครองอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ในขณะที่คดีความขึ้นสู่องค์กรอิสระและศาลหลายคดีเกี่ยวกับเขตแดนหลายคนกลับขาดความกล้าหาญ เพิกเฉยปัดความรับผิดชอบ ไม่อยากข้องเกี่ยว อย่างน่าหดหู่ยิ่งนัก

หนทางที่ประเทศไทยจะรอดจากสถานการณ์นี้มีเพียง 3 ประการเท่านั้นคือ

ประการแรก ประกาศไม่รับอำนาจศาลโลก ยืนยันว่า ไทยได้คัดค้าน ประท้วง และตั้งข้อสงวน ไม่เห็นด้วยกับคำตัดสินคดีปราสาทพระวิหาร พ.ศ. 2505 เมื่อคดีนี้ถูกระบุในใบแจกข่าวของศาลโลกว่าเป็นคดีใหม่ ไทยจึงมีสิทธิ์ไม่ยอมรับ อีกทั้งประเทศไทยก็ไม่ได้ต่ออายุปฏิญญาการยอมรับการบังคับอำนาจศาลโลกมานาน 50 ปีมาแล้ว

ประการที่สอง ไม่ถอนทหารออกจากแผ่นดินไทยโดยเด็ดขาด และเร่งผลักดันกัมพูชาออกจากแผ่นดินไทย

ประการที่สาม ปรับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับประเทศในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติอย่างเร่งด่วน

สามประการนี้ดูจะเป็นความหวังลมๆแล้งๆ เพราะรักษาการนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายกษิต ภิรมย์ ต่างออกมาแสดงความเห็น “พอใจ”กับมาตรการคุ้มครองชั่วคราวของศาลโลก อีกทั้งว่าที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็ดูจะเห็นดีเห็นงามกับเรื่องความสัมพันธ์กับกัมพูชามากกว่าการที่แผ่นดินไทยถูกรุกรานและยึดครอง

เมื่อประชาชนตาดำๆ สองมือเปล่า ไม่มีปืน ไม่มีอำนาจรัฐ ไม่มีอำนาจตุลาการ ไม่สามารถหวังได้กับนักการเมือง และพึ่งไม่ได้กับทหารภายใต้จอมทัพไทย และพึ่งไม่ได้กับศาลซึ่งกระทำในพระปรมาภิไธย แม้แต่ประชาชนส่วนใหญ่ก็ไม่สนใจเรื่องแผ่นดิน

ก็อดสงสัยไม่ได้ เมื่อ “คนที่มีอำนาจเกือบทั้งหมด” ไม่สนใจใยดี แล้วจะให้ประชาชนกลุ่มเล็กๆสองมือเปล่า ไปแบกรับห้ามมิให้ราชอาณาจักรไทยเสียดินแดน หรือจะรักษาอธิปไตยและดินแดนไทยเอาไว้ได้อย่างไร !!?

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น