...+

วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2554

“สนธิ” ร้อง กกต.ยุบเพื่อไทย ปล่อย “นช.แม้ว”ครอบงำ -เล็งเชือดพรรคอื่นต่อ

“สนธิ” ลงนามมอบหมายโฆษกพันธมิตรฯ-เลขาธิการพรรคเพื่อฟ้าดิน ยื่นคำร้อง กกต.ออกคำสั่งยุบพรรคเพื่อไทย เหตุปล่อยให้ “นช.ทักษิณ” ซึ่งถูกเพิกถอนสิทธิทางการเมืองครอบงำพรรค ชี้ขัดต่อ พ.ร.บ.ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 4, มาตรา 94(1) (2) (3) และมาตรา 66 อย่างชัดเจน เผย จะทยอยยุบพรรคที่เข้าข่ายกระทำผิดเพิ่มในภายหลังด้าน “ปานเทพ” ชี้ ภาค ปชช.เชื่อจัดการเลือกตั้งในครั้งนี้ ไม่สุจริตเที่ยงธรรม และมีการใช้อิทธิพลทุกรูปแบบ ขัดต่อครรลองของระบอบประชาธิปไตย ซึ่ง กกต.ต้องรับผิดชอบ และหากทำไม่ได้ก็ให้ลาออกไป

วันนี้ (21 มิ.ย.) ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง อาคารศูนย์ราชการกรุงเทพมหานคร ถนนแจ้งวัฒนะ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และ ร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์ เลขาธิการพรรคเพื่อฟ้าดิน ได้เดินทางเข้ายื่นคำร้องขอให้ กกต.และนายทะเบียนพรรคการเมือง ออกคำสั่งยุบพรรคเพื่อไทย จากกรณีที่มีพฤติกรรม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นบุคคลที่ถูกเพิกถอนสิทธิทางการเมือง และอยู่ในฐานะนักโทษหลบหนีคดีอาญา มีอำนาจสั่งการเหนือพรรคเพื่อไทย โดยได้แนบเอกสารหลักฐานจำนวน 13 รายการประกอบการพิจารณา โดยมี นายอำนวย น้อยโสภา ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการสนับสนุน กกต.เป็นผู้รับเรื่อง

นายปานเทพ กล่าวว่า วันนี้ นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ลงนามในเอกสารเพื่อร่วมร้องเรียนพร้อมกับตน และพรรคเพื่อฟ้าดิน โดยเรือตรี แซมดิน เพื่อมาร้องต่อนายทะเบียนพรรคการเมือง และคณะกรรมการการเลือกตั้ง เพื่อขอให้ยุบพรรคเพื่อไทย โดยนำเอกสารทั้งหมด 13 ชิ้น เพื่อเป็นข้อพิสูจน์ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ นั้นอยู่ในฐานะที่ถูกเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้ง ตามคำพิพากษาของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และอยู่ในฐานะผู้ที่เป็นนักโทษหนีอาญาแผ่นดิน แต่กลับเป็นผู้บงการ มีคำสั่งชี้นำให้กับพรรคเพื่อไทยในการกำหนดนโยบาย

โดยมีคำปรากฏหลายประการ เช่น ป้ายหาเสียงของพรรคเพื่อไทย เขียนว่า “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” หรือแม้กระทั่งกรณีคำปราศรัยของ พ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่า ตัวแทนผู้สมัครเหล่านั้นเป็นตัวแทนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งสิ้น ซึ่งเป็นหลักฐานเพียงบางส่วนจากจำนวนทั้งหมด 13 รายการ นอกจากนี้ ยังมีแผ่นวีซีดี เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งและการโฟนอินทั้งหมด คำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง รวมถึงผู้สมัครที่กล่าวถึง พ.ต.ท.ทักษิณ หลายกรณี ทำให้เชื่อมโยงได้อย่างชัดเจนว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังพรรคเพื่อไทย

ทั้งนี้ นายสนธิ และตน จึงได้ลงนามในหนังสือ พร้อมด้วยพรรคเพื่อฟ้าดิน เพื่อขอให้ กกต.พิจารณายุบพรรคเพื่อไทย จากพฤติกรรมที่ถือว่าเป็นการกระทำความผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 4, มาตรา 94(1) (2) (3) และมาตรา 66 นอกจากนี้ ยังปรากฏที่ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช.ได้ร่วมกันรับบริจาคเงินชุมนุมที่สี่แยกราชประสงค์ ต่อมาบุคคลทั้งสองกับพวกถูกตั้งข้อหาก่อการร้าย ดังนั้น การที่พรรคเพื่อไทย โดย พ.ต.ท.ทักษิณ กระทำการข้างต้น จึงต้องถูกยุบพรรคตามมาตรา 94(1) (2) (3) และ (5) นอกจากนั้น หัวหน้าพรรค กรรมการบริหารพรรค ซึ่งยินยอมให้มีการกระทำดังกล่าวจึงต้องรับโทษตามมาตรา 166 ด้วย นั่นหมายความว่า ต้องรับโทษในการยุบพรรค ถูกพิจารณายุบพรรค และถูกดำเนินคดีอาญาต่อไป

ผู้สื่อข่าวถามว่า ในการยื่นฟ้องยุบพรรคเพื่อไทยครั้งนี้ หลักฐานใดที่ชัดเจนที่สุด นายปานเทพ กล่าวว่า หลักฐานที่ชัดที่สุด คือ ป้ายหาเสียงของพรรคเพื่อไทย ระบุว่า “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” บวกกับคำปราศรัยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ผู้สมัครเหล่านี้เป็นตัวแทนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งสิ้น เรียกว่า นายห้างตราดูไบห่อ เพื่อเป็นการประทับตรานายห้างดูไบของตัวเอง ซึ่งเป็นคำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ เอง

นอกจากนี้ ยังพูดอย่างชัดเจนในการชุมนุมของคนเสื้อแดง ว่า หากพรรคเพื่อไทยได้รับการเลือกตั้งเป็นรัฐบาล หนี้สินของประชาชนจะหมดในไม่ช้า หรือที่กล่าวว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ ผู้สมัครก็เหมือนตัวแทน พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งสิ้น ซึ่งเป็นคำสัมภาษณ์ในการกล่าวโฟนอิน วิดีโอ ลิงก์ ยังไม่นับอีกมากมายที่สมาชิกพรรคเพื่อไทย และผู้สมัครพรรคเพื่อไทยประกาศในทางสาธารณะว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นผู้ชี้นำ เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง แม้กระทั่งเป็นผู้กำหนดนโยบาย ซึ่งเป็นที่ชัดเจนและเปิดเผยในทางสาธารณะ รวมทั้ง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ยังได้พูดบ่อยครั้งว่าเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่ต้องนำ พ.ต.ท.ทักษิณ ไปหาเสียง

เมื่อถามต่อว่า ก่อนหน้านี้ เคยมีคนยื่นคำร้องในลักษณะเช่นนี้ต่อ กกต.และเคยวินิจฉัยว่า การกระทำดังกล่าวไม่มีความผิด นายปานเทพกล่าวว่า ต้องถือเป็นคนละกรณี เพราะตอนนั้นยังไม่เข้าสู่ช่วงเวลาที่มีความชัดเจนมากขึ้น แต่หลักฐานที่เปลี่ยนไปและเวลาผ่านไปมันชัดเจนมากขึ้น และเราก็คิดว่าในช่วงหลังนี้เป็นการเปิดตัวชัดเจน เราไม่เห็นว่าการเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งที่ถูกพิพากษาไปนั้น จะเป็นไปตามเจตนารมณ์ของคำพิพากษาแต่ประการใด แสดงให้เห็นว่าผู้ที่ถูกเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งที่ไม่สามารถเกี่ยวข้องทางการเมืองได้แล้ว กลับเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับการเมือง เป็นผู้บงการได้โดยตรง เป็นผู้ประกาศโดยตรงว่า ผู้สมัครเหล่านั้นเป็นตัวแทนของตนเอง โดยที่ผู้สมัครก็ยินดีพร้อมใจกันหาเสียงในทำนองแบบนี้เช่นเดียวกัน มีทั้งฝ่ายเสนอและฝ่ายสนอง ตอบรับกันทั้งสองฝั่ง ก็น่าจะเป็นหลักฐานที่เพิ่มเติมมากกว่าหลายครั้งที่ผ่านมา

ต่อข้อถามว่า จะมียื่นในส่วนของพรรคการเมืองอื่นด้วยหรือไม่ เพราะหลายพรรคก็มีบุคคลที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองมาเกี่ยวข้อง นายปานเทพ กล่าวว่า จะมีการดำเนินการในลำดับถัดไป โดยได้คุยกับพรรคเพื่อฟ้าดิน และทางทีมทนาย ว่า ในอีกไม่นานคงอาจจะต้องมีมาตรการในการยุบอีกหลายพรรคการเมือง ซึ่งทางพรรคเพื่อฟ้าดินและพันธมิตรฯ จะยื่นคำร้องต่อ กกต. เช่น การใช้นโยบายสัญญาว่าจะให้อย่างชัดเจน ที่วัดเป็นผลประโยชน์ได้ เป็นเม็ดเงินได้ มีหลายพรรคการเมืองเป็นแบบนั้น ทั้งๆ ที่บางอย่างเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ ก็ยังประกาศกัน ถือว่าเป็นการจูงใจ สัญญาว่าจะให้ หรือจะให้ถ้าได้รับการเลือกตั้ง

สิ่งเหล่านี้ กกต.เมื่อปี 2544 ก็เคยมีการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้กันมาแล้ว ซึ่งเราเห็นว่าแท้ที่จริงแล้ว กกต.อาจจะไม่มีอำนาจในการพิจารณาเรื่องนี้ ก็ให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเป็นฝ่ายวินิจฉัย เพราะเป็นเรื่องใหญ่ เพราะนับตั้งแต่ปี 2544 เป็นต้นมา ทำให้นโยบายหาเสียงที่เรียกว่าประชานิยม ใช้กับทุกพรรคการเมือง ใช้กับนโยบายพรรคการเมืองแบบบ้าระห่ำ ใช้เงินนับล้านๆ บาท ทั้งที่หลายกรณีและหลายนโยบายเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ ก็ยังมีการใช้นโยบายเช่นนี้ดำเนินการต่อไป เราเห็นว่าขั้นตอนต่อไปจะมีมาตรการยื่นคำร้องต่อ กกต.ให้ยุบพรรคการเมืองเหล่านี้ด้วยซ้ำ เพราะถือว่าเป็นการซื้อเสียงโดยนโยบาย ซึ่งอาจจะมีอีกหลายพรรค ยกเว้นพรรคเพื่อฟ้าดินที่ไม่มีนโยบายหาเสียงที่ใช้ประชานิยมหรือสัญญาว่าจะให้ ถ้าได้รับการเลือกตั้ง เรื่องนี้คงต้องไปถึงศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่แค่วินิจฉัยโดย กกต.ซึ่งคาดว่าในสัปดาห์หน้าจะยุบพรรคเพิ่มเติมต่อไป

เมื่อถามว่า ป้ายหาเสียง “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” ถือว่าเข้าข่ายทางกฎหมายหรือไม่ เพราะถือว่าเป็นกลยุทธ์ในการหาเสียง นายปานเทพกล่าวว่า กลยุทธ์อย่างไร คำว่าทักษิณก็เป็นที่รู้กันว่าหมายถึงใคร ประชาชนย่อมเข้าใจตรงกัน การที่ พ.ต.ท.ทักษิณพูดบนเวที ใช้ทวิตเตอร์ โฟนอิน วีดีโอ ลิงก์ ผนวกกับพรรคเพื่อไทยนำความคิดเช่นนี้ไปประกาศทางสาธารณะ ถือเป็นการกระทำที่อุกอาจมากในทางเปิดเผย จึงเห็นว่ากรณีแบบนี้ไม่ใช่เป็นการหลบซ่อนหรือเลี่ยงแล้ว แต่เป็นการเปิดเผยตัวเองอย่างชัดเจน ทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคเพื่อไทย เอง เพราะฉะนั้นไม่มีเหตุผลอื่นที่ กกต.จะปล่อยผ่านไว้โดยไม่มีการยุบพรรคการเมืองพรรคนี้

เมื่อถามว่า เป็นเจตนาหรือไม่ที่ยื่นฟ้องยุบพรรคการเมืองในช่วงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง นายปานเทพกล่าวว่า ถ้าทำเอกสารทันเราก็ทำให้ทันและเร็วที่สุด ซึ่งมีหลายเรื่องที่ต้องทำ แม้กระทั่งวันนี้สิ่งที่ภาคประชาชนยอมรับว่าเป็นห่วงที่สุด ก็คือ การเลือกตั้งไม่มีความสุจริตเที่ยงธรรม การทุจริตการเลือกตั้ง ซื้อสิทธิขายเสียงเกิดระบาดมากตั้งแต่หัวละ 1,000-3,000 บาทต่อหัว มีการใช้อาวุธยิงหัวคะแนน จนต้องมีทั้งเสื้อเกราะและตำรวจคุ้มกัน ส.ส.ไม่ต่ำกว่า 400 คน มีการทุบรื้อทำลายป้ายหาเสียงของพรรคการเมืองจำนวนมาก อันนี้ไม่ใช่วิถีทางการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย แต่เป็นการเลือกตั้งแบบบ้านป่าเมืองเถื่อน ที่ใช้เงินและอาวุธเป็นตัวนำ ใช้อิทธิพลและการข่มขู่อันธพาลเป็นตัวนำ ย่อมไม่ถือว่าเป็นครรลองของระบอบประชาธิปไตย กกต.ต้องรับผิดชอบ ถ้าทำไม่ได้ก็คงต้องลาออก

เมื่อถามว่า นอกจากหนังสือที่ยื่นต่อ กกต.แล้วยังมีหลักฐานอื่นๆ หรือไม่ นายปานเทพ กล่าวว่า มีซีดี มีทั้งภาพข่าว วิดีโอลิงก์ โฟนอิน หลายหลักฐาน ซึ่งอันที่จริงเรารวบรวมมานานแล้ว แต่ก็รอจังหวะเวลาให้หลักฐานชัดกระทั่งมีป้ายคำว่า “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” ชัดเจนที่สุด

สำหรับรายละเอียดหนังสือที่ นายสนธิ ยื่นคำร้องให้ยุบพรรคเพื่อไทย ลงวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๕๔ เรื่อง ขอให้ยุบพรรคเพื่อไทย มีใจความดังนี้
วันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๕๔

เรื่อง ขอให้ยุบพรรคเพื่อไทย

เรียน นายทะเบียนพรรคการเมืองและคณะกรรมการการเลือกตั้ง

สิ่งที่ส่งมาด้วย ๑.ข่าว กกต.เกี่ยวกับพลังประชาชนผิดคดีนอมินี
๒.ข่าวเกี่ยวกับแกนนำพรรคเพื่อไทยบินไปพบพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร
๓.ข่าวนโยบายหาเสียงทักษิณคิด เพื่อไทยทำ
๔.ข่าวทีมเศรษฐกิจทักษิณเปิดนโยบายหาเสียง
๕.ข่าวเกี่ยวกับทักษิณวีโอลิงก์เปิดนโยบายพรรคเพื่อไทย
๖.ข่าวคำต่อคำทักษิณเปิดนโยบาย
๗.ข่าวทักษิณมั่นใจเพื่อไทยเป็นรัฐบาล
๘.ข่าวเพื่อไทยเปิดตัว ส.ส.ชูสโลแกน ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ
๙.ภาพป้ายทักษิณคิด เพื่อไทยทำ
๑๐.คำพูดของทักษิณที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง
๑๑.ข่าวเกี่ยวกับทักษิณโฟนอินจังหวัดต่างๆ
๑๒.คำถอดเทปคลิปเสียงโฟนอินของทักษิณ
๑๓.แผ่นวีซีดีทักษิณเกี่ยวกับการเลือกตั้งและการโฟนอิน

ตามที่พรรคเพื่อไทย มีฐานะเป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.๒๕๕๐ มาตรา ๑๖ ได้รับการจดแจ้งการจัดตั้งพรรคการเมืองจากนายทะเบียนพรรคการเมือง ซึ่งหลังจากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ยุบพรรคพลังประชาชน เมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๑ แล้ว สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกพรรคเกือบทั้วหมดได้ย้ายเข้าสังกัดพรรคเพื่อไทย โดยในการยุบพรรคการเมืองครั้งนี้ส่งผลให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไปด้วย

ผู้ร้องขอเรียนว่า พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร เป็นบุคคลที่มีอำนาจสั่งการในพรรคเพื่อไทยและอยู่เบื้องหลังทางการเมืองในประเด็นข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายดังต่อไปนี้

๑.พรรคพลังประชาชนนั้น เป็นนอมินีของพรรคไทยรักไทย ซึ่งก่อตั้งขึ้นมาโดยพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร รายละเอียดปรากฏตามข่าวของ กกต.สิ่งที่ส่งมาด้วยอันดับ ๑ ซึ่งหลังจากพรรคไทยรักไทย ถูกยุบตามคำวินิจฉัยที่ ๓-๕/๒๕๕๐ ลงวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๐ นั้น วินิจฉัยว่า “ผู้ร้องที่ ๑ มิได้มีอุดมการณ์ทางการเมืองที่มุ่งพัฒนาประเทศชาติ เพื่อให้คนในชาติมีความสุขทั่วหน้า ดังที่ได้รณรงค์หาเสียงไว้ต่อประชาชนอย่างแท้จริง หากแต่มุ่งประสงค์เพียงดำเนินการในทุกวิถีทาง เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ นอกเหนือไปจากครรลองที่กำหนดในรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศตลอดจนบทกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง จนยากที่หาอุดมการณ์อันแท้จริงของพรรคให้เกิดความมั่นใจแก่ประชาชนโดยรวมว่า เมื่อเป็นรัฐบาลมีอำนาจบริหารราชการแผ่นดินแล้ว จะดำเนินการปกครองโดยสุจริต ไม่ประพฤติมิชอบหรือบริหารราชการแผ่นดินโดยแอบแฝงไว้ซึ่งประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง พฤติการณ์ของผู้ร้องที่ ๑ ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ผู้ร้องที่ ๑ ไม่อาจดำรงความเป็นพรรคการเมืองที่จะสร้างสรรค์และจรรโลงความชอบธรรมทางการเมืองแก่ระบอบการปกครองของประเทศโดยรวมได้อีกต่อไป กรณีจึงมีเหตุอันสมควรยุบพรรคผู้ถูกร้องที่ ๑ ...อาศัยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น คณะตุลาการรัฐธรรมนูญจึงมีคำสั่งให้ยุบพรรคไทยรักไทย ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.๒๕๔๑ มาตรา ๖๗ ประกอบมาตรา ๖๖(๑) และ (๓) กับให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรคการเมืองผู้ถูกร้องที่ ๑ จำนวน ๑๑๑ คน ...มีกำหนด ๕ ปีนับแต่วันที่มีคำสั่งยุบพรรคการเมือง” ดังนั้นพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร จึงถูกตัดสิทธิทางการเมือง

๒.เมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๕๑ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งการเมือง ได้มีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ อม.๑/๒๕๕๐ คดีหมายเลขแดงที่ อม.๑/๒๕๕๐ ระหว่าง อัยการสูงสุด โจทก์ - พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร ที่ ๑, คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ที่ ๒ จำเลย ในฐานความผิด เรื่อง ความผิดต่อพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ว่า “เมื่อพยานหลักฐานที่ได้จากการไต่สวนรับฟังได้ว่าจำเลยที่ ๑ กระทำความผิดดังที่ได้วินิจฉัยมาดังกล่าวข้างต้น ซึ่งขณะที่เกิดเหตุจำเลยที่ ๑ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้รับมอบหมายไว้วางใจให้บริหารราชการแผ่นดิน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ทางราชการและประชาชน แต่จำเลยที่ ๑ กลับฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมาย ทั้งที่จำเลยที่ ๑ เป็นหัวหน้ารัฐบาลต้องกระทำตัวให้เป็นแบบอย่างที่ดี ต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ประพฤติตนในสิ่งที่ดีงามตามจริยธรรมของนักการเมือง ให้เหมาะสมกับที่ได้รับความไว้วางใจในตำแหน่งหน้าที่อันสำคัญยิ่งนี้ จึงไม่สมควรรอการลงโทษ พิพากษาว่า จำเลยที่ ๑ มีความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐๐(๑) วรรคสามและมาตรา ๑๒๒ วรรคหนึ่ง ให้ลงโทษจำคุก ๒ ปี

๓.วันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๑ ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยที่ ๒๐/๒๕๕๑ ว่า “ให้ยุบพรรคพลังประชาชน ผู้ถูกร้อง เนื่องจาก นายยงยุทธ ติยะไพรัช รองหัวหน้าพรรคพลังประชาชนและกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.๒๕๕๐ ซึ่งมีผลให้การเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม อันเป็นการกระทำให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา ๖๘ ประกอบมาตรา ๒๓๗ วรรคสอง และให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของหัวหน้าพรรคพลังประชาชนและกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน ซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในขณะที่กระทำความผิด เป็นระยะเวลา ๕ ปี นับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ยุบพรรคการเมือง ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๓๗ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๖๘ วรรคสี่”

๔.วันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้มีคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อม.๑๔/๒๕๕๑ คดีหมายเลขแดงที่ อม.๑/๒๕๕๓ ว่า “ดังนั้น ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า การดำเนินการทั้ง ๕ กรณีดังกล่าวเป็นผลมาจากการปฏิบัติหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่นายกรัฐมนตรีของผู้ถูกกล่าวหา องค์คณะผู้พิพากษาจึงมีมติด้วยเสียงข้างมาก ว่า ผู้ถูกกล่าวหาใช้อำนาจรัฐเพื่อเอื้อประโยชน์แก่ธุรกิจของบริษัท ชินคอร์ป ตามคำร้อง ...พิพากษาว่า ให้เงินที่ได้จากการขายหุ้นและเงินปันผลหุ้นของบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จำนวน ๔๖,๓๗๓,๖๘๗,๔๕๔.๗๐ บาทพร้อมดอกเบี้ยที่ได้รับจากบัญชีเงินฝาก นับแต่วันฝากเงินจนถึงวันที่ธนาคารนำส่งเงินจำนวนดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดิน”

จากข้อเท็จจริงข้อ ๑ ถึงข้อ ๔ จะเห็นได้ว่าพันตำรวจโททักษิณฯ เป็นผู้ที่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง ถูกศาลพิพากษาจำคุก ๒ ปี โดยไม่รอการลงโทษ และถูกศาลพิพากษายึดทรัพย์เนื่องจากการปฏิบัติหรือใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ นอกจากนี้ พรรคพลังประชาชนยังเป็นนอมินีของพรรคไทยรักไทยก็ยังถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรค อันเนื่องมากจากการกระทำให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ การที่พันตำรวจโททักษิณ ซึ่งเป็นบุคคลดังกล่าวเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการบริหารพรรคเพื่อไทย ในการกำหนดนโยบายและหาเสียงเพื่อให้ประชาชนสนับสนุนพรรคเพื่อไทย ให้ประชาชนพาตัวเองกลับประเทศหากพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง ปรากฏรายละเอียดดังต่อไปนี้

๕.แกนนำพรรคเพื่อไทย ได้เดินทางไปพบพันตำรวจโททักษิณ ที่ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ (ดูไบ) ซึ่งประกอบด้วย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง, นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวพันตำรวจโททักษิณ ปัจจุบันเป็นผู้สมัครบัญชีรายชื่ออันดับ ๑ ของพรรคเพื่อไทย, นางเยาวภา-นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ ส.ส.เชียงใหม่ รวมทั้งแกนนำพรรคไทยรักไทย ได้แก่ นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงษ์ไพศาล และอดีตแกนนำพรรคพลังประชาชน คือ นายยงยุทธ ติยะไพรัช เพื่อหารือถึงการจัดทำบัญชีรายชื่อผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และหารือถึงแนวทางนโยบายที่พรรคเพื่อไทยจะใช้ในการหาเสียงเลือกตั้งด้วย รายละเอียดปรากฏตามสิ่งที่ส่งมาด้วยอันดับ ๒

๖.ได้มีข่าวจากพรรคเพื่อไทย ได้เปิดเผยถึงนโยบายที่จะเปิดตัวในวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๕๔ ว่า พันตำรวจโททักษิณ จะวิดีโอลิงก์เพื่อคิกออฟเปิดตัวนโยบายด้วยตนเอง โดยใช้สโลแกนว่า “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” รายละเอียดปรากฏตามสิ่งที่ส่งมาด้วย อันดับ ๓ และ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ คณะทำงานด้านเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวภายหลังเดินทางไปพบพันตำรวจโททักษิณ ที่นครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ว่า ได้มีการพูดคุยกันในเรื่องทั่วไป รวมทั้งการเปิดนโยบายหาเสียงของพรรคในวันที่ ๒๓ เมษายน ที่ท่านจะวิดีโอลิงก์เข้ามาแนะนำแนวทางการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ และเรื่องการเปิดตัวผู้สมัคร ส.ส.ทั่วประเทศ ที่ศูนย์ประชุม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต รายละเอียดปรากฏตามสิ่งที่ส่งมาด้วยอันดับ ๔

๗.ซึ่งต่อมาวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๕๔ พันตำรวจโททักษิณ ได้วิดีโอลิงก์เข้ามาเมื่อเวลา ๑๐.๓๐ น.โดยใช้เวลาประมาณ ๒ ชั่วโมง ว่า “...วันนี้นโยบายที่จะพูดเป็นการแนะนำที่มาจากพี่น้องประชาชน เพราะมีเบอร์โทรศัพท์ที่ประชาชนโทร.หาผมได้ องค์การส่วนท้องถิ่น ส.ส.ที่โทร.มาต่างบ่นความทุกข์ยากให้ฟัง และคณะกรรมการนโยบายจองพรรคก็มาช่วยกันคิด...ที่รวบรวมนโยบายเหล่านี้ เพื่อมาประทับตรานายห้างดูไบของตน... วันนี้จะเอากระดาษมาทำเป็นเงินให้ประชาชน และได้กล่าวถึงนโยบายของพรรคเพื่อไทย รายละเอียดปรากฏตามสิ่งที่ส่งมาด้วยอันดับ ๕ ถึง ๗

๘.จากการเปิดตัวนโยบายของพรรคเพื่อไทย โดยพันตำรวจโททักษิณ ได้ชูสโลแกน ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ ในป้ายหาเสียงของพรรคเพื่อไทยทั่วประเทศ ปรากฏตามสิ่งที่ส่งมาด้วยอันดับ ๘ ถึง ๙

๙.ในการหาเสียงของพรรคเพื่อไทย ซึ่งบุคคลต่างๆ ได้พูดว่า ทักษิณ มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง โดยพูดว่าสังคมทราบดีอยู่แล้วว่า พันตำรวจโททักษิณ คือเพื่อไทย และเพื่อไทย ก็คือ พันตำรวจโททักษิณ, เท่าที่ทราบคือ ให้พันตำรวจโททักษิณ คิดแล้วพรรคเพื่อไทยจะทำ, พันตำรวจโททักษิณ เห็นว่า ในการเลือกตั้งครั้งนี้แต่ละพรรคต้องสู้กันที่นโยบายให้ประชาชนพิจารณา โดยฝ่าย พันตำรวจโททักษิณ และพรรคเพื่อไทย จะเสนอให้มีการคืนสิทธิและคืนความเป็นธรรมและเยียวยาเหยื่อของความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นจากการยึดอำนาจ ฯลฯ รายละเอียดปรากฏตามข่าวที่ส่งมาด้วยอันดับ ๑๐

๑๐.ในการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง พันตำรวจโททักษิณ ก็จะโฟนอินเข้ามาอย่างสม่ำเสมอ และได้ว่า “ ถ้าหากเลือกพรรคเพื่อไทยจนได้เป็นรัฐบาล หนี้สินของประชาชนจะหมดไปในไม่ช้า ข้าวเปลือกเกวียนละ ๑๕,๐๐๐ บาท เป็นอย่างต่ำ หนี้สินที่รัฐบาลทำไว้จะรีบใช้หมดอย่างรวดเร็ว นโยบายต่างประเทศต้องสร้างมิตรมากกว่าสร้างศัตรู และยังฝากให้เลือกพรรคเพื่อไทย เมื่อได้เป็นรัฐบาล ตนจะกลับมาพัฒนาประเทศในสิ้นปีนี้”, “คนที่อยู่บนเวทีในขณะนี้เป็นตัวแทนของผม เพื่อมาช่วยแก้ไขปัญหา อยากให้พรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งให้ได้ เพราะผมจะได้กลับมา และพี่น้องจะเป็นคนช่วยให้ผมกลับบ้าน อย่าเพิ่งลืมผม เดี๋ยวก็จะกลับไปแล้ว ผมฝากความหวังกับพี่น้องกับผม และเราไปถึงเป้าหมายเดียวกัน” และพูดโฟนอินที่จังหวัดอุดรธานีว่า “...ชาวอุดรเข้มแข็งที่สุด ผมอยากกลับบ้านแล้ว ตอนนี้ผมเก็บกระเป๋าแล้ว อภิสิทธิ์บอกว่า เขาแพ้พรรคเพื่อไทย แต่ถ้าเขารวมพรรคเล็กพรรคน้อยได้เขาจะได้เป็นรัฐบาล แต่นโยบายของพรรคเพื่อไทย สามารถทำได้รวดเร็วทันใจ โดยจะปลดหนี้เพิ่มรายได้ก่อน และให้ลูกหลานได้เรียนฟรี มีคอมพิวเตอร์ใช้และถ้าผมกลับมาจะปราบยาเสพติดโดยอัตโนมัติเลยครับ มีรถไฟฟ้าความเร็วสูงทั่วประเทศ เพื่อเป็นหน้าเป็นตาของประเทศ แก้ปัญหาน้ำท่วม ที่สำคัญจะทำให้พี่น้องมีน้ำใช้ตลอดปี” รายละเอียดปรากฏตามข่าวที่ส่งมาด้วยอันดับ ๑๑

๑๑.นอกจากนี้ พันตำรวจโททักษิณ ยังได้โฟนอินไปตามสถานที่ต่างๆ เรียกร้องให้เลือกพรรคเพื่อไทย เพราะตนนี่แหละจะเป็นคนแก้ปัญหาเศรษฐกิจ โดยให้ประชาชนเลือกพรรคเพื่อไทยจะได้นำตนเองกลับบ้าน” รายละเอียดปรากฏตามคำถอดเทปที่ส่งมาด้วยอันดับ ๑๒ และแผ่นวีซีดีทักษิณเกี่ยวกับการเลือกตั้งและการโฟนอินตามสิ่งที่ส่งมาด้วยอันดับ ๑๓

จากข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้นจึงเห็นได้ว่า พันตำรวจโททักษิณฯ ซึ่งเป็นนักโทษหนีคดีอาญาแผ่นดิน และถูกตัดสิทธิทางการเมือง ๕ ปี เป็นผู้กำหนดนโยบายของพรรคเพื่อไทยและเป็นผู้คัดเลือกผู้สมัครบัญชีรายชื่อ,สัดส่วนของพรรคเพื่อไทยทั้งหมด อำนาจในการบริหารพรรคเพื่อไทยขึ้นอยู่กับพันตำรวจโททักษิณเพียงผู้เดียว และมีผู้ร่วมกระทำความผิดอีกด้วยกล่าวคือ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งเป็นผู้สมัครบัญชีรายชื่ออันดับ ๑ ของพรรคเพื่อไทย ได้ร่วมกันกระทำความผิดกับพันตำรวจโททักษิณ ข้างต้นและได้ให้การสนับสนุนการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงมาโดยตลอด ซึ่งการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงและแกนนำคนเสื้อแดงที่กระทำความผิดอาญา มีข้อหาผู้ก่อการร้าย และเผาบ้านเผาเมืองก็ได้รับเลือกจากพันตำรวจโททักษิณ ให้อยู่ในบัญชีรายชื่อลำดับต้นๆ ของพรรคเพื่อไทย

การกระทำดังกล่าวจึงเป็นการทำผิดรัฐธรรมนูญ มาตรา ๖๘,๒๓๗ และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.๒๕๕๐ มาตรา๕๓(๑), (๓), ๑๓๗, ๑๕๙, ซึ่งพันตำรวจโททักษิณ ต้องรับผิดตามมาตรา ๑๖๐ ด้วย

นอกจากนี้ยังเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา ๔,มาตรา ๙๔(๑),(๒), (๓), มาตรา ๖๖ เนื่องจากการที่ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ได้ร่วมกันรับบริจาคเงินชุมนุมที่ราชประสงค์ และต่อมาบุคคลทั้งสองกับพวกถูกตั้งข้อหาผู้ก่อการร้าย, การที่พรรคเพื่อไทยโดยพันตำรวจโททักษิณกระทำการข้างต้นจึงต้องยุบพรรคตามมาตรา๙๔(๑), (๒), (๓), (๕) หัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคจึงต้องรับโทษตามมาตรา ๑๑๖

ซึ่งข้าพเจ้าผู้ร้องทั้งหมดใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๗๐, ๗๑ ซึ่งเป็นหน้าที่ของปวงชนชาวไทย จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียการร้องคดีนี้

ดังนั้น จึงขอให้นายทะเบียนขอให้นายทะเบียนยุบพรรคเพื่อไทย และดำเนินคดีอาญากับพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร, นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร, นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, นายจตุพร พรหมพันธุ์ และผู้ที่ร่วมกันกระทำความผิดต่อไปด้วย

จึงเรียนมาเพื่อโปรดดำเนินคดีโดยด่วน

ขอแสดงความนับถือ

พรรคเพื่อฟ้าดิน โดยเรือตรี แซมดิน เลิศบุศย์

นายสนธิ ลิ้มทองกุล

นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

ผู้ร้อง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น