...+

วันพุธที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2554

คติธรรม 18 พระอาจารย

คติธรรม 18 พระอาจารย
๑. หลวงปูเสาร กนฺตสีโล
วิปสสนานี้ มีผลอานิสงสใหญยิ่งกวาทาน ศีล พรหม
วิหารภาวนา ยอมทําใหผูเจริญนั้นมีสติไมหลงเมื่อทํา
กาลกิริยา มีสุคติภพ คือ มนุษยและโลกสวรรคเปนไป
ในเบื้องหนา หากยังไมบรรลุผลทําใหแจงซึ่งพระ
นิพพาน ถาอุปนิสัยมรรคผลมี ก็ยอมทําใหผูนั้นบรรลุ
มรรคผล ทําใหแจงซึ่งพระนิพพานไดในชาตินี้นั่น
เทียว
อนึ่ง ยากนักที่จะไดเกิดเปนมนุษย เพราะตองตั้งอยูใน
ธรรมของมนุษย คือ ศีล ๕ และกุศลกรรมบท ๑๐ จึง
จะไดเกิดมาเปนมนุษย ชีวิตที่เปนมานี้ ก็ไดดวยยาก
ยิ่งนักเพราะอันตรายชีวิตทั้งภายใน ภายนอกมีมาก
ตางๆ การที่ไดฟงธรรมของสัตตบุรุษคือ พระสัมมาสัม
พุทธเจานี้ก็ไดยากยิ่งนัก เพราะกาลที่วางเปลาอยู ไม
มีพระพุทธเจาเกิดขึ้นในโลกยืดยาวนานนัก บางคาบ
บางสมัย จึงจะมีพระพุทธเจาเกิดขึ้นในโลกสักครั้งสัก
คราวหนึ่ง เหตุนั้นเราทั้งหลายพึงอยูดวยความไมประมาทเถิด อยาใหเสียทีที่ไดเกิดมาเปน
มนุษยพบพระพุทธศาสนานี้เลย
๒. หลวงปูมั่น ภูริทตฺโต
การบํารุงรักษาสิ่งใดๆ ในโลก...การบํารุงรักษาตนคือ ใจ
เปนเยี่ยม จุดที่เยี่ยมยอดของโลกคือ ใจ ควรบํารุงรักษา
ดวยดี
ไมวาธรรมสวนใด ถาสําคัญ ...ตน...วาเสวยเปนอันผิด
ทั้งนั้น
ติดดี นี่แกยากกวาติดชั่วเสียอีก
Page 2
๓. หลวงปูดูลย อตุโล
สวนธรรมะ ใหดูที่จิตของตัวเอง ปฏิบัติที่จิต เมื่อเขาใจ
จิตแลว อยางอื่นก็เขาใจเอง หลักธรรมที่แทจริงนั้นคือ
จิต ใหกําหนดดูจิต ใหเขาใจจิตตัวเองสึกซึ้งแลว นั่น
แหละไดแลวซึ่งหลักธรรม
ถึงจิตไมสงบก็ไมควรใหมันออกไปไกลใชสติระลึกไป
แตในภายในกายนี้ ดูใหเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อสุภ
สัญญา หาสาระ แกนสารไมได เมื่อจิตมองเห็นชัดแลว
จิตก็เกิดความสลดสังเวช เกิดนิพพิทา ความหนาย
คลายกําหนัด ยอมตัดอุปาทานขันธไดเชนเดียวกัน
การศึกษาธรรมดวยการอานการฟง สิ่งที่ไดก็คือ สัญญา
(ความจําได) การศึกษาธรรมดวยการลงมือปฏิบัติ สิ่งที่
เปนผลของการปฏิบัติคือ ภูมิธรรม
การปฏิบัติ ใหมุงปฏิบัติเพื่อสํารวม เพื่อความละ เพื่อ
ความคลายกําหนัดยินดี เพื่อความดับทุกข ไมใชเพื่อเห็นสวรรควิมาน หรือแมพระนิพพานก็ไม
ตองตั้งเปาหมายเพื่อจะเห็นทั้งนั้น ใหปฏิบัติไปเรื่อยๆ ไมตองอยากเห็นอะไร เพราะนิพพานมัน
เปนของวาง ไมมีตัวตน หาที่ตั้งไมมี หาที่เปรียบไมได ปฏิบัติไปจึงจะรูเอง
ผูที่ปฏิบัติที่แทจริงนั้น ไมจําเปนตองคํานึงถึงชาติหนาชาติหลัง หรือนรก สวรรคอะไรก็ได ให
ตั้งใจปฏิบัติใหตรงศีล สมาธิ ปญญา อยางแนวแนก็พอ ถาสวรรคมีจริงถึง ๑๖ ชั้นตามมตํารา ผู
ปฏิบัติดีแลวยอมไดเลื่อนฐานะของตนโดยลําดับ หรือถาสวรรคนิพพานไมมีเลย ผูปฏิบัติดีแลว
ในขณะนี้ก็ยอมไมไรประโยชน ยอมอยูเปนสุข เปนมนุษยชั้นเลิศ
๔. หลวงปูเทสก เทสฺรํสี
ตามกระแสพระธรรมเทศนาของสัมมาสัมพุทธเจาวา
ทุกขเปนของไมควรละ แตเปนของควรตอสู ความ
ทะยานอยากไดสุขหรือไมอยากใหมีทุกขตางหาก เปน
ของควรละ ผูที่จะพนจากทุกขไดในโลกนี้ ก็ลวนแลวแต
ยกทุกขขึ้นมาเปนเหตุทั้งนั้น
ทุกขกับความเพียรเทานั้นที่มีคามากในโลกนี้ หากไมมี
ทุกขกับความเพียรเสียแลว ใครๆ ในโลกนี้ จะไมทํา
ความดีเพื่อพนทุกขในโลกนี้และโลกหนา ตลอดถึงพระ
นิพพาน
แทจริงความนึกคิดไมใชทุกข แตการไปยึดความนึกคิด
มาเปนของตน จึงเปนทุกข
หลักอนัตตา ในทางพระพุทธศาสนาที่พระพุทธเจาตรัสรู
ดวยปญญาอันชอบ พระองคมิไดตรัสวาอนัตตาเปนของ
ไมมีตนไมมีตัว เปนของวางเปลา พระองคตรัสวา ตนตัวคือ รางกายของคนเรา อันไดแกขันธทั้ง
๕ นี้ มันมีอยูแลว แตจะหาสิ่งเปนสาระในขันธ ๕ นั้นไมมี ดังนี้ตางหาก
การเห็นความฟุงซานของจิตนั้นคือ ...ปญญาชั้นตน...
คนใดวาตนดี คนนั้นยังไมดี ใครวาตนวิเศษวิโส หรือฉลาดเฉียบแหลม คนนั้นคือ คนโง
Page 3
๕. หลวงปูขาว อนาลโย
สติเปนแกนของธรรม แกนของธรรมแทอยูที่สติ ใหพา
กัน หัดทําใหดี ครั้นมีสติแกกลาดีแลว ทําก็ไมพลาด
คิดก็ไมพลาด กุศลธรรมทั้งหลายจะเกิดขึ้น เมื่อบุคคล
อยูกับสติแลว สติเปนใหญ สติมีกําลังดีแลว จิตมันรวม
เพราะสติคุมครองจิต
๖. หลวงปูแหวน สุจิณฺโณ
เวลากิเลสมันเกิดขึ้น เกิดขึ้นทางกาย เกิดขึ้นทางวาจา
เกิดขึ้นทางใจ รูทันมันเดี๋ยวนี้ มันก็ดับไปเดี๋ยวนี้แหละ
ตัวสติมันปกครองอยูเสมอ ถามีสติอยูทุกเมื่อ มันบได
คุบมันหละ ครั้นเกิดขึ้น รูทันมันก็ดับ รูทันก็ดับ รูทันก็
ดับ คิดผิดก็ดับ คิดถูกก็ดับ พอไจไมพอไจก็ดับลงทันที
ที่ตัวสติ
๗. ทานพอลี ธมฺมธโร
เมื่อมนุษยเปนคนไมดี แมวัตถุเหลานั้นจะเปนของดีก็ตาม
มันจะกลับกลายเปนโทษแกปวงชนไดเหมือนกัน
ถามนุษยมีธรรมประจําใจ สิ่งทั้งหลายที่ใหโทษก็จะ
กลายเปนประโยชน
พวกเราทั้งหลายไมมีความสัตยความจริงตอดัวเอง จึง
มิไดประสบสุขอันแทจริงเหมือนอยางพระพุทธองค เรา
บอกกับตัวเองวา อยากไดความสุข แตเราก็โดดเขาไปสู
กองไฟรอน เรารูวาสิ่งนั้นๆ เปนยาพิษ แตเราก็ดื่มมันเขา
ไป นี่แหละเปนการทรยศตอตัวเอง
Page 4
๘. ทานเจาคุณนรรัตนราชมานิต
คําวา ...ไมสบายใจ... อยาใช และอยาใหมีขึ้นในใจตอไป
...Let it go, and get it out !... กอนมันจะเกิด ตอง ...Let it
go...ปลอยใหมันผานไป อยารับเอาความไมสบายใจไว
ที่จะทําอะไรไมผิดนั้น ขอสําคัญอยูที่สติถามีสติคุมครองกาย
วาจา ใจ อยูทุกขณะ จะทําอะไรไมผิดพลาดเลย ที่ผิดพลาด
เพราะขาดสติคือ เผลอ เหมอ เลินเลอ ประมาท ระเริง หลงลืม
จึงผิดพลาด จงนึกถึงคติพจนวา ...กุมสติตางโลปอง อาจ
แกลวกลางสนาม...
ตองฝกหัดแกไขปรับปรุงจิตใจเสียใหมทั้งกอนที่จะทําอะไร
หรือกําลังกระทําอยู และเมื่อเวลากระทําเสร็จแลว ตองหัดให
จิตใจ แชมชื่นรื่นเริง เกิดปติปราโมทย เปนสุขสบายอยูเสมอ
เปนเหตุใหเกิดกําลังกาย กําลังใจ ...Enjoy living...มีชีวิตอยู
ดวยความเบิกบาน สมองจึงจะเบิกบาน จะศึกษาเลาเรียนก็เขาใจงายเหมือนดอกไมที่แยมบาน
ตองรับหยาดน้ําคาง และอากาศอันบริสุทธิ์ฉะนั้น
...จงเลือกทําแตกรรมที่ดีๆ นะ...เปนคําแทนคําอวยพรอยางสูงสุด ประกอบดวยเหตุผล เมื่อทํา
กรรมดีแลว ไมใหพรก็ตองดี เมื่อทําชั่วแลว จะมาเสกสรรปนแตงอวยพรอยางไร ก็ดีไมได ทําชั่ว
เหมือนกอนหินจะตองจมทันที ไมมีผูวิเศษใดๆ จะเสกเปาอวยพร ขอรองใหหินลอยขึ้นมาได ทํา
กรรมชั่วตองลนจมปน???เสียราศีเกียรติคุณชื่อเสียง เหมือนกอนหินหนักจมลงไปอยูกับโคลนใต
น้ํา
๙. หลวงปูฝน อาจาโร
เราเปนผูกอกรรม กอเวร กอภัย ไมมีใครกอให ไมใช
เทวบุตร เทวธิดาสรางให พี่นองสรางให บิดามารดา
สรางให เราสรางเอง
Page 5
๑๐. หลวงปูคําดี ปภาโส
ความจริงจิตใจของเราเองเปนตัวกอทุกข สังเกตได
จากพระอรหันตสาวกทั้งหลาย เมื่อทานมีความรู มี
ปญญาคุมครองรักษาใจทานดีแลว ทานก็ไมมีทุกข
เพราะทานไมปรารถนาในสิ่งตางๆ เมื่อเราประสบกับ
รูป กลิ่น เสียง หรืออื่นๆ ก็เพราะใจเรามีตัณหา
ปรารถนา ทะเยอทะยาน ยินดียินรายในสิ่งเหลานั้น
ทําใหเราเปนทุกข
ไมใชวารูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ หรือสิ่งอื่นๆ ที่
จะไดมาเผาเราใหรอนเปนทุกข ตัวของเราเองที่เปน
ไฟมาคอยเผาตัวเอง
การภาวนา ทานตองการใหเราปราบกิเลสของเรา
เทานั้น คือเห็นความโลภ เห็นความโกรธของตน เห็น
ความหลงของตน เห็นราคะตัณหาของตน เห็น
มานะทิฏฐิของตน
นี่แหละ บรรดาสิ่งสมมติที่เราไปยึดถือวาเปนกรรมสิทธิ์ของเรานั้น ก็จะไดเพียงชีวิตหนึ่งๆ
เทานั้น ไมวาจะเปนสามีภรรยา หรือสมบัติตางๆ เมื่อเราตายไปแลว เราจะยึดถือเปนกรรมสิทธิ์
ของเราอีกไมได เราจะเอาสิ่งตางๆ เหลานั้นติดตามไปสวรรค นรก หรือที่ไหนๆ ก็ไมได ตรงกับ
คําวา ...สมบัติของโลก ก็ตองอยูในโลก...
๑๑. หลวงพอดู พฺรหฺมปฺโญ
...โลกเทาแผนดิน ธรรมเทาปลายเข็ม...
เรื่องโลกมีแตเรื่องยุงของคนอื่นทั้งนั้น ไมมีที่สิ้นสุด เรา
ไปแกไขเขาไมได
สวนเรื่องธรรมนั้นมีที่สุด มาจบที่ตัวเรา ใหมาไลดูตัวเอง
แกไขตัวเราเอง ตนของตนเตือนตนดวยตนเอง
ถาเปนโลกแลว จะมีแตสงออกไปขางนอกตลอดเวลา
แตถาคิดสิ่งที่เปนธรรมแลว ตองวกกลับเขามาหาตัวเอง
เพราะธรรมแทๆ ยอมเกิดในตัวของเรานี่ทั้งนั้น
รอใหแกเฒาหรือจวนตัวแลวจึงสนใจภาวนา ก็เหมือน
คนหัดวายน้ําเอาตอนเรือหรือแพใกลแตก มันจะไมทัน
การณ
Page 6
๑๒. หลวงปูสิม พุทฺธาจาโร
เมื่อสิ่งที่ไมเที่ยงนั้นแหละมาถึงบุคคลใด บุคคลนั้น
จะตองรูเทาทัน อยาไปยึดเอาถือเอา เมื่อไปยึดสิ่งได
ถือสิ่งไดสิ่งนั้นไมเปนไปตามใจหวัง ก็เกิดความทุกข
ขึ้นมา ถาไมยึดเอาถือเอา เห็นวา ทุกสิ่งทุกอยางยอมมี
ความไมเที่ยงอยางนี้ มีความเกิดขึ้น ตั้งอยูแลวดับไป
เกิดขึ้นใหม ตั้งอยู ก็ดับไป เกิดขึ้นแลวก็ดับไป เปนอยู
อยางนี้ทุกสิ่งทุกอยาง ไมวาคน สัตว วัตถุธาตุทั้งหลาย
มีความไมเที่ยงแทแนนอนอยางนี้
วันเวลาที่หมดไปสิ้นไป โดยไมไดทําอะไรที่เปน
คุณประโยชนแกตัวเองบางในชีวิตที่เกิดมาในโลก และ
ไดพบพระพุทธศาสนานี้ชางเปนชีวิตที่นาเสียดายยิ่งนัก
เวลาแมเพียงหนึ่งนาทีที่ผานไปนั้น แมวาจะทุมเงิน
จํานวนมหาศาลสักสิบลาน รอยลานบาท ก็ไมสามารถ
ซื้อกลับคืนมาได ฉะนั้น สิ่งที่นาเสียดายในโลกนี้ จะมี
อะไรนาเสียดายเทากับปลอยวันเวลาผานเลยไปโดย
เปลาประโยชน แมวาจะเพียงแคนาทีเดียว
...มรณกรรมฐาน... นี้เปนยอดกรรมฐานก็วาได คนเราเมื่ออาศัยความประมาทมัวเมา ไมได
มองเห็นภัยอันตรายจะมาถึงตน คิดเอาเอง หมายเอาเองวา เราคงไมเปนอะไรงายๆ เราสบายดี
อยูเรายังเด็กยังหนุมอยู ความตายคงไมกล้ํากรายไดงาย อันนี้เปนความประมาทมัวเมา
๑๓. ทานอาจารยพระมหาบัว ญาณสมฺปนฺโน
ธัมมะทานสอนใหดูตัวเอง ระวังตัวเอง จะไดเห็นความ
บกพรองของตัวเอง แลวแกไขตัวเองไปเรื่อยๆ จนสมบูรณ
ได
Page 7
๑๔. ทานพอเฟอง โชติโก
กอนที่จะพูดอะไร ใหถามตัวเองวาที่จะพูดนี้จําเปนหรือ
เปลา ถาไมจําเปนก็อยาพูด นี่เปนขั้นตนของการอบรม
ใจ เพราะถาเราควบคุมปากตัวเองไมได เราจะควบคุมใจ
ไดอยางไร
ไปกี่วัดกี่วัด รวมแลวก็วัดเดียวนั่นหละคือ วัดตัวเรา
จิตเปรียบเหมือนพระราชา อารมณทั้งหลายเปรียบ
เหมือนเสนา เราอยาเปนพระราชาที่หูเบา
มัวแตนึกถึงวันเกิด ใหนึกถึงวันตายเสียบาง
ของดีจริงไมตองโฆษณา คนชอบขายความดีตัวเอง ที่
จริงขายความโงของตัวเองมากกวา คมใหมีในฝก ใหถึง
เวลาที่จะตองใชจริงๆ จึงคอยชักออกมา จะไดไมเสียคม
สักวันหนึ่งความตายจะมาถึงเรา มาบีบบังคับใหเราปลอยทุกสิ่งทุกอยาง ฉะนั้น เราตองหัดปลอย
วางลวงหนาใหมันเคย ไมอยางนั้น พอถึงเวลาไปจะลําบาก
เวลาเราทํางานอะไรอยู ถาเราสังเกตวาใจเราเสีย ก็ใหหยุดทันที แลวกลับมาดูใจของตนเอง เรา
ตองรักษาใจของเราไวเปนงานอันดับแรก
คนอื่นเขาดาเรา เขาก็ลืมไป แตเราไปเก็บมาคิด เหมือนเขาคายเศษอาหารทิ้งไปแลว เราไปเก็บ
มากิน แลวจะวาใครโง
๑๕. หลวงพอชา สุภทฺโท
ผูไปยึดอารมณจะเปนทุกข เพราะอารมณมันไมเที่ยง
ดูซิ...เราขามกันไปหมด พากันทําบุญ แตวาไมพากันละ
บาป ผาสกปรกไมฟอก แตอยากจะรับน้ํายอมนะ
ที่เรามาปฏิบัติกันอยูทุกวันนี้ ก็เพื่อใหเห็นจิตเดิม เราคิดวา
จิตเปนสุขจิตเปนทุกข แตความจริงจิตไมไดสรางสุขสราง
ทุกข อารมณมาหลอกลวงตางหาก มันจึงหลงอารมณ
ฉะนั้น เราจึงตองมาฝกจิตใจใหฉลาดขึ้น ใหรูจักอารมณ
ไมใหเปนไปตามอารมณ จิตก็สงบ
การทําจิตใจของเราใหมีกําลัง กับการทํากายของเราใหมี
กําลัง มันตางกัน การทํากายใหมีกําลังก็คือ การออกกําลัง
กายทํากายบริหาร มีการกระโดด การวิ่ง นี่คือการทํากาย
ใหมีกําลัง การทําจิตใจใหมีกําลังก็คือ ทําจิตใหสงบ ไมใชทําจิตใหคิดนั่น คิดนี่ไปตางๆ ใหอยู
ในขอบเขตของมัน เพราะวาจิตของเรานั้นไมเคยไดสงบ ไมเคยมีกําลัง มันจึงไมมีกําลังทางดาน
สมาธิภายใน
Page 8
๑๖. หลวงปูหลา เขมปตฺโต
มองตัวเองใหมากจึงจะกลายเปนคนดีได มัวแตมอง
ทานผูอื่นแลวไซร ก็กลายเปนคนพาลไป ไมรูตัว
เพราะนิสัยคนพาลยอมเพงโทษผูอื่นเปนวัตร โบราณ
ทานกลาววา อุจจาระของตนนั่งดมอยูก็พอดม
อุจจาระทานผูอื่นเลา มากระทบจมูกเขาก็เกิดเปนพิษ
เปนภัยขึ้น (โลกทั้งปวงยอมเปนแบบนี้เปนสวนมาก)
ถาหากโลกทั้งปวงหนักไปทางสอนตนเองเปนชั้นหนึ่ง
และเปนของจําเปนมากกวาสิ่งใดๆ แลว การโตเถียง
เกี่ยงงอนรังเกียจเบียดสีกัน ก็คงสงบไปในตัว
เทาที่ควร และพุทธศาสนาก็ยืนยันวา ...สอนตนดีแลว
จึงสอนทานผูอื่น...จึงไมเดือดรอนในภายหลัง
เรื่องอุปสรรคในโลกทั้งปวง และก็เปนยาวิเศษทั้งปวง
ไปในตัว เปนเหตุใหเข็ดหลาบโลกทั้งปวงไปในตัว
แบบถี่ถวนแยบคายดวยซ้ํา
มุงดีในโลกียเปนทางวนเวียน มุงดีในทางโลกุตตระเปนทางพนทุกข
๑๗. พระอาจารยบุญกู อนุวฑฺฒโน
เราไปเขาโรงเรียน เพียรศึกษาวิชาการ แลวมุงทํางาน
อาชีพ เรายอมไดเงินทองเพื่อมาเลี้ยงรางกาย เราเขาวัด
เพียรศึกษาธรรมะ แลวมุงทําบุญกุศล เรายอมเสียเงิน
ทองเพื่อเลี้ยงจิตใจ ผูใดมุงเลี้ยงแตรางกาย หรือบํารุงแต
จิตใจเพียงอยางเดียว ความเจริญของชีวิตยอมขาดตก
บกพรองไป หากผูใดเขาใจเลี้ยงทั้งรางกายและบํารุง
จิตใจพรอมกัน ความเจริญของชีวิตยอมเพิ่มพูนยิ่งขึ้น ยัง
มีชีวิตอยูก็สบาย ตายไปก็ตองเปนสุข
Page 9
๑๘. พุทธทาสภิกขุ
วิธีชุบชีวิตยามมีทุกข คนเราเกิดมาชาติหนึ่ง ถารูจักแต
ทํามาหากินเลี้ยงรางกายอยางเดียว ไมรูจักแสวงหา
ธรรมะมาหลอเลี้ยงจิตใจใหสุขสงบเย็นดวยแลว การ
เกิดมานั้น ก็จะเปนการเกิดมาเพื่อทนทุกขทรมานติดคุก
ติดตาราง ในทางวิญญาณชนิดหนึ่งไปจนตาย ทุกๆ
ชาติทีเดียว เพราะถาไมรูจักทําจิตใจใหสงบตามธรรม
บางแลว แมคนรวยที่อยูตึกก็มีความสุขสูคนจนที่อยู
กระทอมซอมซอไมได

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น