...+

วันศุกร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2554

จุลลนันทิยชาดกผลของกรรมดีกรรมชั่ว

จุลลนันทิยชาดกผลของกรรมดีกรรมชั่ว

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ
พระเวฬุวันมหาวิหาร
ทรงปรารภพระเทวทัต
ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้
ความย่อมีอยู่ว่า
วันหนึ่งพวกภิกษุประชุมสนทนากันใน
โรงธรรมว่า ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย
ขึ้นชื่อว่าพระเทวทัตเป็นผู้
กักขฬะหยาบช้า โผงผาง
ประกอบการมุ่งปลงพระชนม์พระสัมมาสัม
พุทธเจ้า ได้กลิ้งศิลา ปล่อยช้างนาฬาคิรี
มิได้มีแม้แต่ขันติเมตตา และความ
เห็นอกเห็นใจ ในพระตถาคตเลย
พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
บัดนี้พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไร
เมื่อกราบทูลให้ทรงทราบแล้วจึงตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เทวทัตกักขฬะ
หยาบคาย ไร้กรุณามิใช่ในบัดนี้เท่านั้น
แม้เมื่อก่อนเทวทัตก็กักขฬะ
หยาบคายไร้กรุณาเหมือนกัน แล้ว
ทรงนำเรื่องอดีตมาตรัสเล่า
ใน
อดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสม
บัติอยู่ในกรุงพาราณสี
พระโพธิสัตว์ถือกำเนิดเป็นวานร ชื่อ
นันทิยะ อยู่ในหิมวันตประเทศ
มีน้องชายชื่อว่า จุลลนันทิยะ ทั้ง
สองพี่น้องมีวานร ๘๔,๐๐๐ เป็นบริวาร
ปรนนิบัติมารดาซึ่งตาบอดอาศัยอยู่ใน
หิมวันตประเทศ วานรสองพี่น้องให้
มารดาพักนอนที่พุ่มไม้ เข้า
ไปป่าหาผลไม้ที่มีรสอร่อยได้แล้ว ส่งไป
ให้มารดา ลิงที่นำมามิได้เอาไปให้มารดา
มารดาถูกความ
หิวครอบงำจนซูบผอมซีดเหลือแต่หนังหุ้ม
กระดูก
ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์จึงถามมารดาว่า
แม่จ๋า ลูกส่งผลไม้มีรสอร่อยมาให้แม่
ไฉนแม่จึงซูบผอมนักเล่า มารดาตอบว่า
ลูกเอ๋ย แม่ไม่เคยได้เลย
พระโพธิสัตว์คิดว่า เมื่อเรายัง
ปกครองฝูงวานรอยู่ แม่ของเราคงตาย
เป็นแน่ เราจะละฝูงวานรไปปรนนิบัติแม่
เท่านั้น พระโพธิสัตว์จึง
เรียกจุลลนันทิยะมากล่าวว่า นี่แน่ะ น้อง
น้องจงปรกครองฝูงวานรเถิด
พี่จักปรนนิบัติแม่เอง ฝ่ายจุลลนันทิยะจึง
กล่าวว่า พี่จ๋า น้องไม่ต้อง
การปกครองฝูงวานร น้องก็จะ
ปรนนิบัติแม่บ้าง พี่น้องทั้งสองนั้นมีความ
เห็นเป็นอันเดียวกันฉะนี้แล้ว จึง
ละฝูงวานรพามารดาออกจาก
หิมวันตประเทศ อาศัยอยู่
ที่ต้นไม้ชายแดน ปรนนิบัติมารดา
ครั้งนั้น
มีพราหมณ์มาณพชาวกรุงพาราณสีผู้
หนึ่ง เรียนจบศิลปะทุกประการ ใน
สำนักอาจารย์ทิศาปาโมกข์ ใน
เมืองตักกสิลา อำลาอาจารย์ว่า
กระผมจักไป
ฝ่ายอาจารย์ก็รู้ด้วยอานุภาพวิชชาใน
ตนว่า มาณพนั้นเป็นคนกักขฬะ หยาบช้า
โผงผาง จึงสั่งสอนว่า แน่ะพ่อ เจ้าเป็น
คนกักขฬะ หยาบช้า โผงผาง ถ้าขืนเป็น
อย่างนี้จะไม่มีผลสำเร็จเช่นเดียวกัน
ตลอดกาล ย่อมต้องพบความพินาศ ความ
ทุกข์อย่างใหญ่หลวง ท่านอย่าได้เป็น
คนกักขฬะ หยาบช้า อย่าได้ทำกรรมอัน
ให้เดือดร้อนในภายหลังเลย ดังนี้แล้วจึง
ส่งไป
พราหมณ์มาณพนั้นไหว้อาจารย์แล้ว
ไปสู่กรุงพาราณสี มีครอบครัวแล้ว เมื่อไม่
สามารถจะเลี้ยงชีพด้วยศิลปะอย่างอื่น จึง
คิดว่า เจาจักยึดเอาคันธนูเป็น
ที่พึ่งเลี้ยงชีวิต คือจักหากินทางเป็นพราน
ออกจากกรุงพาราณสี อยู่ที่บ้านชายแดน
ผูกสอดธนูและแล่งธนูเสร็จแล้ว เข้า
ป่าล่าเนื้อนานาชนิด เลี้ยงชีพด้วย
การขายเนื้อ
วันหนึ่งเขาหาอะไรในป่าไม่ได้เลย
กำลังเดินกลับพบต้นไทรอยู่ที่ริมเนิน
คิดว่าน่าจะมีอะไรอยู่ที่ต้นไทรนี้บ้าง จึง
เดินตรงไปยังต้นไทร ขณะนั้น
วานรสองพี่น้องนั่งอยู่ระหว่างค่าคบ ให้
มารดาเคี้ยวกินผลไม้อยู่ข้างหน้า
เห็นพราหมณ์มาณพนั้นเดินมา คิดว่าถึง
จะเห็นมารดาเรา ก็คงจะไม่ทำอะไร จึง
แอบอยู่ระหว่างกิ่งไม้ ฝ่ายบุรุษโผงผางผู้
นั้นมาถึงโคนต้นไม้แล้ว
เห็นมารดาของวานรนั้น
แก่ทุพพลภาพตาบอด คิดว่า เราจะ
กลับไปมือเปล่าทำไม
จักยิงนางลิงตัวนี้เอาไปด้วย จึง
โกร่งธนูหมายจะยิงนางลิงแก่ตัวนั้น
พระโพธิสัตว์เห็นดังนั้นจึงกล่าว
พ่อจุลลนันทิยะ พรานจะ
ยิงมารดาของเรา พี่จะสละชีวิตให้
แทนมารดา เมื่อพี่ตายไปแล้ว
น้องจงเลี้ยงดูมารดาเถิด จึงออกจาก
ระหว่างกิ่งไม้กล่าวว่า ท่านผู้
เจริญขอท่านอย่าได้ยิงมารดาของเราเลย
มารดาของเราตาบอด ทุพพลภาพเราจะ
สละชีวิตให้แทนมารดา ขอท่านอย่าได้
ฆ่ามารดาเลย จงฆ่าเราเถิด
รับปฏิญญาของบุรุษนั้นแล้ว จึงไปนั่งใน
ทางของลูกศร บุรุษนั้นปราศจากความ
กรุณา ยิงพระโพธิสัตว์ตกลง แล้ว
ขึ้นธนูอีกเพื่อจะ
ยิงมารดาของพระโพธิสัตว์อีกด้วย
จุลลนันทิยะเห็นดังนั้น คิดว่าบุรุษผู้นี้ใคร่
จะยิงมารดาของเรา มารดาของเราแม้จะ
มีชีวิตอยู่วันเดียว ก็ยังได้ชื่อว่ารอดชีวิต
แล้ว เราจักสละชีวิตให้แทนมารดา จึง
ออกจากระหว่างกิ่งไม้กล่าวว่า ท่านผู้
เจริญท่านอย่ายิงมารดาของเราเลย
เราจักสละชีวิตให้แทนมารดาท่านยิงเรา
แล้วเอาเราสองพี่น้องไป จงไว้
ชีวิตแก่มารดาของเราเถิด
รับปฏิญญาของบุรุษนั้นแล้ว นั่งใน
ทางของลูกศร บุรุษนั้นจึงยิงจุลลนันทิยะ
นั้นตกลง แล้วคิดว่าเราจักเอาไปเผื่อเด็ก
ๆ ที่บ้านจึงยิงมารดาของวานรทั้งสอง
ด้วยตกลงมาจากค่าคบ พรานจึงหาบไป
ทั้ง ๓ ตัว มุ่งหน้าตรงไปบ้าน ครั้งนั้น
สายฟ้าได้ตกลงที่บ้านของบุรุษชั่วนั้น
ไหม้ภรรยาและลูกสองคนพร้อมกับบ้าน
เหลือแต่เพียงเสากับขื่อ
ขณะนั้นบุรุษผู้หนึ่ง พบบุรุษชั่วนั้น
ที่ประตูบ้านนั่นเองจึงเล่าความเป็นไปให้
ฟัง บุรุษชั่วผู้นั้นถูกความเศร้าโศกถึงบุตร
และภรรยาครอบงำ ทิ้งหาบเนื้อและธนู
กับแล่งไว้ตรงนั้นเอง ปล่อยผ้า
เปลือยกายประคองแขนร่ำไห้เข้า
ไปที่เรือน ขณะนั้น
ขื่อหักตกลงมาถูกศีรษะแตก
แผ่นดินแยกออกเป็น
ช่องเปลวไฟแลบขึ้นมาจากอเวจีมหานรก
บุรุษชั่วผู้นั้นกำลังถูกแผ่นดินสูบ ระลึกถึง
โอวาทของอาจารย์ได้
คิดว่าท่านปาราสริยพราหมณ์เห็นเหตุนั้น
จึงได้ให้โอวาทแก่เรา ได้
กล่าวคาถาสองคาถารำพันว่า :
ปาราสริยพราหมณ์ได้กล่าวคำใดไว้ว่า
ท่านอย่าได้กระทำกรรมชั่ว
อันจะทำตัวท่านให้เดือดร้อนใน
ภายหลังนะ
คำนี้นั้นเป็นถ้อยคำของท่านอาจารย์
บุรุษทำกรรมเหล่าใดไว้ เขา
ย่อมเห็นกรรมเหล่านั้นในตน
ผู้ทำกรรมดีย่อมได้รับผลดี ผู้
ทำกรรมชั่วย่อมได้รับผลชั่ว
บุคคลหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้รับผลเช่น
นั้น
บุรุษผู้ชั่วช้านั้นคร่ำครวญอยู่อย่างนั้นเอง
เข้าไปสู่แผ่นดินเกิดในอเวจีมหานรก
พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เทวทัตกักขฬะหยาบช้ามิใช่ในบัดนี้เท่า
นั้น แม้เมื่อก่อนก็กักขฬะ
หยาบช้าไร้กรุณาเหมือนกัน แล้ว
ทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดง แล้ว
ทรงประชุมชาดกว่า บุรุษพรานในครั้ง
นั้นได้เป็นเทวทัตในครั้งนี้
อาจารย์ทิศาปาโมกข์ได้เป็นสารีบุตร
จุลลนันทิยวานรได้เป็นอานนท์
มารดาวานรได้เป็นมหาปชาบดีโคตมี
ส่วนมหานันทิยวานร คือเราตถาคตนี้แล
จบ จุลลนันทิยชาดก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น