...+

วันพุธที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

อัปยศจากกัมพูชา อดสูจาก MOU 2543 และไร้ความหวังจากรัฐบาล “ดื้อตาใส”..!!

“…นสพ.กัมพูชาใหม่ (กัมปุเจียทะเม็ย) ได้เผยแพร่ข่าวแถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา กรณีการตอบโต้ข้อเรียกร้องของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีไทย ที่ให้ปลดธงชาติกัมพูชาออกจากวัดแก้วสิขาคีรีสวาระ โดยรัฐบาลกัมพูชาได้ปฏิเสธอย่างสิ้นเยื่อใย และยืนยันว่าวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระเป็นดินแดนของกัมพูชา

แถลงการณ์ดังกล่าวระบุว่า เมื่อวันที่ 28 ม.ค. 54 กระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศกัมพูชา ขอยืนยันถึงจุดยืนของกัมพูชาต่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะว่า เมื่อวันที่ 13 ก.พ. 2447 ฝรั่งเศสและสยาม ได้ลงนามในอนุสัญญาจัดตั้งคณะกรรมาธิการร่วมเพื่อกำหนดขันธสีมา เขตแดนระหว่างอินโดจีนและสยาม ในช่วงเวลาระหว่างปี 2448-2451 คณะกรรมาธิการร่วมฝรั่งเศส-สยาม ได้จัดทำแผนที่รวม 11 แผ่น ทั้งนี้ มีแผนที่กำหนดขันธสีมาเขตแดนในพื้นที่ 6 แห่ง ซึ่งมีพื้นที่ปราสาทพระวิหารรวมอยู่ด้วย

เมื่อปี 2497 ทหารไทยได้เข้ารุกรานดินแดนกัมพูชา และเข้าครอบครองปราสาทพระวิหาร วันที่ 6 ตุลาคม 2502 กัมพูชายื่นฟ้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือศาลโลกกรณีรุกรานดินแดนกัมพูชา โดยยึดตามแผนที่ที่จัดทำโดยคณะกรรมาธิการฝรั่งเศส-สยาม เป็นสำคัญ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้พิพากษา เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2505 ดังต่อไปนี้

“ปราสาทพระวิหารอยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของกัมพูชา ประเทศไทยมีภารกิจถอนกำลังทหาร ตำรวจ กองกำลังรักษาชายแดน หรือผู้ดูแลอื่นๆ ที่ทางการไทยได้ส่งมาประจำการในพื้นที่ปราสาทพระวิหาร หรือในพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหาร ที่ตั้งอยู่ในดินแดนของกัมพูชา”

กระทรวงการต่างประเทศ ในนามรัฐบาลกัมพูชา ได้ยืนยันว่า มาตรา 1 (C) ในบันทึกข้อตกลงระหว่างรัฐบาลกัมพูชากับรัฐบาลไทยว่าด้วยการวัดและกำหนดเขตแดนทางบก ซึ่งลงนามเมื่อ 14 มิถุนายน 2543 ได้ยอมรับซึ่งแผนที่ตามที่ได้นำเรียนในข้างต้นว่าเป็นมูลฐานกฎหมาย สำหรับภารกิจรังวัด และกำหนดเขตแดนระหว่างราชอาณาจักรกัมพูชากับราชอาณาจักรไทย

อ้างตามแผนที่ที่จัดทำโดยคณะกรรมาธิการฝรั่งเศส-สยาม วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระที่ประชาชนกัมพูชาได้สร้างขึ้นเมื่อปี 2541 มีที่ตั้งอยู่ในดินแดนกัมพูชาอย่างชัดเจน ด้วยเหตุนี้การประดับธงชาติแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาภายในวัดนี้ ถือเป็นการชอบธรรมตามกฎหมาย

รัฐบาลกัมพูชาระบุว่า แถลงการณ์เช่นนี้ เป็นของนายกรัฐมนตรีไทย และเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับการซ้อมรบของกองทัพไทยตามแนวชายแดนติดกับกัมพูชา ถือเป็นการยุยงสร้างสถานการณ์เพื่อกระทำการรุกรานต่อต้านกัมพูชาในอนาคตอย่างชัดเจน

“ประเทศกัมพูชาขอสงวนสิทธิ์อันชอบธรรมด้วยกฎหมาย เพื่อปกป้องซึ่งบูรณภาพแห่งดินแดน และอำนาจอธิปไตยของตัวเอง” ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้องของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีไทย เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2554 ที่เรียกร้องให้กัมพูชาปลดธงชาติออกจากวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระของกัมพูชา กระทรวงการต่างประเทศ และความร่วมมือระหว่างประเทศ ขอยืนยันว่า แถลงการณ์ของนายกรัฐมนตรีไทยนั้นไม่สามารถยอมรับได้ และราชอาณาจักรกัมพูชาขอปฏิเสธอย่างแข็งขัน ซึ่งข้อเรียกร้องอันดูถูกนี้....”

...............................

ครับ ผมลอกข่าวทั้งดุ้นมาจาก “ASTV ผู้จัดการรายวัน” ฉบับวันที่ 2 ก.พ.2554 เป็นแถลงการณ์ตอบโต้จากกระทรวงการต่างประเทศของกัมพูชา ลงวันที่ 1 ก.พ.2554 ภายหลังจากที่กระทรวงการต่างประเทศของไทยออกแถลงการณ์ 4 ข้อ สั้นๆ เมื่อวันที่ 31 ม.ค. 2554 เนื้อหาสรุปได้ว่า

1) ตาม MOU 2543 นั้นประเทศไทยไม่ยอมรับข้ออ้างของกัมพูชาว่าแผนที่ 1 ต่อ 200,000 เป็นเอกสารที่จะกำหนดเขตแดน 2) ศาลโลกเมื่อปี 2505 ไม่ได้ตัดสินรื่องเขตแดนแต่อย่างใด 3) “วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ” ตั้งอยู่ในเขตไทย ขอให้กัมพูชารื้อถอนวัดแก้วฯ และปลดธงกัมพูชาที่ประดับเหนือวัดออกไป และ 4) ไทยจะแก้ปัญหาตามกรอบกฎหมายระหว่างประเทศโดยสันติวิธี และข้อตกลงของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย - กัมพูชา (JBC) ซึ่งการกำหนดเส้นเขตแดนบริเวณปราสาทพระวิหารยังคงเป็นเรื่องที่อยู่ระหว่างการเจรจา

ดูแถลงการณ์ของเราแล้วย้อนไปดูแถลงการณ์ของเขา แน่นอนล่ะว่ากัมพูชานั้นไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหมหน้าเหลี่ยมหน้าหล่อใดๆ ทั้งสิ้น กูคิดของกูอย่างนี้กูจะเอาของกูอย่างนี้ แต่ครั้นมาดูฝ่ายเราบางทีก็อยากจะร้องไห้ ขนาดว่าเป็นครั้งแรกที่กระทรวงการต่างประเทศของรัฐบาลไทยประกาศกร้าวว่าวัดแก้วฯ อยู่ในเขตไทยแต่กัมพูชาก็ไม่ให้ราคาไม่สนใจ...

อ่านแถลงการณ์กัมพูชากี่เที่ยวก็จะพบว่า อาวุธหรือข้ออ้างสำคัญของกัมพูชาก็คือ MOU 2543 โดยเฉพาะข้อ 1 (ค) ที่เราไปยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 นั่นแหละ

พูดไปทำไมมี...สิ่งที่ภาคประชาชน,พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และภาคส่วนต่างๆ พูดถึงเรื่องนี้มาร่วม 2 ปีและล่าสุดต้องตั้งเวทีชุมนุมเรียกร้องกันในขณะนี้มันควรเพียงพอที่จะหยุดความ “ดื้อตาใส” และการ “รักษาหน้า” ให้กับพรรคและพวกของตัวเองได้แล้ว...

การอ้างเอ่ยว่าปัญหาไทย - กัมพูชาหมักหมมมีมาก่อนจะเกิด MOU 2543 แล้ว ไม่พึงจะเป็นวิสัยของผู้ที่จะแก้ปัญหาบ้านเมือง รัฐบาล-ผู้นำของประเทศควรที่จะหาหนทางผนึกกำลังจับมือกับภาคประชาชนภาคส่วนต่างๆ ที่รักบ้านรักเมืองด้วยหัวใจที่เปิดกว้างและจิตวิญญาณที่จะแก้ปัญหาจริงๆ ต้องหลุดพ้นจากความคิดเรื่องกำไร -ขาดทุนทางการเมือง...

กรณี MOU 2543, กรณี 7 คนไทยถูกจับกุมและล่าสุดคุณวีระ สมความคิด คุณราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ 2 ใน 7 คนไทยถูกศาลกัมพูชาตัดสินจำคุก 8 ปีและ 6 ปี มันมากพอที่จะทำให้คนไทยจำนวนมากเริ่มรู้สึกว่า..รัฐบาลหมดสภาพนักศึกษาไปแล้ว...

อย่างไรก็ตาม ในอีกด้านหนึ่งผมก็มองเห็นถึงความพยายามของหลายส่วนในกองทัพที่พยายามกอบกู้เกียรติภูมิ-ศักดิ์ศรีของประเทศกรณีปัญหาไทย - กัมพูชาอยู่บ้าง อาทิ การเชิญธงชาติไทยผืนใหญ่ขึ้นสู่เสาแถบแถวบริเวณรอบเขาพระวิหาร แต่ตราบใดที่ทิศทางจากรัฐบาลและผู้นำประเทศยังไม่ชัดเจนเต็มร้อยว่าจะเดินทางไหน กองทัพก็คงทำได้ในขีดจำกัด..

ยิ่งถูก MOU 2543 มัดมือมัดเท้าพันธนาการไว้อีกต่างหาก ก็ยากที่จะขยับเขยื้อนไปได้มากกว่าที่เห็นๆ

หาทางยกเลิกหรืออย่างน้อย “ทบทวน” MOU 2543 อาจจะยังไม่สาย...และอย่ามาอ้างว่าพันธมิตรฯ หรือภาคประชาชนทั้งที่กำลังชุมนุมและไม่ได้ออกมาชุมนุมคืออุปสรรคในการแก้ปัญหาโดยเด็ดขาด..

เพราะถ้าไม่ลืมกำพืดของตัวเอง...ก็รัฐบาลชุดนี้ไม่ใช่หรือที่เกิดจากการชุมนุมของประชาชน..

วันนี้อยู่ที่ว่า...รัฐบาลจะโน้มตัวยื่นมือมาจับกับประชาชน (รวมทั้งผู้ชุมนุม) หรือไม่..!!??

หรือว่าจะชิงยุบสภาแบกปัญหาเดิมไปแก้ไขหรือตายเอาดาบหน้า..!!??

ซึ่งผมเชื่อว่าคำว่า “ดาบหน้า” นั้นปัญหาและสถานการณ์จะหนักหนาสาหัสมากกว่าเก่า..!!??

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น