...+

วันอาทิตย์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

แค่รู้...ก็ไม่หลงทางรัก

แค่รู้...ก็ไม่หลงทางรัก

"ทำไมนะคนเราถึงโหยหาที่จะมีความรัก"

นอกจากความเรียกร้องของ สัญชาตญาณทางเพศแล้ว คนหนุ่มสาวหลายคนกำลังโหยหาความรัก เพราะไปสำคัญว่าความรักนี่แหละจะช่วยผลักไสให้ความเหงาและความโดดเดี่ยวที่ ตนกำลังเผชิญอยู่ห่างออกไปได้ ทั้งที่มีหนุ่มสาวจำนวนไม่น้อย กลับเหงาและโดดเดี่ยวมากขึ้นเมื่อมีความรัก พร้อมทั้งวิตกกังวลและว้าวุ่นใจเพราะคนที่รัก

เมื่อเราปรารถนาให้ใคร สักคนมาอยู่ข้างกายหรือเป็นคู่รัก เราไม่มีทางรู้เลยว่าเหตุการณ์ต่อไปในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น พระพุทธองค์ตรัสว่า “ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์” เพราะความรักมีอีกชื่อหนึ่งว่า “กามตัณหา” ซึ่งคือกิเลสอันเจือด้วย ราคะ เฝ้าแต่เรียกร้องต่างๆนานาให้ตอบสนองกันและกันอย่างไม่สิ้นสุด ดังนั้นเมื่อเรากำลังเหงาและว้าเหว่จากการไขว่คว้าหาความรักอยู่ล่ะก็ โปรดตระหนักรู้ว่า เราทุกข์เพราะ “ความเหงา” เท่านั้นเอง มันไม่ได้เลวร้ายอะไรเท่าไหร่เลย ความเหงาเป็นเพียงคลื่นความคิดที่ผ่านเข้ามาเยี่ยมเยือนใจเราและก็ผ่านออกไป ขอให้การตระหนักรู้นี้อาบรดจิตใจของเราอยู่บ่อยๆ

"แล้วเราจะดูแลความเหงาได้อย่างไร"

เรา มีวิธีเยียวยา “ความเหงา” ง่ายๆ คือ ไม่ปล่อยให้ตัวเองอยู่ว่าง แต่สร้างกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวันให้เป็นกิจกรรมที่สร้างสรรค์ จรรโลงใจ และสามารถยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น เช่น การเล่นกีฬา พูดคุยเรื่องราวธรรมะ ช่วยเหลือสังคม หรือผู้ด้อยโอกาส เด็กกำพร้า คนชราที่ถูกทอดทิ้ง ทำบุญ ให้ทาน เป็นต้น ไม่ใช่กิจกรรมหรือเรื่องราวที่นำพาจิตใจของเราให้ไหลลงต่ำ หรือเรื่องราวที่วกเข้ามาสู่เรื่องเพศ ซึ่งจะทำให้เรามีจิตใจที่หม่นหมอง ดำมืด และหดหู่เพิ่มมากยิ่งขึ้นบางครั้งจะนำไปสู่ความเคียดแค้น ชิงชัง อันเป็นอารมณ์ทางลบ เพราะโดยปกติผู้ที่มีความหงอยเหงาจากความรักนั้น หากจิตใจฟุ้งซ่านและมีความคิดไหลลงต่ำแล้วมักจะวกหาเข้าสู่เรื่องเพศเสมอ

ความ จริงเราได้ลิ้มรสความรักได้โดยไม่ต้องรอคอยให้ใครมาถึงตัวเสียก่อน เพียงเราตระหนักรู้ความคิดของเราให้ไปในทางที่ปรารถนาดีกับสรรพชีวิตอื่นๆ ได้ เราก็อยู่กับความรักในขณะนั้นๆแล้ว

"หากเรามีรักที่ไม่สมหวัง เราจะดูและความเศร้า ความน้อยอก น้อยใจของตัวเองได้อย่างไร"

ไม่ เพียงแต่ความเหงา ความโกรธ ความน้อยใจ ก็ดี เราสามารถใช้อารมณ์เหล่านี้มาเป็นตัวตั้งในการเริ่มฝึกสร้างความปรารถนาดี ได้ เมื่อไรก็ตามที่อารมณ์ด้านลบเหล่านี้เกิดขึ้น ขอให้เราเพียงแค่ตระหนักรู้เท่านั้นว่าอารมณ์ด้านลบเหล่านี้ได้เกิดขึ้นมา แล้ว ทำความรับรู้ถึงอารมณ์นั้นไปตรงๆ ทำความรู้สึกบ่อยๆ เราก็จะเลิกยึดอารมณ์ด้านลบเหล่านั้นไปเองโดยไม่ต้องข่มหรือพยายามใดๆ ยิ่งฝึกบ่อยๆก็จะยิ่งเห็นอารมณ์ด้านลบหายไปเร็วขึ้น เราจะไม่ปล่อยให้อารมณ์ด้านลบนี้ออกมาทางวาจาและการกระทำ ปล่อยให้เป็นเพียงควันที่ลอยฟุ้งอยู่ในความคิดเท่านั้น ไม่คิดถึงเรื่องต้นเหตุ แล้วในที่สุดมันจะหายไปให้ดูต่อหน้าต่อตา

ขอ ให้เราฝึกเช่นนี้ เราจะกลายเป็นนักดูอารมณ์ ไม่ถูกอารมณ์ครอบงำ ไม่แม้กระทั่งไปครอบงำอารมณ์ด้วย เหมือนแยกเป็นคนละฝ่าย ฝ่ายหนึ่งแสดงอารมณ์ให้ดู อีกฝ่ายรู้อารมณ์ไป ฝ่ายแสดงไม่ชอบให้มารู้ เมื่อมีฝ่ายมารู้ก็จะรีบหนีไปทันที เมื่อเราฝึกเช่นนี้จนถึงจุดหนึ่งเราจะรู้สึก “โล่งอก” ขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์ เป็นความโล่งอกสบายๆ อยู่เรื่อยๆ ไม่อยากเอาเรื่องเอาราวกับใคร มีความสุขกับใจของตนเองได้

"จริงๆแล้ว รักแท้มีจริงหรือเปล่า"

หนุ่ม สาวเมื่อตกลงมาอยู่ในสภาวะคู่กัน ต่างต้องตระหนักรู้ว่าแต่ละคนแตกต่างกันเปรียบได้กับชิ้นส่วนอุปกรณ์ในโรง งานที่ต่างกัน แต่เมื่อนำมาประกอบกันแล้วจะต้องสามารถใช้การได้ดี ดังนั้นทั้งสองฝ่ายจะต้องเต็มใจที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เข้ากันได้

ธรรมชาติ การคบกันของหนุ่มสาวนั้น แตกต่างจากการคบกันแบบเพื่อน แบบพ่อ แม่ ญาติพี่น้อง ดังนั้นความดึงดูดกันจะมีอายุจำกัดจึงต้องเฝ้าเติมเหตุปัจจัยที่จะรักษาความ ดึงดูดเอาไว้ เฝ้าเติมไปจนล้าเมื่อใด ในที่สุดมันจะหมดลง เพราะความรักแบบนี้มีอายุได้นานเท่าที่เหตุปัจจัยยังคงอยู่

สิ่งที่ ทำให้คู่รักดำรงอยู่ด้วยกันได้ คือบุญที่ทำให้ต่างฝ่ายต่างรู้สึกกลมกลืน กลมเกลียวกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน หรือใกล้เคียงความเป็นหนึ่งเดียวกันมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

บุญ ในที่นี้คือ การคิด การพูด การทำในสิ่งที่จะทำให้ความรู้สึกมีความดึงดูดต่อกัน ไม่ใช่การใส่บาตรหรือถวายสังฆทานเพราะสิ่งนี้จะสร้างอารมณ์หวานขึ้นมาได้ ชั่ววูบใหญ่ๆ แต่ความรู้สึกที่เป็นรากแก้วหยั่ง ลึกลงไปอยู่ด้วยกัน ต้องอาศัยความคิด คำพูด และการกระทำที่ดีต่อกัน ในทางที่มีความนุ่มนวล ในทางที่เป็นมิตร โดยทั้งคู่ต้องปรับตัวเข้าหากัน ปรับคลื่นความคิด ปรับคำพูด และปรับการกระทำให้กลมกลืน กลมเกลียว และหยั่งรากอยู่ด้วยกัน นั่นคือความหมายของคู่รักที่แท้ ซึ่งไม่ได้มีอยู่อย่างถาวร มันมีการดำรงอยู่แค่อายุของบุญอันเกิดจากการปรับได้แล้วของความคิด คำพูด และการกระทำเท่านั้น นี่คือสิ่งที่พระพุทธศาสนาสอนไว้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมีรากมาจากความคิด คำพูด และการกระทำ

เมื่อเกิดปัญหา ในภาวะคู่ขึ้นมา เราต้องตระหนักรู้ว่านั่นคือภาวะหนึ่ง เป็นความผูกพันระดับหนึ่ง มีความอดทนต่อการแตกร้าวระดับหนึ่ง ไม่ใช่ความเป็นเนื้อเดียวกันดุจธาตุกายสิทธิ์ที่ไม่มีทางพังพินาศ เราควรมองให้ถูกจุดว่าเรากำลังยึดถือในสิ่งที่ไม่สามารถยึดถือได้ เราต้องทำความเข้าใจตั้งแต่ต้นว่าเราต่างเป็นคนแปลกหน้าที่มาคบกัน เกิดจากความตกลงร่วมกัน สิ่งที่เกิดขึ้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา

"เราควรปฏิบัติอย่างไรกับรักที่ไม่ราบรื่น สมหวัง"

ในอีกทางหนึ่ง เรารู้แล้วว่าภาวะคู่ผูกพันด้วยสายใย จึงเป็นไปได้ที่จะสร้างเสริมสายใยขึ้นมาใหม่อย่างไม่จำกัด

เดิม มีสายใยที่เรามองไม่เห็นด้วยตาเปล่าอยู่ก่อน จากบุญเก่าในอดีตที่ทำไว้ระหว่างกัน เราจะวัดระดับว่าสายใยหนาแน่นแข็งแรงเพียงใด ก็ด้วยการลองเจอปัญหา หรือเจอสิ่งที่ไม่ชอบในตัวอีกฝ่าย แล้วดูว่าสามารถรับได้แค่ไหน โดยเฉพาะที่ต้องเจอซ้ำๆ ถ้าความอดทนต่ำก็แปลว่าสายใยผูกพันไม่ได้เหนียวแน่นหรือแข็งแรงอะไรเลย แต่หากยังรักมากอยู่อีก ใจเราจะยิ่งอดทนสู้มากขึ้น

แต่หากหมดแรงที่ จะรัก ก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องฝืน เพราะฝืนแล้วเราจะต้องทุกข์ เป็นธรรมชาติที่หลังจากร่วมคบหากันไปสักระยะตัวตนของทั้งคู่จะแสดงออกมา ตรงนั้นเราต้องเชื่อสามัญสำนึกแล้วว่าเราสามารถที่จะรับได้ไหม เมื่อหลังจากพยายามอดทนกล้ำกลืนระยะหนึ่งแล้วไม่มีอะไรดีขึ้น บางทีการลองห่างกันไปบ้างเพื่อรักษาจิตใจก็อาจเป็นวิธีรักษาความรักไว้ แต่ถ้ากลับมาร่วมทางกันอีกครั้ง ให้ต่ออายุรักด้วยความตื่นรู้ที่จะละบาป ละเวร เลิกแล้วต่อกัน เปลี่ยนเป็นคิดดี พูดดี ทำดีต่อกัน การจากกันชั่วคราวของเรา จะเท่ากับเป็นการปล่อยให้ความรักตายไป เพื่อให้มันเกิดใหม่อย่างไร้มลทินในวันหนึ่ง

เราสามารถพัฒนาความรัก ฉันคู่รักขึ้นมาได้ ด้วยการพยายามตื่นรู้ที่จะแปรเปลี่ยนทุกเรื่องราว ทุกการกระทำต่อกันให้ดีขึ้น เมื่อละความหลงออกแล้วความตระหนักรู้ในสัจธรรมแห่งความเปลี่ยนแปลงก็จะเข้า มาแทนที่ คุณค่าสูงสุดของรักแท้ คือการมีกันและกัน เตือนสติกันและกัน ประคับประคองและเกื้อกูลกันบนเส้นทางที่สูงขึ้น จนกว่าจะถึงความสิ้นสุดแห่งทุกข์คือพระนิพพาน การพากันรักพระนิพพานนั่นแหละคือรักอันเหนือรักอย่างแท้จริงอันเป็นความรัก ที่จะพัฒนาตัวมันเองให้แผ่กว้างไปสู่สรรพชีวิต ไม่จำกัดอยู่แต่กับคู่รักเท่านั้น จึงมีแต่ได้กับได้ เพราะแม้ยังไปไม่ถึงฝั่ง อย่างน้อยที่สุดก็ได้ชื่อว่ารักจะเป็นสุข ไม่ใช่รักจะเป็นทุกข์เยี่ยงคนหลงทาง หาทางออกยังไม่เจอ

การที่จะให้คนอื่นมีความสุขนั้น การกระทำที่สำคัญคือการให้

dhammaathand
โดย : ดังตฤณ
ที่มา : วารสารพลัม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น