...+

วันอาทิตย์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ใครสวาปามน้ำมันปาล์ม (เขียนให้คิด) โดย เฉลิมชัย ยอดมาลัย"

ใครสวาปามน้ำมันปาล์ม (เขียนให้คิด)


คนในสังคมไทยตั้งคำถามกัน มากมายว่า ผู้บริหารระดับสูงของพรรคประชาธิปัตย์ไม่รู้มาก่อนจริง ๆ หรือว่าจะบ้านเมืองของเราจะเกิดวิกฤตน้ำมันปาล์มขาดตลาด และวิกฤตนี้เกือบจะทำให้สังคมไทยเกิดโกลาหล เพราะประชาชนจำนวนมากต่างกรูกันไปแย่งชิงน้ำมันปาล์ม

มีผู้ถามต่อไป ว่าอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ผู้รอบรู้เกือบทุกเรื่อง สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายปาล์มแห่งชาติ และยังเป็นเจ้าของสวนปาล์มรายสำคัญของไทยอีกด้วย รวมถึงอัญชลี วานิช เทพบุตร เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ผู้ที่น่าจะคุ้นเคยกับชาวสวนปาล์มมาเกือบตลอดชีวิต ขณะเดียวกัน ผู้อ่านบางคนก็ฝากคำถามผ่านไปยังพิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล http://www.facebook.com/l/062b7/ส.ส.กระบี่ พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งมีสวนปาล์มขนาดใหญ่มหึมา โดยถามว่าคนเหล่านี้ไม่รู้บ้างเลยหรือว่า สังคมไทยในระยะเกือบ ๆ ครึ่งปีที่ผ่านมากำลังจะเกิดวิกฤตน้ำมันปาล์ม พร้อมถามย้ำมาด้วยว่า หากรู้ว่าจะเกิดวิกฤตแล้วทำไมปล่อยให้เรื่องลุกลามได้ถึงขนาดนี้

เมื่อ สังคมไทยประสบวิกฤตขาดแคลนน้ำมันปาล์มยาวนานเกือบ 2 เดือนเต็ม จู่ ๆ รัฐบาลก็ออกมาตรการแก้ไขปัญหาน้ำมันปาล์มขาดแคลน โดยการให้กระทรวงพลังงานนำน้ำมันปาล์มดิบ 15,000 ตัน ไปกลั่นเป็นน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์แล้วบรรจุขวดขายราคาลิตรละ 47 บาท โดยรัฐบาลประกาศอุดหนุนราคาให้ลิตรละ 9.50 บาท

เท่านั้นยังไม่พอ รัฐบาลยังสั่งให้สมาคมโรงกลั่นน้ำมันพืชนำเข้าน้ำมันปาล์มดิบแยกไขอีก 30,000 ตัน เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2554 โดยสั่งการให้องค์การคลังสินค้า (อคส.) เป็นผู้ควบคุมการนำเข้าภายใน 15 วัน โดยส่วนนี้รัฐบาลชดเชยให้ลิตรละ 5 บาท ซึ่งจากตัวเลขของทางการเบื้องต้นสรุปได้ว่า สองเรื่องนี้ทำให้รัฐบาลต้องจ่ายชดเชยรวมประมาณ 200 ล้านบาท

แต่ ความจริงที่ปรากฏก็คือราคาน้ำมันพืชปาล์มขนาด 1 ลิตรที่เคยขายขวดละ 38 บาท ก็กระเด้งขึ้นไปเป็น 47 บาท หรือเพิ่มขึ้นถึง 23.68 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้นยังไม่พอยังหาซื้อไม่ได้อีกด้วย เท่าที่ผู้เขียนเคยไปสำรวจพบว่าร้านค้าบางแห่งแถว ๆ ย่านสะพานใหม่ขายน้ำมันปาล์มขนาดลิตรขวดละเกือบ 70 บาท บางรายก็ขายแบบบรรจุถุง ราคาถุงละ 65-68 บาท ครั้นเมื่อไปดูตามชั้นวางน้ำมันในห้างสรรพสินค้าก็พบกับความว่างเปล่า

ทั้ง นี้ทั้งนั้นก็ต้องถามแบบคนที่ตามเรื่องนี้มาโดยตลอดว่า ทำไมรัฐบาลต้องรอให้ปัญหานี้สุกงอมเสียก่อนแล้วจึงค่อยคิดแก้ไข ทำแบบนี้เพื่ออะไร ถามอีกทีเถอะ ไม่คิดถึงความเดือดร้อนของประชาชนบ้างเลยหรือ และก็ขอถามอีกคำหนึ่งว่าการแก้ปัญหาแบบนี้ถือว่ามีประสิทธิภาพดีแล้วใช่ไหม

รัฐบาล ไม่รู้สึกอะไรบ้างหรือที่ประชาชนเกือบ 20 ล้านครอบครัวต้องประสบความเดือดร้อนกับการต้องวิ่งไล่ไขว่คว้าเพื่อหาน้ำมัน ปาล์มเข้าบ้าน ภาพชาวประชาพากันเข้าคิวยาวเหยียดเพื่อรอแบ่งส่วนบุญคือน้ำมันปาล์มเพียง 1-2 ขวดต่อครอบครัว

การที่ชาวบ้านต้องเจอกับปัญหาน้ำมันปาล์มราคา แพงก็สาหัสอยู่แล้ว แต่ยังต้องมาเจอกับปัญหาของขาดตลาดอีกด้วย แบบนี้ต้องถือว่าทรมานแสนสาหัส ที่ประหลาดก็คือผู้เขียนพบว่า ไม่แค่เพียงไม่มีน้ำมันปาล์มบนชั้นวางของเท่านั้น แต่กลับกลายเป็นว่าน้ำมันทุกชนิดก็หายไปจากชั้นวางของด้วย ถามว่านี่มันอะไรกัน รัฐบาลจะตอบเรื่องนี้อย่างไรมิทราบ

แต่หลังจาก ที่รัฐบาลประกาศว่าจะนำเข้าปาล์มเป็นแสนตัน แต่ภายหลังลดลงเหลือ 30,000 ตัน ก็กลับกลายเป็นว่า หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วันก็กลับมีน้ำมันกลับไปวางขายบนชั้นโดยทันที เรื่องอุบาทว์แต่มหัศจรรย์แบบนี้เกิดได้อย่างไร นายกรัฐมนตรีสุดหล่อตอบได้ไหมขอรับ

แน่นอนว่า คนที่ติดตามสถานการณ์บ้านเมืองคงพอจะรู้ว่าเมื่อปีที่ผ่านมาผลผลิตปาล์มของ ไทยลดน้อยลง เพราะเกิดทั้งอุทกภัยและภัยแล้ง แต่คำถามที่ตามมาก็คือแล้วหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่มีปัญญาคาดการณ์หรือว่า จะมีผลผลิตปาล์มเหลือกี่มากน้อย แล้วเตรียมแผนรองรับไว้ประการใด แต่ดูเสมือนว่ารัฐบาลจะไม่มีแผนรองรับเสียมากกว่า เพราะหากมีแผนรองรับแล้ว ปัญหาก็ไม่น่าจะระบาดลุกลามบานปลายยาวนานเกือบ 2 เดือน

ปัญหาใหญ่ อีกประการที่รัฐบาลไม่ยอมตอบเรื่องนี้ให้ชัดเจนก็คือ การนำเข้าน้ำมันปาล์มจากต่างประเทศ 30,000 ตัน ที่มีการอนุมัติไปตั้งแต่ต้นเดือนมกราคมก็มีปัญหา เพราะโรงงานผลิตน้ำมันปาล์มบางแห่งก็ไม่ยอมผลิตน้ำมันออกสู่ตลาด แต่หลังจากที่กรมสอบสวนคดีพิเศษเข้าไปตรวจสอบจึงพบว่าโรงงานหลายแห่งยังมี สต็อกน้ำมันปาล์มค้างอยู่จำนวนมาก ทำไมจึงอมสต๊อกไว้ อมไว้เพื่อหวังให้สังคมเกิดความปั่นป่วนใช่ไหม ถามว่าทำไมนายทุนพวกนี้จึงไม่เห็นแก่ความเดือดร้อนของประชาชนบ้าง หรือเพราะว่าเป็นนายทุนก็เลยไม่สนใจความเดือดร้อนของเพื่อนร่วมแผ่นดิน

แต่ ยังมีเรื่องที่อุบาวท์ไม่น้อยก็คือ ในขณะที่น้ำมันปาล์มไม่มีขายในตลาดก็ดันมีข่าวออกมาจากทางการอีกว่า ราคาขายน้ำมันที่ลิตรละ 47 บาทนั้น คงไม่สามารถจะยืนในราคานี้ได้ต่อไป เพราะต้นทุนราคาน้ำมันปาล์มล็อตใหม่ที่จะนำเข้าอีกจำนวน 120,000 ตันจะมีราคาสูงขึ้น จึงต้องขอปรับราคาน้ำมันปาล์มขึ้นอีก 9 บาทต่อขวดกลายเป็น 56 บาทต่อขวด เมื่อข่าวนี้แพร่กระจายออกไปก็ยิ่งทำให้ไม่มีการผลิตและกระจายน้ำมันปาล์ม เข้าสู่ตลาด เพราะถ้าหากขึ้นราคาได้จริง ก็จะทำให้ผู้ซึ่งมีสินค้าอยู่ในมือจะได้กำไรต่อขวดเพิ่มขึ้นทันทีอีกขวดละ 9 บาท ทั้ง ๆ ที่เป็นจากน้ำมันปาล์มล็อตเดิม ดังนั้นจึงไม่ต้องประหลาดใจที่จะพบว่ายังคงไม่มีน้ำปาล์มและน้ำมันพืชชนิด อื่น ๆ วางขายบนชั้นในห้างสรรพสินค้าและร้านค้าต่อไปอีก

ต้องยอมรับ ว่ามีผู้ฉวยโอกาสแสวงกำไรจากความเดือดร้อนของประชาชนในเหตุการณ์ครั้งนี้ ผู้ฉวยโอกาสก็น่าจะอยู่ในกลุ่มดังต่อไปนี้ คือ ผู้ผลิต ผู้ค้าส่งและค้าปลีก รวมถึงผู้ที่ได้รับประโยชน์จากการขาดแคลนน้ำมันครั้งนี้ด้วย ดังนั้นประชาชนจึงสมควรต้องร่วมกันประณามและตอบโต้คนกลุ่มดังกล่าวและต้อง ประณามรัฐบาลด้วยเช่นกันที่ปล่อยให้ประชาชนเดือดร้อนแสนสาหัส

กรรมวิธี ตอบโต้นายทุนหน้าเลือดที่ก่อความเดือดร้อนให้กับประชาชนในครั้งนี้ก็คือ ประชาชนต้องรวมตัวกันไม่ใช้น้ำมันพืชของบริษัทที่กักตุนน้ำมันปาล์ม และควรจะต้องช่วยกันลดการบริโภคน้ำมันพืชลง เพื่อเป็นการสั่งสอนให้นายทุนนานเลือดได้รู้สำนึกเสียบ้าง

ส่วนการ ตอบโต้รัฐบาลนั้น ประชาชนจะต้องรวมตัวกันถามหาความกระจ่างในเรื่องนี้ และต้องทำทุกวิถีทาง (แต่ต้องถูกต้องตามหลักกฎหมาย) เพื่อให้รัฐบาลลงโทษผู้กักตุน และผู้อยู่เบื้องหลังเหตุไม่ปรกติครั้งนี้ให้จงได้ มิฉะนั้นแล้วรัฐบาลก็ต้องแสดงการรับผิดชอบต่อสาธารณชนในแนวทางที่เหมาะสมตาม หลักธรรมาภิบาล

รัฐบาลอย่าคิดหรือหลงลำพองทะนงตนว่า เมื่อประชาชนรักและไว้ใจแล้ว จะทำให้ประชาชนเจ็บปวดอย่างไรก็ได้ รัฐบาลต้องไม่ลืมว่าคนไทยรู้ดีว่าโรงหีบน้ำมันปาล์มโรงใหญ่สุด ๆ ของไทยตั้งอยู่ที่ภาคใต้เป็นส่วนใหญ่ อาทิ สุราษฏร์ธานี ชุมพร และกระบี่ โดยทั้ง 3 จังหวัดนี้มีผลผลิตต่อปีมากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ และคนที่รู้เรื่องนี้ดีก็ทราบด้วยว่าเจ้าของโรงหีบน้ำมันปาล์มรายใหญ่นั้น คือคนกลุ่มเดียวกันซึ่งมีจำนวนไม่น่าจะเกิน 15 คน และคนเหล่านี้บางคนก็เป็นนักการเมือง บางคนก็เป็นหัวคะแนนของพรรคการเมืองใหญ่

รัฐบาลตอบให้กระจ่างด้วยก็แล้วกันว่า ใครคือผู้สวาปามปาล์มน้ำมัน

เฉลิมชัย ยอดมาลัย"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น