...+

วันพฤหัสบดีที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2554

ภาวะยอมจำนน : มะเร็งร้ายกัดกร่อนสังคมไทย

โดย วิทยา วชิระอังกูร

ปัญหาคนไทยถูกทหารเขมรจับไปขังคุกและส่งฟ้องศาลเขมร โทษฐานรุกล้ำเขต แดนเขมร หรือเขตแดนวิปริตพิสดารพันลึกใดๆ ก็ตาม อาจเป็นชนวนระเบิดที่กำลังลุกลาม พร้อมจะระเบิดให้กับความเส็งเคร็ง ของระบอบการเมืองไทยและนักการเมืองไทย ที่เอาแต่เล่นการเมือง เพื่ออำนาจและผลประโยชน์ของตนเองและพรรคพวก มากกว่าผลประโยชน์ของประเทศชาติ และประชาชนโดยส่วนรวม

แต่ว่าก็ว่าเถอะครับ จะรุมโทษแต่การเมืองและนักการเมืองฝ่ายเดียว ก็คงไม่ถูกต้องนัก เรื่องของเรื่อง มันก็เหมือนขนมผสมน้ำยาเพราะฝ่ายเจ้าของ อำนาจอธิปไตยที่แท้จริงเอง ก็ดูเหมือนจะมีส่วนสมยอมต่อเนื่องกันมาหลาย ทศวรรษ นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475 เลยก็ว่าได้ การเมืองไทยกับประชาชนไทย หากวิเคราะห์วิจารณ์กันให้ถ่องแท้ จึงมีลักษณะเป็น “ภาวะยอมจำนน” แทบทั้งระบบอย่างน่าวิเวกวังเวง

ใช่หรือไม่ว่า ทุกฝ่ายต่างดูเหมือนจะยอมจำนนต่อการที่จะกระทำในสิ่ง ที่ถูกต้องเป็นธรรม เพราะมีเงาทะมึนแห่งอำนาจและผลประโยชน์ครอบงำซ้อนทับกัน อยู่อย่างแยกไม่ออก สังคมทั้งสังคมจึงมองไม่เห็นสีขาวสีดำแบ่งแยกกันชัดเจน อย่างที่ควรจะเป็น ภาพจริงที่เห็นที่เป็นอยู่ จึงเป็นสังคมสีเทาที่มีแต่คนสีเทาปะปนกันอยู่ทั้งฝ่ายปกครองและฝ่ายที่ถูก ปกครองตลอดมา

จริงหรือไม่ว่า การบริหารจัดการบ้านเมืองขึ้นอยู่กับการบงการโดย อำนาจรัฐ ในเงื้อมมือของฝ่ายการเมือง ตั้งแต่การตรากฎกติกาไปจนถึงการควบคุม และจัดสรรทรัพยากรโดยรวมผ่านกลไกรัฐ ที่ก็อยู่ในภาวะยอมจำนนรับใช้ทางการเมือง โดยเจ้าของอำนาจอธิปไตยที่แท้จริง ตกเป็นฝ่ายต้องยอมรับปฏิบัติตาม และอยู่ภายใต้อำนาจรัฐแบบถูกโน้มน้าวหรือบังคับให้ต้องยอมจำนน ในแทบทุกบริบททางสังคม อาจจะมีคนโต้แย้งว่า ปัจจุบันมาถึงยุคที่ภาคประชาชนตื่นตัวแล้ว และพร้อมจะลุกขึ้นสู้ในทุกเรื่องที่มีการใช้อำนาจรัฐอย่างไม่เป็นธรรม แล้ว ใครที่เชื่อมั่นอย่างนั้น ก็ขอให้ทำใจร่มๆ ติดตามดูเหตุบ้านการเมืองในหลายๆ กรณี ทั้งอดีตและปัจจุบันที่ยังยอมจำนนให้วงจรอุบาทว์ยังคงหมุนเวียนซ้ำรอยเดิม อยู่ร่ำไป

ผมเองก็เหมือนคนไทยที่รักความเป็นธรรมอีกมากมาย ที่อยากเห็นพลังของ ภาคประชาชนขับเคลื่อนอย่างมีศักยภาพ แต่ภาพจริงที่เห็นที่เป็นอยู่ ภาวะยอมจำนนที่ครอบงำทั้งสังคมมันคอยสั่นคลอนศรัทธาความเชื่อของผม และคนที่รักความเป็นธรรมอีกมากหลายอย่างยากจะควบคุม

เรื่องแล้วเรื่องเล่าที่ถูกเปิดโปง และเห็นชัดว่าผิด ไม่ว่าจะเป็น การทุจริต ไม่เป็นธรรม ไม่ชอบธรรม ทำร้ายทำลายวัฒนธรรมและศีลธรรมอันดีงามของสังคม แต่แล้วเรื่อง ชั่วร้ายเหล่านั้นก็คงอยู่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกเรื่องที่อื้อฉาวจะ ค่อยๆ เงียบหายไป สิ่งที่ไม่ถูกต้องผิดปกติก็กลับกลายเป็นเรื่องปกติที่สังคมไทย ยอมรับมันได้ อย่างยอมจำนน

การแต่งตั้งปลัดกระทรวงมหาดไทย การแต่งตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดจนถึง นายอำเภอ ปลัดอำเภอ ที่สร้างความเสื่อมเสียต่อระบบการบริหารงานบุคคล และทำให้กระทรวงบำบัดทุกข์บำรุงสุขเสื่อมถอย หมดสิ้นเกียรติยศ เกียรติศักดิ์ ตกต่ำยิ่งกว่ายุคใดๆ แต่ต่อให้ร้องแรกแหกกระเชอกันอย่างไร ในที่สุดก็ต้องยอมจำนนปล่อยให้เป็นไป ตามอำเภอใจของฝ่ายการเมืองเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ถูกศาลพิพากษาให้พ้นจากสภาพ ส.ส.เป็นความผิดที่ปกติอารยประเทศก็ต้องลาออกแล้ว แต่ก็อิดออดอยู่นานจนถูกกดดันให้ลาออก แล้วก็ยังหน้าด้านไปลงสมัครรับเลือกตั้งใหม่ แล้วฝ่ายการเมืองก็เสนอให้กลับ มาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีอีกทั้งสองคน แล้วเรื่องที่น่าอัปยศอดสูนี้ก็จะจางหาย ไปจนกลายเป็นเรื่องปกติ รัฐมนตรีฟอกผิดก็จะได้รับการยอมรับในอำนาจอย่างราบรื่น ถ้าไม่เรียกว่าภาวะ ยอมจำนนของสังคมไทย จะให้เรียกปรากฏการณ์ตบหน้าสังคมไทยนี้ว่ากระไรได้?

นักการเมืองระดับหัวหน้ารัฐบาลเอง ก็ตกอยู่ในภาวะยอมจำนนต่อการที่จะ คิดตัดสินใจให้ถูกต้องเพื่อบ้านเพื่อเมืองในร้อยแปดพันเรื่อง ทั้งๆ ที่มีอำนาจรัฐสิทธิขาดอยู่ในมือ แต่เราก็คงได้เห็นตำหูตำตาว่า คนถูกตัด สิทธิทางการเมือง ยังสามารถลอยหน้าลอยตาบริหารจัดการพรรคการเมืองอย่าง โจ่งแจ้งเหมือนไม่เคยต้องโทษทางการเมือง โดยนายกรัฐมนตรีดีกรีอ๊อกซฟอร์ด เห็นดีเห็นงามด้วย เพราะก่อนตั้งรัฐบาล ก็เดินทางไปมอบดอกไม้ และหารือการจัดตั้งรัฐบาลออกสื่อ จับมือ กอดกัน อย่างหน้าระรื่น และพอร่วมกันเป็นรัฐบาลแล้ว ทุกครั้งที่มีปัญหา นายกรัฐมนตรีก็ต้องวิ่งโร่ไปปรึกษาหัวหน้าพรรคตัวจริงเหล่านั้นอย่างเปิด เผย โดยไม่เคยรู้สึกสะดุ้งสะเทือนหรือระคายเคืองต่อความไม่ถูกต้องแต่อย่าง ใด

กฎเหล็กที่ประกาศเป็นสัญญาประชาคมก่อนเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็ ยอมจำนนเฉไฉไม่ใช้ ไม่ว่ารัฐมนตรีร่วมคณะจะมีพฤติกรรมทำผิดคิดมิชอบอย่างไร เพราะจะเป็นการกระทบกระเทือนพรรคร่วมที่มีพระคุณต่างตอบแทน

กรณีปัญหาพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร และเขตแดนชายขอบไทย-กัมพูชา มิไยที่นักวิชาการ ผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญจะเปิดเผยข้อมูลแจกแจงแสดงเหตุและผล ชี้ถูกชี้ผิดด้วยข้อเท็จจริงและหลักฐานทางประวัติศาสตร์ เสนอแนะแนวทางที่รัฐบาลควรจะได้ดำเนินการอย่างไร เพื่อปกป้องเขตแดนและอธิปไตยเหนือดินแดน นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่าง ประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ก็ยังคงแสดงท่าทียอมจำนนอ่อนข้อต่อสมเด็จฮุนเซน เข้าข้างกัมพูชา ตั้งหน้าตั้งตาตอบโต้คนไทยแทนกัมพูชาทุกเม็ดทุกช็อตอย่าง น่าผิดสังเกต การดำเนินการทางการทูต การทหาร ยอมจำนนเสียเปรียบต่อกัมพูชาอย่างเหลือเชื่อ

ประเทศไทยตกอยู่ในภาวะอันตรายยากเยียวยาแน่ ถ้ายังปล่อยให้ “ภาวะยอมจำนน” ต่ออำนาจและผลประโยชน์ครอบงำกัดกร่อนทุกบริบททางสังคมอย่างที่เห็นที่เป็น อยู่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น