...+

วันพฤหัสบดีที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2553

นิทานเซน : เซ็นเนื้อ เซ็นกระดูก

นิทานเซน : เซ็นเนื้อ เซ็นกระดูก
โดย พุทธทาสภิกขุ
นิทานสุดท้าย ที่อยากจะเล่า ก็คือ เรื่อง เกี่ยวกับเซ็นเนื้อ เซ็นกระดูก ตามชื่อ ของ
หนังสือ เล่มหนึ่ง ซึ่งชื่อว่า "เซ็นเนื้อ เซ็นกระดูก" คือ หนังสือที่เอามาเล่านิทานให้ฟังนี้เอง ควร
จะทราบถึงคาว่า เซ็นเนื้อ เซ็นกระดูก ด้วยจะง่ายในการเข้าใจ
เซ็นเนื้อ เซ็นกระดูก หมายความว่า ธรรมะชั้นที่เป็นเนื้อ เป็นกระดูก ยังไม่ถึงเยื่อใน
กระดูก ธรรมะชั้นลึกจริงๆ จัดเป็นชั้นเยื่อในกระดูก นี่เราจะเล่ากันแต่เรื่อง ชั้นเนื้อ และชั้นกระดูก
หมายความว่า ในนั้นมันมี ชั้นเยื่อในกระดูกอีกทีหนึ่ง ถ้าเข้าไม่ถึง มันก็ติดอยู่ แค่เนื้อแค่กระดูก
เหมือนที่เราไม่เข้าถึง หัวใจของพระพุทธศาสนา แล้วก็คุยโวอยู่ ซึ่งมันเป็น ชั้นเนื้อ ชั้นกระดูก
ทั้งนั้น ไม่ใช่ชั้นเยื่อในกระดูกเลย และเมื่อจะพูดกันถึงเรื่องนี้ เขาเล่านิทานประวัติตอนหนึ่งของ
ท่านโพธิธรรม คือ อาจารย์ชาวอินเดียที่ไปประเทศจีนที่ไปประดิษฐานพระพุทธศาสนานิกายธ
ยานะลงไปในประเทศจีน ซึ่งต่อมาเรียกว่านิกายเซ็น ญี่ปุ่นเรียกว่า เซ็น หรือภาษาจีน เรียกว่า
เสี่ยง
เมื่อท่านโพธิธรรมอยู่ในประเทศจีนนานถึง ๙ ปี ท่านก็อยากจะกลับอินเดีย ที
นี้ไหนๆ จะกลับทั้งที อยากจะลองสอบดูว่า บรรดาศิษย์ต่างๆ ที่สอนไว้ที่นี่ ใครจะรู้
อะไรกี่มากน้อย ก็เลยเรียกมาประชุม ถามทานองเป็นการสอบไล่ว่า ธรรมะที่แท้จริง
นั้นคืออะไร ข้อสอบมีเพียงสั้นๆว่า "ธรรมะที่แท้จริง นั้นคืออะไร?"
ศิษย์ชั้นหัวหน้าศิษย์ ที่เรียกว่า ศิษย์ชั้นมีปัญญา เฉียบแหลม ชื่อ ดูโฟกุ ก็
พูดขึ้นว่า
"ที่อยู่เหนือการยอมรับ และอยู่เหนือการปฏิเสธ นั้นแหละ คือ ธรรมะ ที่
แท้จริง"
คาตอบอย่างนี้ ก็ถูกมากแล้ว ถ้าผู้ใดฟังไม่เข้าใจเรื่องนี้ พึงจัดตัวเองว่า เป็น
ผู้ที่ยังไม่รู้ธรรมะได้เลย ไม่รู้ธรรมะอะไรเลยก็ว่าได้ถ้าไม่รู้จัก สิ่งที่เหนือการยอมรับ
และการปฏิเสธ
ท่านอาจารย์ ก็บอกว่า "เอ้า! ถูก! แกได้หนังของฉันไป"
นี้หมายถึง หนังที่หุ้มชั้นนอก ไม่ใช่เนื้อ ไม่ใช่กระดูก คือ ชั้นหนังแท้ๆ เสร็จ
แล้ว คนนี้ นั่งลง
นางชีคนที่ชื่อ โซจิ ก็ยืนขึ้นแล้วบอกว่า "สิ่งที่เห็นครั้งเดียว แล้วเป็นเห็นหมด
เห็นตลอดกาล นั่นแหละ คือธรรมะแท้จริง"
ท่านอาจารย์ ก็บอกว่า " เอ้า! ถูก! แกได้เนื้อของฉันไป" คือมันถูกกว่าคนที
แรก จึงได้เนื้อไป แล้วเขาก็นั่งลง
คนที่สาม ยืนขึ้น ตอบว่า "ที่ไม่มีอะไรเลย นั่นแหละ คือ ธรรมะ"
เขาใช้คาว่า ไม่มีอะไรเลย เท่านั้น แต่เราขยายความออกไปก็ได้ว่า ไม่มีอะไร
ที่ถือเป็นตัวตนเลย นั่นแหละคือธรรมะแท้จริง
อาจารย์ ก็บอกว่า "ถูก! แกได้กระดูกของฉันไป" คือ ลึกถึงชั้นกระดูก
ศิษย์อีกคนหนึ่ง เป็นศิษย์ก้นกุฎิ ชื่อ เอก้า ยืนขึ้น หุบปากนิ่ง แล้วยังเม้มลึก
เข้าไป ซึ่งแสดงว่า นิ่งอย่างที่สุด เป็นการแสดงแก่อาจารย์ว่า นี่แหละ คือ ธรรมะ
การที่ต้อง หุบปาก อย่างนี้แหละ คือธรรมะ อาจารย์ ก็ว่า "เออ! แกได้เยื่อในกระดูก
ของฉันไป"
นิทานเรื่องนี้ สอนว่าอย่างไร บรรดาครูอาจารย์ทั้งหลาย ซึ่งล้วนแต่มีสติปัญญาได้ศึกษา
เล่าเรียนมามากจงลองคิดดู คาตอบที่ว่าอยู่เหนือการยอมรับและปฏิเสธนั้น ยังถูกน้อยกว่าคนอื่น
ส่วนผู้ที่ตอบว่า ลงเห็นทีเดียวแล้ว เห็นหมด และ เห็นตลอดกาล ด้วยนี่ยังถูกกว่า แล้วที่ว่า ไม่มี
อะไรเลยนั้น ยิ่งถูกไปกว่าอีก แล้วที่ถึงกับว่า มันพูดอะไรออกมาไม่ได้มันแสดงออกมาเป็น
คาพูดไม่ได้จนถึงหุบปากนิ่งนี้ ยิ่งถูกกว่าไปอีก
Page 2
นี่แหละ พวกเรามีสติปัญญาละเอียดสุขุมแยบคาย มีความสารวม ระมัดระวัง สงบอกสงบใจมาก
จนถึงกับว่าไม่หวั่นไหว และเข้าใจเรื่องไม่หวั่นไหว หรือไม่มีอะไรนี้ได้หรือไม่ ขอให้ลองคิดดู
ถึงจะยังทาเดี๋ยวนี้ไม่ได้ก็ขอให้เข้าใจว่า แนวของมัน เป็นอย่างนั้น คนที่รู้อะไรจริงๆ แล้ว
จะไม่พูดอะไรเลย เพราะรู้ซึ้งถึงขนาดที่อยู่เหนือวิสัยของการบรรยายด้วยคาพูด อย่างที่เล่าจื้อ
ว่า "คนรู้ไม่พูด คนที่พูดนั้นไม่ใช่คนรู้" นี่ก็หมายถึง ตัวธรรมะจริงๆ นั้น มันพูดไม่ได้ถึงแม้ที่
อาตมากาลังพูดอยู่นี่ก็เหมือนกัน ยังไม่ใช่ธรรมะจริง เพราะมันยังเป็นธรรมะที่พูดได้เอามาพูด
ได้ลองทบทวนดูว่า ท่านเคยเข้าใจซึมซาบในความจริง หรือ ในทฤษฎีอะไรอย่างลึกซึ้ง จน
ท่านรู้สึกว่า ท่านไม่อาจบรรยายความรู้สึกอันนั้นออกมาให้ผู้อื่นฟัง ได้จริงๆ บ้างไหม? ถ้าเคย ก็
แปลว่า ท่านจะเข้าใจถึงสิ่งที่พูดเป็นคาพูดไม่ได้
ธรรมะจริงมันพูดไม่ได้ต้องแสดงด้วยอาการหุบปาก แต่ขอให้ถือว่า เรากาลังพูดกันถึง
เรื่องวิธี หรือ หนทาง ที่จะเข้าถึงธรรมะจริงก็แล้วกัน แต่ว่าเมื่อเข้าถึงธรรมะจริงแล้ว มันเป็นเรื่อง
ที่จะต้องหุบปาก แต่ถึงกระนั้น มันก็เป็นสิ่งที่จะต้องถึงเข้าข้างหน้าเป็นแน่นอน ไม่มีครูบา
อาจารย์คนไหนจะมีอายุเท่านี้อยู่เรื่อยไป คงจะเป็นผู้ใหญ่ เป็นคนเฒ่า คนแก่ เห็นโลก ในด้าน
ลึก เห็นชีวิตด้านลึกโดยสิ้นเชิงเป็นแน่ ฉะนั้นจึงควรเตรียมตัวที่จะเข้าถึงแนวของธรรมะเสียแต่
ป่านนี้ จะไม่ขาดทุน และก็ไม่ใช่ว่า เป็นเรื่องเศร้าหรือเป็นเรื่องน่าเบื่อจนเกินไป
ในที่สุด เราจะต้องมานึกกัน ถึงเรื่อง เปลือก และ เนื้อ บ้าง นิทานทั้งหลายนั้น มันเหมือน
เปลือก ส่วน spirit ของนิทานนั้น เหมือนกับเนื้อใน แต่ว่า เปลือกกับเนื้อ จะต้องไปด้วยกัน ครู
บาอาจารย์ทั้งหลาย อย่าได้เกลียดเปลือก และ อย่าได้ยึดมั่น ถือมั่น เอาแต่เนื้อ มันจะเน่าไป
หมด
ข้อนี้หมายความว่า ถ้าเนื้อไม่มีเปลือกมันจะเน่า จะต้องเป็นเนื้อที่เน่า เนื้อที่มีเปลือกเท่านั้น
ที่จะไม่เน่า เหมือนอย่างผลไม้ถ้าไม่มีเปลือก เนื้อมันจะอยู่ได้อย่างไร จะเป็นมังคุด ทุเรียนอะไร
ก็ตาม ถ้ามันไม่มีเปลือกของมัน เนื้อของมันจะอยู่ได้อย่างไร จะสาเร็จประโยชน์ ในการบริโภค
ของเราได้อย่างไร ทั้งที่เราต้องการบริโภคเนื้อ เปลือกของมันก็ต้องมี หรือว่า การที่ผลไม้มันจะ
ออกมาจากต้น มีดอกแล้ว จะเป็นลูก มันยังต้องเอาเปลือกออกก่อน เพื่อให้เนื้ออาศัยอยู่ใน
เปลือก แล้วเจริญขึ้น ถ้าไม่มีเปลือก ส่งเนื้อออกมาก่อน มันก็เป็นต้นไม้ที่โง่อย่างยิ่ง คือ มันจะ
เป็นผลไม้ขึ้นมาไม่ได้เพราะเยื่อนั้น จะต้องเป็นอันตราย ไปด้วย แสงแดด ด้วยลม ด้วยอะไร
ต่างๆ หรือ มดแมลง อะไรก็ตาม ฉะนั้น มันต้องมีเปลือกที่แน่นหนาเกิดขึ้นก่อน เนื้อเจริญขึ้นใน
นั้น ก็เป็นผลไม้ที่เติบโต แก่ สุก บริโภคได้นั่นคือ คุณค่าของเปลือก มองดูอีกแง่หนึ่ง มันก็ยิ่ง
กว่าเนื้อ มันมีค่ามากกว่าเนื้อก็ได้เพราะมันทาให้เนื้อเกิดขึ้นได้สาเร็จประโยชน์ แต่เราก็ไม่มีใคร
กินเปลือก เพราะต้องการจะกินเนื้อ ฉะนั้น เราจะต้องจัดเปลือก และเนื้อให้กลมกลืนกันไป
นิทานอิสป หรือ นิทานอะไรก็ตาม ตัวนิทาน มันเหมือนกันกับเปลือก ที่จะรักษาเนื้อในไว้
ให้คงอยู่มาจนถึงบัดนี้ได้ถ้าไม่ใส่ไว้ในนิทานแล้ว ความคิดอันลึกล้าของอิสป อาจจะไม่มาถึง
เรา มันสูญเสียก่อนนานแล้ว และจะไม่มีใคร สามารถรับช่วงความคิดนั้นมาถึงเรา เพราะว่า เขา
ไม่มีการขีดการเขียนในสมัยนั้น หรือว่า เอาตัวอย่างกัน เดี๋ยวนี้ว่า ชนชาติเอสกิโม ทางแลป
แลนด์ ทางขั้วโลกเหนือนั้น ก็ยังมีวัฒนธรรม หรืออะไรของเขา เล่าต่อกันมา เป็นพันๆปี ยังพูด
ยังเล่า ยังสอนกันอยู่ ชนพวกนี้ไม่มีหนังสือเลย เดี๋ยวนี้ก็ยังไม่มีหนังสือ
พวกเอสกิโม อยู่ใน "อิกลู" หรือ กระท่อมที่ทาขึ้นด้วยแท่งน้าแข็ง แต่พอถึงเย็นค่าลง ก็จุด
ตะเกียง เข้าในกระท่อม แล้วคนที่แก่ ชั้นปู่ ก็นั่งลง เล่าสิ่งต่างๆ ที่ได้ยินมาจาก บิดา จากปู่ จาก
ทวด เด็กเล็กๆ ก็มา นั่งล้อมและฟัง ไม่ใช่ฟังเฉยๆ จาด้วย ทาอย่างนี้ไป เรื่อยทุกวันๆ จนเด็ก
เหล่านี้โตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ เป็นบิดา เป็นปู่ ก็ยังเล่าต่อไปอีก ฉะนั้น จึงสืบสิ่งต่างๆ ไปได้เป็นพันๆ ปี
แล้วก็อยู่ใน "เปลือก" คือนิทานทั้งนั้น เขาจะต้องเล่าเป็นนิทาน อย่างนั้น ชื่อนั้น ที่นั่น อย่างนั้นๆ
ทั้งนั้น นั่นแหละคืออานิสงส์ของเปลือก
คัดลอกจาก http://www.dharma-gateway.com/
ผู้คัดลอกและเรียบเรียง hs6kj

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น