...+

วันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

“สืบจากส้วม” ย้อนรอยนานาสารพันส้วม เรื่องขี้ๆ ที่มีเสน่ห์

ต้นทาง “สืบจากส้วม”

“ส้วมไม่ใช่เรื่องขี้ๆ แต่ส้วมเป็นสิ่งจำเป็นที่มนุษย์พัฒนาขึ้นจากอดีตจนถึงปัจจุบัน เพื่อหาส้วมที่ดีที่สุดมากำจัดอึของเรา”

สังคมไทยในอดีตไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ล้วนแต่พึ่งพาอาศัยธรรมชาติทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการใช้ชีวิต อาหารการกิน ที่หลับที่นอน แม้กระทั่งเรื่องของ “อึ”

สมัยก่อนไม่ได้มีห้องส้วมอยู่ในบ้านอย่างเดี๋ยวนี้ ที่คิดอยากเข้าเมื่อไหร่ก็ได้เมื่อนั้น แต่ก่อนนั้นหากใครอยู่ใกล้ทุ่งนาก็จะไปปลดทุกข์ที่นา ใครอยู่ใกล้น้ำก็ไปปลดทุกข์ที่น้ำ จนมีคำว่า “ไปทุ่ง ไปท่า” เกิดขึ้น คนในอดีตจึงสรรหาความสะดวกสบายที่ไม่ต้องไปหย่อนก้นลงทุ่งลงท่า หรือกระทั่งบางทีก็อาจจะมีหมูหมา สัตว์เลี้ยงต่างๆ ตามมารบกวนการทำภารกิจ จนเกิดความรำคาญใจ ก็เลยพากันหาวิธีที่พอจะลับหูลับตาคน หรืออยู่ให้ห่างจากบรรดาสัตว์ที่ว่านั้นได้บ้าง


ส้วมพระ หรือบางทีจะเรียกว่า เว็จกุฏิ

อันที่จริงแล้ว “ส้วม” ก็เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจยิ่ง เพราะสามารถทำให้รู้ถึงสภาพสังคมอันซับซ้อน ที่มีการนำอารยธรรมต่างๆ มาประยุกต์ใช้กับเรื่องของส้วม ทั้งคติความเชื่อเรื่องเทวราชาในศาสนาฮินดู ที่ส่งผลต่อรูปแบบและวัฒนธรรมการใช้ส้วม ส้วมจีนที่แพร่หลายในยุคต้นรัตนโกสินทร์ ต่อเนื่องมาจนถึงการพัฒนาระบบสาธารณสุขแบบตะวันตกที่ส่งผลต่อกิจวัตรการขับถ่ายและระบบสาธารณสุขของคนไทยในปัจจุบัน

เมื่อครั้งอดีตตั้งแต่สมัยสุโขทัย อยุธยา รัตนโกสินทร์ หรือกระทั่งยุคอื่นๆ ที่ผ่านมา ส้วมถูกวิวัฒนาการให้ดูมีขอบเขตและมีความปลอดภัยมากขึ้น จากที่ใช้ “ไม้แก้งก้น” เพื่อทำความสะอาดหลังเสร็จภารกิจแล้ว แม้จะใช้ได้แบบไม่ค่อยสะดวกสบายนักก็ตาม มาถึงสายฉีดทรงพลังที่สะดวกกว่าที่เป็นมา จนล่าสุดพัฒนามาเป็นส้วมอัตโนมัติ ที่เพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัสก็จัดการทุกอย่างให้เสร็จสรรพเรียบร้อย เพิ่มความสะดวกสบายให้มากขึ้นจนแทบจะไม่ต้องกระดิกตัว หรือห้องส้วม ที่พัฒนาจากที่โล่งเป็นห้องสี่เหลี่ยมถนัดตา

นอกจากนี้ส้วมในสมัยก่อนก็ยังแบ่งตามสถานะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น “ส้วมพระ” หรือ “เว็จกุฏิ” ที่มีรูปทรงแปลกตา รูและร่องที่ทำขึ้นนั้นสามารถแยกอุจจาระไม่ให้ปนกันกับปัสสาวะ เพราะเมื่ออุจจาระแห้งแล้วก็จะทำให้กลิ่นอันไม่พึงประสงค์ลดลงไปมาก หรือจะเป็น “ส้วมเจ้า” (ส้วมพระเจ้าหลุยส์) ที่สร้างให้มีรูปร่างเหมือนเก้าอี้ เจาะรูตรงกลาง และมีกระโถนวางอยู่ด้านล่าง เมื่อเสร็จกิจแล้วก็ให้บ่าวไพร่นำกระโถนไปเททิ้ง


เว็จสาธารณะ

ในสมัยรัชกาลที่ 5 สยามเริ่มมีจำนวนประชากรเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังมีการเปิดรับวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามา แต่ประชาชนทั่วไปก็ยังไม่นิยมสร้างส้วมในที่อยู่อาศัยของตนเอง แต่จะขับถ่ายตามถนนหนทาง ริมคูคลองต่างๆ ซึ่งส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์อย่างรุนแรง และยังเป็นสาเหตุให้เกิดโรคระบาดตามมา

จึงมีการจัดตั้ง “กรมสุขาภิบาล” ขึ้น เพื่อทำหน้าที่ดูแลความสะอาดของบ้านเมือง ออกกฎให้ทุกคน “อึ” ในส้วม แทนที่จะไปทุ่ง หรือถ่ายทุกข์ริมถนนเหมือนอย่างเก่า รวมถึงหากต้องสร้างบ้านใหม่ก็ต้องสร้างส้วมในบ้านด้วย ส่วนใครที่ไม่มีส้วม ก็สามารถใช้ “เว็จสาธารณะ” ที่หลวงสร้างขึ้นตามตำบลต่างๆ ในเมืองหลวง โดยเฉพาะถนนสายสำคัญ และย่านการค้าที่มีผู้คนคับคั่ง ให้คนได้ใช้กันฟรีๆ

ส้วมที่ใช้ในเว็จสาธารณะจะเป็นแบบ “ถังเท” คือ มี ลักษณะคล้ายส้วมหลุม แต่ใช้ถังวางไว้ในหลุมใต้ฐานไม้สำหรับรองรับอุจจาระของผู้ขับถ่าย ปกติการเก็บและบรรทุกถังอุจจาระไปเททิ้งจะทำวันละครั้ง โดยมีบริษัทเอกชนที่รัฐบาลจ้างไว้มารับไปเททิ้งที่อื่น


คอห่าน (หรือคอหงษ์) ที่ประดิษฐ์ขึ้นเอง แต่ก็ช่วยเรื่องกลิ่นได้ดี

หรือจะมาถ่ายทุกข์ในรูปแบบของ “ธรณีส้วม” ที่มีลักษณะหน้าตาคล้ายคลึงกับรูปบ้าน แต่กลับไม่ได้ใช้สำหรับนอนเอนกาย แต่เป็นที่สำหรับทิ้งระเบิดลูกเล็กลูกใหญ่ที่ปิดบังได้แค่ร่างกายส่วนล่างเพื่อไม่ให้ประเจิดประเจ้อนัก และยังได้เห็นหน้าค่าตากันอย่างถนัดถนี่ ไม่ว่าจะหันไปสบตากับคนข้างๆ หรือจะทักทายกับคนข้างนอกก็ได้ด้วย

จนกระทั่งพัฒนามาถึง “โถสุขภัณฑ์แบบนั่งราบ” แบบแท้งก์น้ำสูง หรือจะเรียกว่าเป็นส้วมแบบชักโครกในสมัยแรก ที่ได้รับความนิยมในวังต่างๆ ตั้งแต่ปลายรัชสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นต้นมา มีกลไกดึงโซ่ปล่อยน้ำจากถังพักน้ำที่อยู่สูงเหนือโถ ให้ไหลกระแทกลงมาชำระของเสียให้ลงไปสู่ถังเก็บกัก แม้ว่าจะเกิดเสียงดังแต่ก็ชำระล้างสิ่งปฏิกูลลงสู่ถังเก็บกักได้อย่างหมดจด นอกจากนี้ยังมี “คอห่าน” ไว้ดักกลิ่นอย่างได้ผลอีกด้วย

และในยุคที่อะไรก็รวดเร็วติดจรวจไปเสียทั้งนั้น ส้วมก็จำต้องปรับตัวเองให้เข้ากับยุคสมัย จากเดิมที่ต้องเดินเข้าหาส้วม ตอนนี้ก็กลับกลายเป็นพกพาส้วมเคลื่อนที่ไปด้วยได้ทุกที่ เพื่อจะได้ปลดปล่อยความทุกข์ได้ตลอดเวลาอย่าง “ส้วมมือถือ” ที่ยังแบ่งออกเป็นหลากหลายประเภทให้เลือกใช้ตามความสะดวกในแต่ละสถานที่ หรือแม้กระทั่งเกิดเหตุอุทกภัย หรือเหตุฉุกเฉินต่างๆ ที่ทำให้การขับถ่ายกลายเป็นเรื่องยาก มนุษย์ก็คิดค้นอุปกรณ์ที่จะช่วยให้เรื่องยากกลายเป็นเรื่องง่าย เช่น “ส้วมลอยน้ำ” ที่เห็นได้มากในช่วงเหตุการณ์อุทกภัยที่ผ่านมา


คอมฟอร์ต 100 ตัวช่วยยามการจราจรติดขัด

“ส้วมกระดาษ” ที่ออกแบบให้มีน้ำหนักเบาแต่แข็งแรงพอที่จะรับน้ำหนักคนได้ถึง 100 กิโลกรัม และยังสามารถพับให้มีขนาดเล็กลงเพื่อความสะดวกในการขนส่ง หรือแม้แต่ “คอมฟอร์ต 100” ที่ช่วยปลดทุกข์ได้ดีเป็นอย่างยิ่งในช่วงการจราจรติดขัด แล้วก็มากันที่ส้วมมือถือแบบตัวจริง อย่าง “ผ้าอ้อมสำหรับผู้ใหญ่” ที่สามารถพกพาไปได้ทุกที่ รองรับสถานการณ์ที่ห้ามไม่อยู่ได้อย่างทันท่วงทีอีกเช่นกัน

ที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ในสมัยไหน ส้วมก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่บรรเทาความทุกข์และเสริมสร้างความสุขให้มนุษย์เราได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะส้วมในปัจจุบันที่นับวันยิ่งมีการพัฒนาขึ้นเรื่อยไป เพื่อให้มนุษย์มีความสุขกับการปลดทุกข์ และสนองความต้องการอย่างหนึ่งของคน จนกระทั่งห้องส้วมบางห้องก็อาจจะแพงกว่าบ้านทั้งหลังของใครหลายๆ คน ที่เปลี่ยนจากห้องทึบอับไม่น่าอภิรมย์ ให้กลายเป็นห้องสำหรับเสพความรื่นรมย์ในแบบฉบับของตนตามรสนิยมที่เลือกเองได้


ส้วมสมัยใหม่ที่กลายเป็นของน่ารัก

ในเมื่อเรื่องส้วมๆ จะดูไม่ใช่เรื่องขี้ๆ อีกต่อไป เพราะเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของเราทั้งยามหลับ ยามตื่น ยามสุข ยามทุกข์ และยังเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันมาตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน ไปจนอนาคต ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรม ความเชื่อ สังคม เศรษฐกิจ และวิวัฒนาการด้านต่างๆ ที่ล้วนแต่ส่งผลให้ “ส้วม” มีการพัฒนามาเรื่อยๆ เพื่อตอบสนองกับความต้องการที่เพิ่มมากขึ้น

เรื่องของส้วมทั้งหมดนี้ สามารถศึกษาและเรียนรู้ความเป็นมาได้จากการ “สืบจากส้วม”

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

นิทรรศการ “สืบจากส้วม” เปิดให้เข้าชมฟรีที่ มิวเซียมสยาม ตั้งแต่วันนี้ - 17 เม.ย. 54 โดยจะเปิดในวันอังคาร - อาทิตย์ (หยุดวันจันทร์) เวลา 10.00 - 18.00 น. สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 0-2225-2777

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น