...+

วันพุธที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เมื่อมีความอดทนเป็นกลไก

เราจะไม่พ่ายแพ้อย่างแน่นอน

อ.วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์

มีบทกวีเก่าๆอยู่บทหนึ่ง ซึ่งบรรดานักพูด (รวมทั้งผมด้วย) ชอบใช้เพื่อเปิดฉากการพูด เวลาที่ต้องมีการพูดเพื่อปลุกระดมและจูงใจคนฟัง มีข้อความว่า..

“มีเม็ดทรายนับไม่ถ้วนจำนวนทราย คนมากมายนับไม่ถ้วนจำนวนค่า
เม็ดทรายแกร่งก็เพราะผ่านกาลเวลา คนแกร่งกล้าก็เพราะผ่านความอดทน”

บทกวีนี้อาจจะฟังดูแล้วได้แค่ความคมคาย แต่จริงๆแล้วมีความหมายที่เป็นสัจธรรมอย่างยิ่งยวดเลยทีเดียว เพราะเอาเข้าจริงๆแล้ว ปัจจัยสำคัญที่สุดที่ทำให้คนเราไปถึงความสำเร็จที่ตั้งใจไว้นั้น ความรู้ความสามารถ ความเป็นอัจฉริยะอะไรทั้งหลายทั้งปวงอาจไม่มีความหมายอะไรเลยก็ได้ ถ้าไม่มี “ความอดทน” เป็นตัวกำกับขับเคลื่อนไปตลอดเส้นทาง

เราได้เห็นโศกนาฏกรรมมามากพอควรทีเดียว ที่ผู้คนจำนวนมากที่มีความเป็นอัจฉริยะในด้านต่างๆ แต่กลับมีชีวิตที่ไม่ไปถึงไหนเลย อันเนื่องมาจากสาเหตุเพียงประการเดียวเท่านั้น คือ ไม่มีความอดทนที่เพียงพอ เราลองมาพิจารณาดู “สูตรแห่งความสำเร็จ” ที่ผมลองผสมสูตร เพื่อให้เห็นปัจจัยตัวแปรต่างๆ ของความสำเร็จ จะได้เห็นภาพชัดเจนขึ้น ดังนี้ :-

สูตรที่ 1 : (ทำได้ + อยากทำ) x อดทนทำ = ทำสำเร็จ 100%

สูตรที่ 2 : (ทำไม่ได้ + อยากทำ) x อดทนทำ = ทำสำเร็จ 70% - 80%

สูตรที่ 3 : (ทำได้ + ไม่อยากทำ) x อดทนทำ = ทำสำเร็จ 60% - 70%

สูตรที่ 4 : (ทำไม่ได้ + ไม่อยากทำ) x อดทนทำ = ทำสำเร็จ 50% - 60%

สูตรที่ 5 : (ทำได้/ทำไม่ได้ + อยากทำ/ไม่อยากทำ) x ไม่อดทนทำ = ล้มเหลว 100%!

จะเห็นได้ว่าอะไรก็ตามถ้าเรามีความสามารถที่จะทำได้ (แม้แรกๆอาจจะยังไม่ค่อยได้ แต่หมั่นฝึกฝนบ่อยๆ ก็จะสามารถทำได้) บวกกับความชอบความอยากที่จะทำมัน (ซึ่งก็มักจะเป็นเรื่องความคิด ความเชื่อ ทัศนคติ) คูณด้วยความอดทนจนถึงที่สุดแล้ว ก็ไม่มีทางเป็นอย่างอื่นไปได้เลย นอกจากต้องสำเร็จอย่างแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์ อาจจะช้าเร็วแตกต่างกันบ้างในแต่ละคน ก็เป็นเรื่องปัจจัยแวดล้อมอื่นๆที่มาเกี่ยวข้อง แต่สุดท้ายถ้าเป็นไปตามสูตรนี้ สำเร็จแน่นอน!

แต่ถึงแม้เราอาจจะไม่มีพรสวรรค์ ไม่มีความถนัด (Aptitude) ที่จะทำสิ่งนั้นให้มันเป็นเลิศได้ แต่ถ้าเราอยากทำมากพอ และใช้ความอดทนที่เพียงพอ ขยันลงมือทำ หมั่นฝึกฝน แม้จะทำได้ไม่ถึงกับเป็นเลิศ แต่ก็จะสามารถทำได้ดีถึงขั้นที่จะประสบความสำเร็จได้ถึง 70%-80% เลยทีเดียว

และถ้าเรามีความสามารถที่จะทำได้และทำได้ดีด้วย แต่ในความคิดความเชื่อแล้ว เราไม่ได้อยากทำเลยแม้แต่น้อย ไม่ชอบเลย (มีทัศนคติที่ไม่ดี) ทว่าเราก็อดทนพอที่จะทนทำมันอย่างจริงจัง ทำอย่างสม่ำเสมอ ทำอย่างต่อเนื่อง ทำทั้งๆที่ก็ไม่อยากทำนั่นแหละ แต่ก็ทำเต็มที่ จะด้วยสำนึกแห่งความรับผิดชอบ หรือจะด้วยอะไรก็ตามที ผลที่สุดแล้ว เราก็อาจประสบความสำเร็จได้ถึง 60%-70% ได้เลยทีเดียว

แต่ถ้าเอาอย่างค่อนข้างแย่หน่อย คือไม่มีความสามารถจะทำได้ดี ฝึกฝนยังไงก็แค่พอใช้ได้ แถมยังไม่อยากทำ ไม่ชอบที่จะทำมันเสียอีกด้วย แต่ก็อดทน ทนฝืนอกฝืนใจทำมันไป ทำมันไปเรื่อย ก้มหน้าก้มตาทำทำไปเรื่อยๆ ทำไม่หยุด แม้เช่นนี้แล้ว ก็ยังอาจจะได้ครึ่งหนึ่ง เสียครึ่งหนึ่งเลยด้วยซ้ำ คืออาจสำเร็จได้ถึง 50%-60%

แต่ไม่ว่าจะทำได้หรือทำไม่ได้ บวกกับอยากทำหรือไม่อยากทำก็ตามที แต่ถ้าไม่มีความอดทนที่จะทำมันแล้วละก็ ไม่มีมีทางเป็นอย่างอื่นไปได้เช่นกัน มันจะต้องล้มเหลวอย่างแน่นอน 100%!

จะเห็นได้ว่าปัจจัยตัวแปรที่สำคัญที่สุดนั้น ไม่ได้อยู่ที่ทำได้หรือทำไม่ได้ และก็ไม่ได้อยู่ที่อยากทำหรือไม่อยากทำ แต่มันอยู่ที่ “อดทน” ที่จะทำมันหรือไม่ต่างหาก จากสูตรแห่งความสำเร็จ 5 สูตรดังกล่าวข้างต้นนั้น ไม่ว่าปัจจัยอื่นๆจะเป็นเช่นไร แต่ถ้าคูณด้วยความอดทนแล้วไซร้ มันต้องได้ความสำเร็จอย่างแน่นอน ส่วนว่าจะได้กี่เปอร์เซ็นต์ มันก็แล้วแต่ปัจจัยหลักอีกสองตัว คือ “ทำได้” กับ “อยากทำ” แต่ไม่ว่าปัจจัยหลักจะมีอะไรอย่างไรและเท่าไหร่ หากว่าไร้เสียซึ่ง “ความอดทน” แล้ว ก็ย่อมล้มเหลว 100% เลยทีเดียว

จากสูตรและแนวคิดทั้งหมดที่ได้กล่าวมา เราอาจได้ข้อสรุปบางประการคือ

ประการแรก ถ้าจะไม่ต้องไปคิดอะไรมากว่าอะไรเราทำได้หรือทำไม่ได้ ทำแล้วมันสอดคล้องกับความถนัดหรือพรสวรรค์อันแท้จริงของเรา อันจะส่งผลให้เราทำมันได้อย่างเป็นเลิศหรือไม่ (ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะพูดง่ายแต่ทำยากในการที่คนเราจะสามารถค้นหาจุดแข็งอันมีพื้นฐานจากความถนัดหรือพรสวรรค์ของตนเอง ตามที่นักวิชาการเขาเคยเสนอความเห็นไว้) ขอเพียงเราก้มหน้าก้มตาทำมันไปโดยไม่ปริปากบ่น ไม่พยายามตั้งคำถามงี่เง่าอะไรมาก อดทนทำมันไปเหมือนวัวเหมือนควายก็ทำไป เช่นนี้แล้ว อย่างแย่ที่สุดก็ยังอาจได้ตั้งครึ่งหนึ่ง แม้จะเสียไปครึ่งหนึ่งก็ตาม

ประการที่สอง คนจำนวนมากมัวเสียเวลาไปมากมายในชีวิตด้วยการไปติดกับดักแสวงหางานในอุดมคติของตนเอง ติดกับดักในแง่ที่ว่าถ้าเราได้ทำงานที่เรารัก และเป็นงานที่ตรงกับพรสวรรค์อันแท้จริงของเราแล้วละก็ ชีวิตคงจะต้องประสบความสำเร็จสูงสุด มีความสุขสุดยอด ซึ่งแท้ที่จริงแล้วมีคนไม่มากนักหรอกที่จะสามารถค้นพบได้จริงตามนี้ มันถึงได้มีคำกล่าวอีกคำหนึ่งว่า “การได้ทำงานที่เรารักเป็นสิ่งที่ดีมาก แต่การรักในงานที่เราทำนั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุด” และอีกคำกล่าวหนึ่งที่ว่า “พรสวรรค์ยังไม่สำคัญเท่าพรแสวง” ทุกอย่างในโลกเราสามารถเรียนรู้ได้ ฝึกฝนได้ แม้มันจะไม่ถึงกับเป็นเลิศก็ตาม บางคนพูดสรุปอย่างรำคาญใจว่า “อย่ามัวไปเสียเวลาค้นหาพรสวรรค์อะไรอยู่เลย ถ้าพรนรกที่มีอยู่มันใช้ได้ผล ก็ใช้มันต่อไปเถอะ!”

ประการสุดท้าย คำตอบสุดท้ายของทุกสิ่งทุกอย่างนั้น มันก็อาจอยู่ที่เรื่องเดียว คือ

“ความอดทน” แม้จะเป็นความอดทนอย่างโง่ๆ ก็ยังพอจะพาเราไปได้ไกลหลายกิโลเมตรอยู่ แต่ถ้าฉลาดแล้วขี้เกียจ ไม่มีความอดทน ก็ไปได้อย่างมากแค่ร้อยสองร้อยเมตรเท่านั้น


เมื่อขึ้นต้นด้วยบทกวี ก็อยากจะลงท้ายด้วยบทกวีว่า..


“ถ้ามือเราแบวางอยู่อย่างนี้ โลกหยุดนิ่งอยู่กับที่ไม่มีผล
แต่ถ้าเรากำหมัดในบัดดล โลกจะเปลี่ยนหมุนวนได้ดังใจ
ตราบที่หัวใจแกร่งมีแรงเต้น จงโลดเล่นล้อความจริงอย่างยิ่งใหญ่
เมื่อมีความอดทนเป็นกลไก เราจะไม่พ่ายแพ้อย่างแน่นอน”


จำไว้ให้ขึ้นใจนะครับว่า.. “เมื่อมีความอดทนเป็นกลไก เราจะไม่พ่ายแพ้อย่างแน่นอน”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น