...+

วันพฤหัสบดีที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2553

สังคมไทย ภายหลังเหตุการณ์ป่วนบ้านเผาเมือง

โดย สันติ ตั้งรพีพากร 1 มิถุนายน 2553 14:41 น.
ยุทธศาสตร์เผาเมืองของกลุ่มคนเสื้อแดง สร้างความเสียหายใหญ่หลวงแก่ประเทศชาติและประชาชนชาวไทยโดยรวม เป็นโศกนาฎกรรมที่อุบัติซ้ำอีกครั้งภายหลังเหตุการณ์ “6 ตุลาฯ 19”

ผลของเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ คือเยาวชนหนุ่มสาวยกโขยงเข้าป่า ร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ต่อสู้กับรัฐบาลเผด็จการฟาสซิสต์ “ขวาจัด” แต่เพราะความไม่พร้อมของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (หลักๆ คือไม่มีระบบความคิดทฤษฎีที่เป็นของตนเอง ขาดการนำที่ถูกต้อง) ไม่สามารถใช้เงื่อนไขใหม่ให้เป็นประโยชน์ ตรงกันข้าม กลับเกิดปัญหาความขัดแย้งระหว่างปัญญาชนกับผู้นำในเขตฐานที่มั่น ตลอดจนผลกระทบโดยตรงจากวิกฤตการณ์ในโลกสังคมนิยมที่พัฒนาถึงขั้นทำสงครามกัน เอง

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนภายหลังการสิ้นชีวิตของเหมาเจ๋อตง ได้ปรับแนวคิดการสร้างรัฐสังคมนิยมครั้งใหญ่ เลิกใช้แนวทางการต่อสู้ทางชนชั้นและการปฏิวัติโลก หันมาใช้แนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศด้วยการเชื่อมตนเองเข้ากับระบบโลก มุ่งพัฒนาความสัมพันธ์ฉันมิตรกับรัฐบาลประเทศต่างๆ ทั่วโลก และยุติการสนับสนุนการเคลื่อนไหวต่อสู้ของขบวนการปฏิวัติในต่างประเทศอย่าง สิ้นเชิง

ในสภาพแวดล้อมใหญ่เช่นนี้ ประกอบกับความไม่พร้อมของตนเอง พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยจึงตกอยู่ในสภาวะโดดเดี่ยว “หมดสภาพ” ที่จะนำการต่อสู้อีกต่อไป นักศึกษาปัญญาชน จึงทยอยออกจากป่า หวนกลับคืนสู่นาคร โดยส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมด ละเลิกการเคลื่อนไหวทางการเมือง ดำเนินชีวิตผสมกลมกลืนไปกับการขับเคลื่อนของสังคมไทยโดยรวม ในบริบทของสังคมโลกที่ก้าวย่างเข้าสู่ระยะของการพัฒนาร่วมกันทั้งโลก (ยุคโลกาภิวัตน์) ไปตามแนวกำหนดของอารยธรรมตะวันตก ซึ่งแสดงบทบาทเป็นกระแสหลักนำการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกมาตั้งแต่ยุคการ ปฏิวัติอุตสาหกรรมเมื่อเกือบ 300 ปีมาแล้ว จนถึงปัจจุบัน

เหตุการณ์ “เผาบ้านป่วนเมือง” ของ นปช. ส่งผลให้กลุ่มคนเสื้อแดงจำนวนหนึ่ง พากันเดินแถวเข้าคุกด้วยข้อหา “ผู้ก่อการร้าย” ขณะที่อีกจำนวนหนึ่งพากันลงใต้ดิน ทำสงครามจรยุทธ์ ตามคำประกาศของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผู้อยู่เบื้องหลังเบื้องหน้าของขบวนการคนเสื้อแดงมาโดยตลอด โดยมุ่งหวังที่จะใช้มาตรการป่วนเมืองทุกรูปแบบ กรุยทางการคืนสู่อำนาจของตนเอง

ผลสุดท้ายจะลงเอยอย่างไร คงไม่เป็นเรื่องยากที่จะคาดการณ์ แต่ผู้เขียนก็ยังไม่พร้อมที่จะ “ฟันธง” เนื่องจากมันมีเหตุปัจจัยหรือตัวแปรด้านกลับกำกับอยู่ ซึ่งก็คือรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้มีหน้าที่ระดมสรรพกำลังภาครัฐ ดำเนินการต่อสู้กับขบวนการป่วนบ้านเผาเมืองของกลุ่มคนเสื้อแดง แต่การแสดงออกในห้วงวิกฤต ได้สร้างความกังขามากมายให้แก่สาธารณชน ว่าถึงที่สุดแล้ว รัฐบาลชุดนี้จะสามารถแก้ไขปัญหาวิกฤตระดับชาติได้จริงหรือไม่

บางที รัฐบาลชุดนี้อาจประสบความล้มเหลว เพราะแก้ปัญหาไม่เป็น จากผู้แก้ปัญหากลายเป็นตัวปัญหาเสียเอง ทำให้ปัญหาวิกฤตบานปลายและเรื้อรังหนักยิ่งไปอีก เช่น เกิดสงครามจรยุทธ์ไปทั่ว ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ทั้งในเมืองและในชนบท

แต่ผู้เขียนไม่อยากมองโลกในแง่ร้ายขนาดนั้น เพราะถึงที่สุดแล้ว ภาคประชาชน โดยเฉพาะขบวนการการเมืองที่มีการจัดตั้งอย่างกว้างขวางทั้งในและต่างประเทศ อาทิ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ร่วมกับประชาชนที่รักชาติรักสถาบันรักความถูกต้องทุกภาคส่วน จะไม่อยู่นิ่งเฉยอย่างแน่นอน จะต้องพากันแสดงพลัง “กำหนด” ให้รัฐบาลและข้าราชการทหาร ตำรวจ ต้องปฏิบัติภาระหน้าที่อย่างจริงจัง ต่อสู้เอาชนะขบวนการก่อการร้ายใดๆ ได้ในที่สุด

ในทัศนะของผู้เขียน พวกคนกลุ่มเสื้อแดงไม่มีอนาคต ตราบใดที่ยังยึดแนวทางการพวกเขานับวันแต่จะไถลเลื่อนลงสู่ครรลองของความไม่ มีเหตุไม่มีผล ขาดความชอบธรรม ไร้ซึ่งปัญญา และหาความเป็นอารยะใดๆ ไม่ได้เลย เพราะทั้งหมดนั้น มันเป็นเพียงการสะท้อนถึงการต่อสู้รับใช้ผลประโยชน์ของคนคนหนึ่งกับพวกพ้อง ที่เคยมีอำนาจ เคยได้ประโยชน์มหาศาลจากการใช้อำนาจ เมื่อสูญเสียอำนาจ ก็ต้องการฟื้นคืนอำนาจเท่านั้นเอง
ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาพูดและทำ จึงล้วนแต่เป็นสิ่ง “แต่งแต้ม” ขึ้นมาเอง หามีแก่นสารอันใดไม่ ทั้งหมดเป็นความพยายามที่จะหลอกลวงคนอื่น แต่ถึงที่สุดก็เป็นการหลอกลวงตนเอง

เช่น ทั้งในช่วงก่อนและระหว่างการดำเนินยุทธการป่วนบ้านเผาเมือง ระหว่างวันที่ 12 มีนาคม – 19 พฤษภาคม ที่ผ่านมา กลุ่มแกนนำ นปช.บางส่วนได้ใช้ทฤษฎีการต่อสู้ทางชนชั้นและการปฏิว้ติสังคมชี้นำ ใช้ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจสังคมที่มีอยู่มากในสังคมไทยเป็นข้ออ้าง อาศัยเครือข่ายจัดตั้งของนักการเมืองพรรคเพื่อไทยและหัวคะแนนอดีตนักการ เมืองพรรคไทยรักไทยและพรรคพลังประชาชนที่ถูกยุบไปแล้ว ทำการป้อนข้อมูลเท็จ และยัดเยียดความคิดทฤษฎีที่เลื่อนลอย อย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ ชักนำมวลชนผู้ยากจนในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือเข้าร่วมการชุมนุม โดยตั้งความหวังลมๆ แล้งๆ

เหตุที่ทำให้พวกเขาหลงเชื่อความคิดผิดๆ ของแกนนำ ยังเป็นเพราะการแสดงออกไปในทางเดียวกันของนักวิชาการและสื่อมวลชนจำนวนหนึ่ง ด้วยสาเหตุต่างๆ เช่น การติดยึดในหลักวิชาหรือตำราที่ตนศึกษามา หรือการมีส่วนได้ผลประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อม หรือกระทั่งความฝังใจในประสบการณ์เฉพาะตน ทำให้ไม่พยายามแยกแยะระหว่างทฤษฎีปฏิวัติที่เป็นวิทยาศาสตร์กับทฤษฎีปฏิวัติ จอมปลอม ความจริงกับความเท็จ ธรรมกับอธรรม ฯลฯ

รวมทั้งการมีปัญหาเสียเองของรัฐบาล ดังที่ได้ตั้งข้อสังเกตไว้แล้ว

ทั้งหลายทั้งปวงนี้ ทำให้สุ้มเสียงสังคมโดยรวมเต็มไปด้วยความสับสนตั้งแต่เริ่มต้น แม้กระทั่งภายหลังเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมืองเมื่อวันที่ 19 พ.ค. ผ่านไปแล้ว โฉมหน้าความเป็นผู้ก่อการร้ายของแกนนำ นปช.และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ปรากฏออกมาชัดเจนแล้ว แต่ด้วยการนำเสนอข่าวบางด้าน จริงบ้างเท็จบ้างของสื่อสายหลักในเครือคนเสื้อแดง และการเปิดสภาฯ ให้นักการเมืองพรรคเพื่อไทยซึ่งมีส่วนร่วมทั้งโดยตรงและโดยอ้อมในยุทธการ ป่วนบ้านเผาเมืองครั้งนี้ (แม้กระทั่ง “ไอ้ตู่” นายจตุพร พรหมพันธุ์หัวโจกแกนนำเสื้อแดง) ได้ละเลงฝีปาก บิดเบือนความจริง สาดโคลนผู้นำรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ราชการที่ทำงานอย่างเอาจริงจังในการต่อสู้ กับกลุ่มก่อการร้าย สังคมไทยก็ทำท่าจะ “เป๋” ตกเข้าสู่วังวนของความ “ไม่รู้” ว่าอะไรคือความจริง อะไรคือความถูกต้องอีกครั้ง

ด้วยมาตรการหลายๆ อย่างของรัฐบาล ที่เน้นไปในทาง “ปรองดอง” อย่างสุดโต่ง กลุ่มก่อการร้ายฝ่ายทักษิณสามารถใช้ข้อมูลเท็จและการกล่าวหาแบบเลื่อนลอยซัด ใส่สังคมไทยอย่างต่อเนื่อง ทำท่าจะพลิกจากผู้ถูกกระทำ กลายเป็นผู้กระทำ จากฐานะจำเลย ไปเป็นโจทย์

เพียงแค่สัปดาห์เดียวหลังเหตุการณ์ป่วนบ้านเผาเมือง สังคมไทยก็มีแนวโน้มต้องเผชิญหน้ากับการคุกคามของขบวนการก่อการร้ายรอบใหม่ ในทันที!

สุดที่จะ “คิดไม่ตก” จริงๆ!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น