...+

วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

สัมภาษณ์มาราธอน - การลงโทษนักเรียนในสมัยก่อน

ฮิวเมอริสต์

            มีผู้อยากรู้เรื่องการลงโทษนักเรียน สมัยเมื่อผมเป็นนักเรียน ผมก็เล่าให้ฟังแล้วว่า โรงเรียนครูปุ้ยซึ่งเป็นโรงเรียนราษฎร์แบบตอนที่ผมเป็นเด็กนั้น ไม่มีชื่อโรงเรียน ไม่ต้องขออนุญาต ส่วนมากก็มีครูอยู่คนเดียว สอนพอให้อ่านออกเขียนได้ เป็นขั้นต้นที่จะไปเข้าโรงเรียนหลวงต่อไป ครูปุ้ยซึ่งถ้าแกยังมีชีวิตอยู่ได้จนถึงบัดนี้ ก็คงจะอายุสักร้อยห้าสิบ  แต่แกไม่สมัครอยู่ แกตายเสียเมื่อไร่ก็ไม่รู้ ไม่มีโอกาสติดตามถามข่าว  ครูปุ้ยแกมีวิธีลงโทษผู้ควรจะต้องถูกลงโทษอยู่วิธีเดียว คือ ตีด้วยไม้เรียวเหลาไม้ไผ่ให้เล็กเรียวยาว สำรองไว้หลายหลายอัน  เพราะมันหักง่าย แล้วก็ถือติดมืออันหนึ่งอยู่ตลอดเวลา  แม้แต่กินข้าวก็ยังพิงไว้ข้างฝาใกล้มือ ทีนี้การลงโทษของครูปุ้ยนั้นออกจะแปลกประหลาด แต่ก็ไม่มีใครถือสา ตั้งเป็นข้อหาถือเอาเป็นโทษเป็นเรื่องเป็นราวแต่ประการใด คือ แกตีเด็กนักเรียนพลาดที่หมายทุกทีไป และไม่เพียงพลาดตำแหน่งที่ควรจะตีหรือหมายจะตี แต่พลาดคนไปเลยทีเดียว ตั้งใจจะตีคนนี้ แต่ไปโดนเอาเพื่อนนักเรียนคนที่อยู่ทางขวาของคนนั้นทุกรายไป  การนั่งเรียนก็นั่งกับพื้นติดติดกันเป็นแถว มีกระดานแผ่นเดียวต่อขาสูงกันสักฟุตหนึ่ง ทำหน้าที่เป็นโต๊ะเรียน นั่งพับเพียบเปลี่ยนซ้ายย้ายขวาอยู่ยุกยิกกันอยู่ตลอดเวลา ใครได้รับคำสั่งให้เขียนก็เขียนไป ใครได้รับคำสั่งให้อ่านก็อ่านไป  ครูปุ้ยคนเดียวก็เดินตรวจไปทีละสองแถว คือ ด้านหลังของแถวนี้และด้านหน้าของแถวหลัง เจอใครทำผิด เช่น เย้าแหย่เพื่อนข้างข้าง หรือสั่งให้เขียนหนังสือแต่เขียนเป็นรูป หรือทำอะไรที่ควรถูกตี ครูปุ้ยก็หวดเควี้ยวลงไปที่คนนั้น แต่ไม่ยักโดนคนที่ตั้งใจตี ไปโดนเอาคนทีอยู่ข้างขวาเข้าทุกคนและทุกที คนที่ทำผิดรู้ตัวว่าถูกตีแต่ตีไม่ถูก ก็เอาหลังมือเช็ดน้ำตาซึ่งไม่ได้ออก คนข้างขวาซึ่งไม่ใช่คนผิดแต่ถูกตีผิดคน ก็หันหน้ามายิ้มแหยหัวเราะแหะ เป็นที่รู้กันอย่างนี้ทุกรุ่น ทุกคนและทุกวัน ผู้ปกครองก็รู้ ครูปุ้ยแกก็รู้ตัว แต่ก้ไม่ได้คิดแก้ไขให้ถูกต้อง เช่นกับว่าตั้งใจจะตีใครก็เลื่อนมาทางซ้ายเสียบคนหนึ่ง กำหนดให้เป็นหุ่นที่จะต้องถูกตี พอตีลงไปจริงก็จะได้ไปโดนคนทางขวา ซึ่งเป็นผู้ทำผิดควรแก่การลงโทษ แต่การณ์ก็เป็นอย่างนั้นอยู่ตั้งแต่ไหนแต่ไร โดยแกไม่ได้รับคำท้วงติง เพราะผู้ปกครองเด็กก็นับถือแก เกรงใจแก แกก็ตีคนผิดให้ผิดคนอยู่เรื่อยไป หรือเรื่อยมาจนแกตายและโรงเรียนปิด เพราะลูกสาวไม่สมัครจะสืบทอดวิชาชีพในฐานะเป็นครูโรงเรียนราษฎร์ที่ไม่มีชื่อ แต่มีชื่อเสียง

            ครั้นผมมาเข้าโรงเรียนวัดชนะสงคราม ถ้าครูมหาพิณสอน ก็โดนหยิกท่าเดียว ระวังแต่ว่า พอครูมหาพิณสอดนิ้วงอเป็นรูปคีมเข้ามาที่ต้นขาแล้ว  ถ้ายังไม่ได้หนีบลงไปละก้อ อย่าเพิ่งด่วนร้องโอยออกมา ขืนแหกปากร้องล่วงหน้าออกมาก่อนละก็ เป็นโดนหนักทีเดียว ต้องค่อยค่อยร้องตั้งแต่คีมเริ่มหนีบ แล้วค่อยค่อยดังขึ้น ดังขึ้น จนหนีบเต็มที่จึงร้องเต็มที่ ก็จะเสร็จพิธีลงโทษ แต่ครูหนุ่มหนุ่มอีกสามห้องเรียน ซึ่งเปิดถึงกันหมดไม่มีฝากั้น ก็นิยมให้เขกโต๊ะบ้าง ตีมือด้วยไม้บรรทัดบ้าง เสียงตีมือและเขกโต๊ะดังไม่ขาดสาย ไม่ห้องโน้นก็ห้องนี้  ติดต่อกันอยู่เว้นไม่นานนัก ถ้าใช้ไม้บรรทัดตีมือ ครูก็ใช้ไม้บรรทัดของนักเรียนนั่นเองตีมือเด็ก ครูหนุ่มหนุ่มฟิตจัด หวดแรงไปหน่อย ถึงไม้บรรทัดหัก ครูก็ต้องซื้อใช้ให้นักเรียน เป็นการทำงานต้องควักกระเป๋ายังงั้น ครูก็ให้เขกโต๊ะดีกว่า ถ้าเขกที่โต๊ะมันดังก้องนัก ก็ให้เขกที่ม้านั่ง  ก็ไม่ได้มีข้อบังคับอะไรระบุไว้หรอกว่า ถ้าใช้ไม้บรรทัดของเด็กตีมือเด็กจนไม้บรรทัดหักละก็ ต้องซื้อใช้ให้เด็ก แต่ว่าเด็กโดนตีมือห้าทีไม้บรรทัดไม่หัก ก็ประมาณได้ว่า ครูตีไม่ค่อยแรงนัก และดูไม่ค่อยจะน่าเกรงขามอะไรนัก  ถ้าเข่นลงไปอย่างเต็มแรง หัสตีเด็กก็ต้องร้องแน่ และถ้าถึงหักเด็กก็ร้องไห้เลย ครูไม่ควักกระเป๋าสามสตางค์ค่าไม้บรรทัด เด็กก็จะยังไม่หยุดร้องไห้

        ตอนต่อจากวัดชนะสงคราม ไปเรียนวัดราชบพิธ ครูไม่เสี่ยงต่อการจะต้องซื้อไม้บรรทัดใช้ให้เด็ก ที่โดนตีมือจนไม้บรรทัดหัก เพราะมันหักง่ายเหลือเกิน มันบางนิดเดียว แล้วครูก็ไม่ให้เขกโต๊ะดังเป้งป้างรำคาญหู ครูหยิบแผ่นหินอย่างดีได้ยินว่า มาจากเมืองจีนโน่น ที่ใช้ปูเต็มลานชั้นล่างรอบโบสถ์อยู่นั่น เป็นที่เขก เขกไปเถอะ ให้เขกพร้อมกันทั้งโรงเรียน ก็ไม่ได้ยินเสียงเขกเลย  วิธีเขกนั้น จะมาทำลวงครู ตั้งท่าเขกเสียอย่างเต็มที่เต็มเหนี่ยว แต่พอจะถึงแผ่นหิน ก็ผ่อนให้กระทบหินเพียงเบาเบา จะได้ไม่เจ็บนั้น ไม่ได้กินเสียละ ครูสังเกตการชะงักจังหวะได้  ครูต้องมายืนเฝ้าทีเดียว ถ้าใครคิดให้เจ็บน้อยอย่างนั้น บางคนครูก็ต้องตรวจเวลาเขกครบจำนวนครั้งตามโทษมากโทษน้อยแล้ว ว้าข้อนิ้วตรงที่สัมผัสหินนั้นจะช้ำแดงหรือไม่ ถ้าไม่มีร่องรอยผิวหนังกระทบหินเลย ก็ต้องเขกใหม่ พอเขกครบห้าทีหรือสิบทีตามโทษานุโทษแล้ว ก็ต้องซู้ดปากสะบัดนิ้วให้ปรากฎอาการว่าเจ็บจริงจริง แล้วแต่ว่าจะทำได้สนิทหรือไม่สนิทแค่ไหน แต่ว่าจะเขกแรงจริงจริงหรือไม่ค่อยแรงนัก มันก็ต้องเจ็บทั้งนั้น เพราะเป็นหินหยาบขรุขระแกร่งเป็นพิเศษ ไม่ใช่ชนิดขัดเป็นมันเรียบ เป็นชนิดหินอ่อนปูรอบลานชั้นบนของโบสถ์ แต่ว่าถ้าเป็นขาประจำไม่ชอบทำการบ้านอยู่เสมอแล้ว ที่ข้อนิ้วหนังก็เลยด้านไปเลย

            มาถึงเทพศิรินทร์ ไม่นิยมใช้วิธีลงโทษด้วยการตีมือหรือเขกโต๊ะเขกพื้นทั้งนั้น ถ้าเป็นโทษใหญ่ ได้แก่หนีโรงเรียน แอบไปซ่องสุมเล่นการพนันที่ลานโบสถ์ ทะเลาะชกต่อยกัน สูบบุหรี่ เหล่านี้ ต้องถูกเฆี่ยนด้วยไม้เรียวอาญาสิทธิ์ จัดทำเก็บรักษาไว้ในตู้ให้เห็นน่าเกรงขาม เทพศิรินทร์นั้นมีสองหลัง  คือ ตึกแม้นนฤมิตร ซึ่งเป็นตึกดั้งเดิม อยู่ด้านเหนือของสนามฟุตบอลล์ และตึกเยาวมาลย์อุทิศ เป็นตึกสร้างใหญ่อยู่ทางด้านใต้ของสนามฟุตบอลล์

             ผมจะเล่าให้ฟังเฉพาะตอนที่ผมย้ายมาจากโรงเรียนวัดราชบพิตร มาเรียนเทพศิรินทร์เริ่มมัธยมปีที่สี่นะครับ เป็นการเล่าเรื่อยเรื่อยไม่ใช่แบบตอบคำถามสัมภาษณ์ เพราะถ้าให้คุณแทรกคำถามสัมภาษณ์แล้ว บางทีผมก็เรื่อยเจื้อยแตกแขนงล่วงล้ำเลยไปเรื่องอื่นอื่นที่พาดพิงไปถึง  แล้วผมมันก็แก่แตกแขนงเสียด้วย มันก็จะไม่เฉพาะเรื่องการลงโทษตามที่คุณอยากรู้ มันก็จะไปเรื่องอื่นแทรกเข้ามามากมาย

            ผู้มีอำนาจลงโทษขนาดเฆี่ยนได้นั้น มีอยู่สองตำแหน่ง คือ อาจารย์ผู้ปกครองซึ่งเป็นอาจารย์ไทย และอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิชาการซึ่งเป็นฝรั่ง มีห้องสำนักทำงานกันอยู่คนละตึก เจ้าคุณจรัลชวนะเพท อยู่ตึกแม้นนฤมิตร อาจารย์ใหญ่เป็นฝรั่งชื่อ ตี.ยัดช์ อยู่ตึกเยาวมาลย์อุทิศ ปกครองกันคนละตึก แต่โดยทางปฏิบัติเท่าที่เห็นมาแล้ว เจ้าคุณจรัลเรียกตัวนักเรียนมาลงโทษได้ทั้งสองตึก แต่ตี.ยัดช์ ไม่เกี่ยวข้องกับตึกแม้นฯ เพราะเป็นตึกนักเรียนชั้นประถมกับมัธยมต้น เขาดูแลกวดขันเป็นพิเศษเฉพาะมัธยมปลายเท่านั้น ซึ่งเกี่ยวทางวิชาการมากกว่าทางการปกครอง การประพฤติผิดเล็กเล็กน้อยน้อย

            ดูเหมือนจะมีการประชุมตกลงกันทั้งสองตึกว่า การลงโทษสถานเบาจะให้มีแต่การให้ยืนเท่านั้น การตีมือด้วยไม้บรรทัด การเขกโต๊ะเขกพื้น ก็จะไม่มี เมื่อมีอยู่อย่างเดียวก็การให้ยืน ก็เลยพัฒนาการยืนเป็นยืนตรง นิ่งเป็นตุ๊กตา การยืนกางแขน การยืนชูแขน การยืนเท้าเดียว การยืนคาบไม้บรรทัด ถ้าโทษหนักก็เห็นมีให้ยืนกางแขนเท้าเดียว และคาบไม้บรรทัด การกำหนดเวลานั้น บางทีให้หัวหน้าชั้นเป็นผู้ดูแล บางทีครูดูแลเอง บางครั้งลืมดู  จนผู้ถูกลงโทษอุทธรณ์ว่าชั่วโมงหนึ่งแล้วครับ บางชั้นบางห้องนักเรียนถูกลงโทษให้ยืนเสียค่อนห้อง ที่เหลืออยู่พลอยยืนด้วย มิฉะนั้นก็มองไม่เห็นกระดานดำ

            ถ้าเป็นโทษขนาดต้องถึงตี ครูประจำชั้นก็ส่งตัวไปให้อาจารย์ใหญ่หรืออาจารย์ผู้ปกครองพิจารณาลงโทษ และลงโทษเอง

            การที่ต้องลงโทษด้วยการตีนั้น อาจารย์ใหญ่ฝรั่งมีการลงโทษอย่างประหลาดน่าอัศจรรย์ ซึ่งจะเล่าให้ฟังต่อไป



           

ที่มา  ต่วยตูน เดือนมีนาคม ๒๕๓๑ ปีที่ ๑๗ ฉบับที่ ๗  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น