...+
▼
วันพฤหัสบดีที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2553
บางลำพูยังรำไพ (๑)
ฉุ่ย มาลี
ยุคของการแข่งขันกันทำธุรกิจอย่างเอาเป็นเอาตายในปัจจุบัน
การจะสร้างตลาดให้เป็นที่จับจ่ายซื้อข้าวของสำหรับชุมชนแห่งใหม่ให้คนติดไม่ใช่ของง่ายๆ
ต้องมีวิธีการและวิธีกรรมสารพัด เริ่มตั้งแต่ดูทำเลทิศทางการสัญจรของคน
และเทวดาตลอดจนภูติผีปีศาจซึ่งต้องอาศัย ซินแสนักดูฮวงจุ้ย
รวมทั้งการตั้งศาลพระภูมิไปจนถึงศาลเจ้า มีทั้งพระทั้งพราหมณ์มาประกอบพิธี
ตอนผมบวชเคยไปนั่งสวดมนต์ประจันหน้ากับบรรดาหะยีของศาสนาอิสลามมาแล้ว
ยังดีที่บาดหลวงของคริสต์ศาสนาไม่รับทำพิธีกรรมแบบนี้
ไม่งั้นคงรับงานไม่ไหวเหมือนกัน
เรียกว่ากว่าจะสำเร็จเป็นรูปขึ้นมาได้ต้องเสกเป่ากันหลายคาถาหลายอาจารย์นัก
เสร็จแล้วเปิดขายใช่ว่าจะกลายเป็นชุมชนให้คนมาจับจ่ายซื้อหากันได้ง่ายๆ
ต้องโปรโมทกันอีกมากมายก่ายกอง บางตลาดมีรถรับส่งฟรี มีแจกคูปองจับสลาก
มีดนตรีบ้างมีลีเกบ้างมาแสดงเพื่อชักจูงผู้คนทำกันหลายรูปแบบ
บางรายก็สำเร็จแต่บางรายไม่รู้เปลี่ยนรายการต่อกี่รายการ ก็ยังไม่มีคนเข้า
ตลาดสดกลายเป็นตลาดแห้ง คนขายพากันนั่งชะเง้อคอรอคนซื้อจนคอยาวไปตามๆกัน
พอเห็นคนซื้อหลุดเข้ามาสักคนสองคนต่างก็ตะเบ็งเสียงเรียกให้ซื้อของกันเปิ๊บป๊าบๆ
ยังกะห่านเห็นคน
แต่บางแห่งไม่ต้องการมีการโปรโมทอะไรทั้งสิ้น
ผู้คนพากันหลามไหลไปจับจ่ายซื้อหากันแน่นขนัด
และไม่ใช่เพิ่งจะเป็นแต่เป็นในแบบนี้มานานแล้ว อย่างบางลำพูนั่นยังไง
จนป่านนี้ก็ยังรำไฟเหมือนเดิม ไม่รู้กี่สิบปีมาแล้ว เดี๋ยวนี้ก็ยังแจ๋ว
คนเดิมอย่างผมผ่านไปเห็นเข้า เล่นเอาเขินเพราะเป็นคนบางลำพูแท้ๆ
เหมือนใกล้เกลือกินด่างปล่อยอีนางให้คนถิ่นอื่นเอาไปชื่นเชย
โธ่...
ผมเห็นบางลำพูเหมือนไอ้หนุ่มเห็นอีหนูมาตั้งแต่ค่าตัวไม่กี่บาท
บัดนี้หล่อนงามสพรั่งเริดแร่ดไปลิบลับจนค่าตัวเป็นร้อยล้านพันล้าน
จะไม่ให้รำพึงรำพันถึงหล่อนได้ยังไง
เหมือนคนที่เคยรู้จักกันมาตั้งแต่สมัยกระจอก พอคนหนึ่งกลายเป็นอินทรี
ไอ้คนที่เคยเป็นกระจอกมาด้วยกัน
ก็อดที่จะคุยถึงความหลังของกระจอกที่กลายเป็นอินทรีเสียมิได้
มันเป็นความภูมิใจปนอยู่ด้วย
เช่น...ไอ้ตงน่ะเหรอ
เตี่ยมันเป็นจีนเต็งอยู่ในโรงยา
แม่มันรับจ้างตักน้ำส่งตามบ้านหาบละห้าสตางค์
ตัวมันกลางวันเป็นลูกจ้างส่งก๋วยเตี๋ยว กลางคืนเป็นเด็กขายของในโรงหนัง
เดี๋ยวนี้..แม่ง..ขี่เบนซ์
หรือ...ยายวัลลีน่ะเหรอกูไม่อยากจะพูด
เมื่อก่อนแกตั้งแผงขายขนมอยู่ปากตรอกตลาดนี่เอง ก่อนจะเป็นคุณนาย
แกเป็นเมียไอ้หนองมาก่อน ..กูไม่อยากจีบเองแหละว้า
มันเป็นความภูมิใจที่ได้รู้จักกับอดีตของคนดังโดยตนเอง
ยังยืนโรงเป็นกระจอกเจ้าเก่าไม่เปลี่ยนแปลง
ผมจะเอาความหลังของบางลำพูมาฝอยบ้างดีไหม ....เอากันตั้งแต่ตรงไหนดีล่ะ
เอากันตั้งแต่ตรงร้านสหกรณ์หัวมุมถนนตานีก่อนเป็นไง....ฮี่โธ่
(นึกถึงภาพและเสียงแบบกระจอกเจ้าเก่าด้วยนะครับ)
ตรงร้านสหกรณ์เดี๋ยวนี้น่ะเมื่อก่อนข้างล่างเป็นร้านกาแฟ ข้างบนเป็นโรงแรม
โรงแรมชนิดข้างฝาเป็นไม้โดนเจาะเป็นรูพรุน
บางรูมีก้นบุหรี่อุดเอาไว้เรียบร้อย
พวกรูเหล่านี้ก็รู้กันอยู่แล้วเจาะเอาไว้เพื่อแอบดูกิจกรรมบนเตียง
ผมเคยเห็นท่าพาเด็กสาวที่ตกเป็นเหยื่อคารมของผมไปเช่าห้องพัก
พอจะเปิดประตูเข้าห้องเข้าไปแทบหมดอารมณ์ แค่จะเท่านั้นนะครับ
ไม่ใช่หมดอารมณ์เพราะสภาพของห้องหรอกครับ
แต่หมดอารมณ์เพราะเด็กที่คิดว่าเป็นสาวบริสุทธิ์เอ่ยขึ้นว่า
"พี่ๆ เอาห้องอื่นเถอะ ห้องนี้รูแยะ"
โรงแราสมัยนั้นใช้มุ้ง
ดังนั้นตามชายมุ้งปลอกหมอนไปจนถึงผ้าปูที่นอนจึงมีรอยคราบรอยด่างเป็นดวง
เพราะคนมักง่ายชอบใช้เช็ดในแบบเสร็จแล้วซักแห้ง
นอกจากนั้นยังมีตัวเลือด
เลือดที่เป็นสัตว์ตัวเล็กๆดำๆ ขนาดเท่าตัวเหาหรือใหญ่กว่าเล็กน้อย
แอบซ่อนอยู่ตามตะเข็บของปลอกหมอน ที่นอน ชายมุ้ง ตะเข็บมุ้ง
พวกนี้คอยกินเลือดคนเหมือนยุง
บางตัวมักใหญ่ใฝ่สูงหรือที่เรียกกันว่าบินเหนือเมฆ
แอบขึ้นไปเกาะอยู่บนเพดานมุ้ง
พอเห็นคนลงนอนมันจะปล่อยตัวตกลงมาอย่างแผ่วเบาเรียกว่าทิ้งดิ่งหรือทิ้งร่ม
ปัจจุบันตามโรงแรมหรือตามบ้านไม่ค่อยได้พบเลือดพวกนี้
ไม่ทราบว่าในเรือนจำยังจะพอมีหรือเปล่า
จะเข้าไปสืบเสาะหาดูถึงในนั้นมันก็น่าเกลียด ใครอยากรู้ไปสืบดูเองก็แล้วกัน
นอกจากเลือดแล้วยังมีโลน
แต่โลนไม่ได้อยู่ตามมุ้ง ที่นอน หรือปลอกหมอน
โลนมักจะอยู่ตามตัวผู้หญิงที่พามานอน
ผู้หญิงระดับพกขึ้นมานอนโรงแรมแบบนี้อยู่คลาสส์ไหน ไม่ต้องบอกก็รู้
เพราะถัดจากโรงแรมมาทางสี่แยกระหว่างร้านตั้งฮั่วเส็ง
กับร้านขายทองจะมีตรอกเล็กๆคั่นอยู่
ตรอกนั้นสมัยก่อนเขาเรียกว่าตรอกเสาวรส
มีซ่องอันลือชื่อของยายปรุงตั้งอยู่ ถัดจากนั้นมาตรงถนนผ่ากลางในปัจจุบัน
เมื่อก่อนเป็นทางเข้าตลาดยอด ซึ่งเป็นตลาดสด เลยมาอีกหน่อยก็ถึงสี่แยก
หันหน้าไปทางสะพานนรรัตน์ตรงหัวมุมด้านขวา เป็นร้านกาแฟชื่อ "นันทิยา"
ว่ากันว่าตัวลครบางตัวผ่านสายตาของ รงค์ วงษ์สวรรค์
ที่ร้านกาแฟแห่งนี้ก่อนจะเดินกรีดกรายขึ้นไปกร่างอยู่บนหน้ากระดาษ
ก่อนร้านนันทิยาเกิดด้านตรงข้ามปัจจุบันเป็นธนาคาร
สมัยก่อนเป็นโรงหนังชื่อเฉลิมเมือง
แต่ทนแรงเสียดสีไม่ไหวเลยลาโรงไปก่อนเพื่อนเหลือน้องๆที่มีชื่อเฉลิมนำหน้าก็เอาอย่างบ้าง
จนปัจจุบันเหลือไม่กี่เฉลิม
ถัดจากเฉลิมเมืองไปตามถนนพระอาทิตย์
ใกล้โรงพิมพ์วัดสังเวชเป็นโรงลครเก่าเรียกกันว่า โรงลครแม่บุญนาค
ผมทันเห็นโรงลครแต่ไม่ทันเห็นลคร
เห็นแต่คนเอาโรงลครเป็นที่อยู่อาศัยไปซะแล้ว
ทางขวามือก่อนข้ามสะพานนรรัตน์
ข้างหลังตึกเป็นตลาดทุเรียน มีโรงลิเกและโรงหนังน่ำแช
ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นชื่อปีนัง และศรีบางลำภูก่อนจะเลิกรา
สมัยนั้นหนังโดนลิเกตีอยู่หมัด
เพราะหนังดูแล้วไม่รู้เรื่อง เนื่องจากยังไม่มีการพากย์ไทย บางคนดูแล้ว
บอกเวียนหัว เพราะมันเป็นเงาวูบวาบๆเข้าไปเดี๋ยวเดียวหน้ามืดพาลจะเป็นลม
ลิเกสมัยโน้นจึงเป็นความบันเทิงระดับหนึ่งของชาวบ้าน
ข้ามคลองมาตลาดนานา
ก็มีโรงลิเกอีกน่ะแหละ หลังโรงลิเกเป็นโรงหนังชื่อตงก๊ก
ต่อมาเปลี่ยนเป็นบุศยพรรณ
ตอนนั้นฝั่งตลาดนานาดูเหมือนจะพยายามแกะรอยตามฝั่งตลาดยอด
ตลาดยอดมีอะไร ตลาดนานาก็มีสิ่งนั้น ตลาดยอดมีหนัง ฉันก็มีหนัง
ตลาดยอดมีลีเก ฉันก็มีลิเก ตลาดยอดมีโรงจำนำ ฉันก็มีโรงจำนำ
ตลาดยอดมียายปรุง ฉันก็มียายจันท์ ...ซ่องยายจันท์
แกอยู่ตรอกพระสวัสดิ์เลยตงก๊กมานิดเดียว
บางลำพูสมัยโน้น
สะพานนรรัตน์ข้ามคลองที่เห็นในปัจจุบันเป็นจุดเด่นอันสำคัญ
ตัวสะพานส่วนบนมีเหล็กโค้งยึดอยู่ เหมือนสะพานพุทธ
พื้นสะพานก็เป็นไม้ล้วนๆ เนื่องจากรถยนต์ไม่ค่อยจะมี
มีแต่รถสามล้อกับรถลากเป็นส่วนมาก
ส่วนสะพานสำหรับรถรางข้ามทำแยกออกไปต่างหาก
ตัวสะพานมีราวสำหรับให้วัยรุ่นนั่งเล่นรับลมยามราตรีมองดูสาวบ้างไม่สาวบ้าง
เดินข้ามสะพานไปดูลิเก ทั้งตลาดทุเรียนและตลาดนานาชนิดแฟนใครแฟนมัน
ใต้สะพานมีเรือเหล็กเก่าๆ จอดทิ้งไว้ลำหนึ่ง ชาวบางลำพูเรียกกันว่า
เรือเอ็มเด็น เนื่องจากเอ็มเด็นจอดอยู่ในสถานที่อันเหมาะและมิดชิด
อยู่ใต้สะพานเลยกลายเป็นก๊วนสำหรับคอกัญชาใช้เป็นที่สูบและขาย
เอ็มเด็นดังอยู่นานจนกระทั่งกลวงสั่งทำลาย
ก๊วนโดยลากเอาไปทิ้งไว้ที่ไหนไม่รู้
ทุกวันนี้
ตลาดยอดทิ้งตลาดนานาอย่างไม่เห็นฝุ่น
รัศมีทำการแผ่ขยายออกไปอย่างสง่าผ่าเผย
ยังไม่รู้ว่าทางตลาดนานาจะเปลี่ยนกลยุทธในแบบไหน เพราะเห็นรื้อตลาดออกแล้ว
(อ่านต่อตอนจบ)
ที่มา ต่วยตูน เดือนมีนาคม ๒๕๓๑ ปีที่ ๑๗ ฉบับที่ ๗
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น