...+

วันพุธที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2553

ระลึกถึงละครร้อง - เรื่องหรรษาในแวดวง ที.วี.

ถาวร ช่วยประสิทธิ์


            ขึ้นชื่อว่าละครร้องคิดว่าคนไทยรุ่นผมเปลี่ยนสีแล้งคงรู้จักดี ุร่นผมดกปรกหน้าผากอาจไม่รู้จัก ละครร้อง แน่ละต้องร้อง ม่ายยังงั้นคงไม่เรียกว่าละครร้อง  และที่ร้องก็คือ ร้องเพลงไม่ใช่ร้องโอ๊ย เพลงที่ใช้เป็นเพลงไทย (อย่าบังอาจเติมคำว่า "เดิม") ขนาดอัตราชั้นเดียว  เช่น เพลงขึ้นพลับพลา สร้อยสนตัด แขกหนัง เป็นต้น เนื้อร้องผูกเป็นกลอนแทนคำพูดโต้ตอบกัน หรืออาจเป็นการรำพึงรำพันกับตัวเองก็ได้ แต่คนที่ดูเขาแปลกใจกันมากก็อีตอนร้องเพลงจบแล้วเหตุไฉนจึงย้อนกลับมาพูดซ้ำอีกก้ไม่รู้ อาจเป็นเพราะเกรงว่าคนดูฟังเพลงแล้วได้ยินเนื้อร้องไม่ชัดเจนก็เป็นได้ เป็นอันว่าคนดูได้ดูสองหน หนแรกเป็นตอนร้องเพลง หนที่สองเป็นบทเจรจาซึ่งเนื้อความซ้ำกัน คนเล่นก็จำเป็นต้องแสดงบทบาทซ้ำกันสองหนเช่นเดียวกัน

            เอกลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของละครร้องก็คือ ต้องใช้ผู้แสดงที่เป็นผู้หญิงล้วนๆ ไม่ว่าพระเอกหรือแม้แต่ผู้ร้ายก็ใช้ผู้หญิงแสดง อนุญาตให้ผู้ชายเล่นได้เพียงสองตำแหน่งคือ ตลกตามพระ (เอก) กับตลกตามนาง (เอก) เท่านั้น เรื่องตัวตลกนี้เป็นเอกลักษณ์ของการแสดงของคนไทยอย่างหนึ่ง ไม่ว่าลิเกละครหรือโขนก็มีทั้งนั้น เห็นจะเป็นเพราะนิสัยคนไทยชอบสนุกสนาน ตลกโปกฮาก็เป็นได้  จะเล่นอะไรตอนไหนแม้แต่ตอนโศกเศร้าก็อดมีตลกไม่ได้ และตัวตลกนี้เป็นตัวดึงดูดคนดูไม่แพ้ตัวเอก

            การที่ต้องมีตัวตลกตามพระหรือตามนางนี้ นอกจากจะเรียกเสียงหัวเราะจากคนดูแล้ว ยังมีประโยชน์ในการเจรจาเพื่อดำเนินเรื่องไปด้วย  การที่จะให้พระเอกหรือนางเอกพูดกับตัวเอง มันจะทำให้เรื่องมันจืดชืด ตัวตลกในละครร้องนี้ต้องตลกอย่างมีขอบเขต คือ ไม่หยาบคาย หรือ ถูกเนื้อต้องตัว เพราะไม่ว่านางเอกหรือพระเอกใครๆก็รู้อยู่แล้วว่า เป็นผู้หญิงทั้งนั้น สมัยก่อนเขาถือมากในเรื่องจับมือถือแขนระหว่างหญิงชายในที่สาธารณะ สมัยนี้ไม่ค่อยถือกันเสียแล้ว เห็นคนในวัยรุ่นโอบเอวไหล่เดินกันในศูนย์การค้าเป็นประจำ

            โลกปัจจุบันนี้เต็มไปด้วยผู้ชายสองประเภท แล้วยังแถมมีสาวประเภทสองอีกด้วย ดังนั้นอาจมีคนคิดว่าพระเอกละครร้องซึ่งเป็นผู้หญิงนั้นคงเป็นสาวประเภทฉิ่งฉับทัวร์อย่างว่า แต่ความจริงไม่ใช่ ทั้งพระเอกและผู้ร้ายก็คงมีลูกมีผัวเหมือนผู้หญิงธรรมดาทั่วไป เพียงแต่ว่าต้องดัดเสียงและทำท่าทางเหมือนผู้ชายเวลาแสดงตามบทเลยติดนิสัยนอกเวลาแสดงไปด้วย ในวงการละครทีวียังมีตัวพระในละครร้องมาเล่นเป็นตัวแม่อยู่บ้างสองสามคน แต่เวลาแสดงมักจะออกท่าผู้ชายให้เห็นบ่อยๆ เช่น ชอบท้าวสะเอวพูดและพูดด้วยเสียงอันดังคับห้องส่งด้วยสำเนียงแหบๆ

            ตัวผมเองมีความฝังใจกับละครร้องมาตั้งแต่เด็กๆ ถ้าคิดจำนวนปีก็ราวๆ ๖๐ ปีที่แล้วมา ละครร้องคณะแม่ชม้อยมาแสดงที่โรงหนังตงก๊กที่สะพานเหลืองบ่อยๆ โรงหนังโรงนี้เป็นโรงที่ห่อหุ้มด้วยสังกะสีเกือบทั้งหมด เรื่องความร้อนระอุนั้นไม่ต้องพูดถึง แต่คนไทยสมัยที่ยังไม่มีแอร์คอนดิชั่นก็ทนกันได้ บนเพดานมีพัดลมแขวนอยู่เป็นแถว พัดลมแต่ละตัวมีก้านยาวหลายวา ดังนั้นเวลาหมุนจึงมีการแกว่งไกวอย่างน่ากลัว วันดีคืนดีพัดลมตัวหนึ่งหลุดจากขั้วขณะที่กำลังหมุนจี๋ มันจึงหมุนคว้างลงมาเหมือนจักรของพระรามที่ขว้างไปตัดคอยักษ์ บังเอิญมีคนตาไวร้องบอกเสียก่อน ผู้คนที่อยู่ใต้พัดลมจึงหนีกันอลหม่านและหลบหลีกไปได้โดยไม่มีใครเป็นอันตราย ที่เล่ามาเป็นตุเป็นตะนี้ก็เพราะผมเห็นกับตา

            ตามปกติโรงหนัง ตงก๊กฉายหนังจีนซึ่งเป็นหนังเงียบเป็นประจำ เรื่องที่ฮิตติดอันดับเห็นจะเป็นเรื่องดาบกายสิทธิ์ ซึ่งมีกี่ภาคต่อกี่ภาคนับไม่ถ้วน นางเอกยอดนิยมก็ต้องอูลี่จู ซึ่งแสดงคู่กับพระเอกยอกนิยม คือ แซซุ่ยเล้ง  อีกคนหนึ่งที่แสดงบทโศกได้ดีเยี่ยมก็คือ ฮู่เตี๊ยบ บางครั้งอูลี่จูก็แสดงเรื่องสมัยใหม่ คือ ใส่ท็อปบู๊ตขี่ม้า บางตอนมีมุขตลกตอนคนใช้ถอดท็อปบู๊ตต้องรับขาแล้วขึ้นไปขี่บนขานางเอก นางเอกก็ถีบก้นคนใช้จนรองเท้าหลุด ที่ตลกยิ่งกว่านั้นยังแถมตดออกมาด้วย ที่คนดูรู้ว่าตดก็เพราะมีควันพวยพุ่งออกมาด้วย ที่เขาทำผิดธรรมชาติเพราะแม้แต่ชาวเอสกิโมก็ไม่ตดออกมาเป็นควัน แต่เพราะว่าเป็นหนังเงียบจึงต้องใช้ควันช่วยให้เข้าใจ และคนใช้ก็รับมุขด้วยการตีหน้าแสดงว่าเหม็น ทำให้คนดูฮาจนสังกะสีหุ้มโรงหนังสะเทือนเลื่อนลั่น

            พอมีละครร้องมาแสดงก็ต้องหยุดฉายหนังชั่วคราว คนดูหนังกับคนดูละครส่วนมากเป็นคนละพวกกัน พวกที่ขึ้นไปวิ่งไล่กันบนเวทีหน้าจอหนังก่อนหนังฉายนั้นย่อมไม่ดูละคร แต่คนดูละครอาจดูหนังด้วยก้ได้ เช่น ตัวผมเองเป็นต้น  ที่ได้ดูบ่อยๆก็เพราะว่ารู้จักกับเจ้าของโรงหนัง จึงดูไม่เสียสตางค์ เวลาดูละครร้องก็นั่งชั้นบ็อกซ์ติดเวทีเสียด้วย


            นอกจากแม่ชม้อยแล้วนานๆ แม่บุญนาคก็ยกคณะมาเล่นที่โรงหนังตงก๊กนี้เหมือนกัน ดูแล้วก็มีการวิพากษ์วิจารณ์กันว่า คณะไหนดีกว่า บางคนก็ว่าแม่ชม้อยดีกว่า  บางคนว่าสู้แม่บุนนาคไม่ได้ทั้งๆที่เป็นพระเอกด้วยกันทั้งคู่ แม้แต่ตลกตามพระ ได้แก่นายทิ้งกับนายเทิ้มก็ถกเถียงกันว่าใครตลกกว่ากัน แต่สำหรับตัวผมนั้นคณะไหนก็ดีทั้งนั้นเพราะดูฟรี

            เมือ่ได้ดูละครกันบ่อยๆ ตั้งแต่ยังเด้กๆ ทำให้ฝังจิตฝังใจมาตั้งแต่ตอนนั้น  บทาทท่าทางตลอดจนเพลงที่ร้องก็ขึ้นใจ จนกระทั่งโตขึ้นเป็นหนุ่มอายุยี่สิบกว่าๆ ขึ้นไปปฏิบัติภาคสนามอยู่ในแคว้นฉาน ครั้งหนึ่งลงมาพักอยู่ที่พานก็ได้ดูละครร้องอีกจนได้ และบังเอิญอีกเหมือนกันที่ชอบพอกับเจ้าของโรงหนังเช่นเคย คราวนี้ไม่ได้นั่งดูที่บ็อกซ์เหมือนเมือเด็กๆ แต่เข้าไปหลังโรงเลยทีเดียว

            ละครร้องคณะนี้ถ้าจำไม่ผิดก็คงชื่อคณะสันต์บันเทิงตอนเขาแสดงก็เข้าไปช่วยเขาอยู่หลังโรง ดนตรีที่ใช้ประกอบการร้องเพลง มีออร์แกนซึ่งใช้เท้าถีบกระเดื่อง ไวโอลิน และกลองชุดหนึ่ง ตอนไหนคนไวโอลินไม่ว่างเช่นไปเข้าห้องน้ำ หรือไปทำหน้าที่อื่น เช่น ออกไปแสดงเป็นตัวประกอบเสีย ผมก็เข้าไปสีไวโอลินเพลงง่ายๆแทนเขา หรือตอนที่ต้องออกแรงขนของก๋ช่วยเขาคนละไม้คนละมือ  ยกตัวอย่างละครเล่นเรื่องนางเอกเป็นชาวเกาะที่น่าสงสาร แต่ละวันต้องทำงานหนักด้วยการขนมะพร้าว ตามเรื่องนางเอกต้องขนมะพร้าวจากหลืบซ้ายมากองไว้ที่หลืบขวา แต่คณะละครมีมะพร้าวแค่ 4-5 ลูกเท่านั้น พอนางเอกขนมะพร้าวมากอง เรา (รวมทั้งตัวผมด้วย) ต้องแบกมะพร้าวกลับไปอีกด้านหนึ่งเพื่อให้นางเอกขนกลับมาอีก ขนมะพร้าวไปร้องเพลงเศร้าไป จนคนดูเห็นว่ามีมะพร้าวมากมายเหลือเกิน จนขนไม่ไหว จึงบังเกิดความสงสารจนน้ำตาคลอไปตามๆกัน

            ตกดึกละครเลิกหัวหน้าคณะก็สั่งให้หย่อนตะเกียงเจ้าพายุลงมาเตี้ยๆ ลืมบอกไปว่าตอนนั้นเมืองพานยังไม่มีไฟฟ้าใช้ ละครที่เล่นใช้ตะเกียงเจ้าพายุสามดวงชักรอกขึ้นไปอยู่เหนือฉาก ตัวละครที่แสดงก็ไม่มีไมโครโฟน ต้องตะโกนพูดให้ได้ยินกันทั้งโรง ด้วยเหตุนี้นักแสดงรุ่นเก่าๆ จึงเสียงดังทุกคน ที่พอเห็นตัวทุกวันนี้ก็คือ สมควร กระจ่างศาสตร์  คนหนึ่งล่ะ เวลาเล่นละครทีวีพูดทีไรต้องยกไมโครโฟนหนี กลัวว่ามันจะระเบิด

            เมื่อหย่อนตะเกียงลงมาได้ที่แล้ว ก็เอาเสื้อปูใต้ตะเกียง อะไรเสียอีกล่ะครับ เล่นไพ่ตองน่ะซี

            ตีไพ่กันอยู่จนเช้า มีคนมาถามว่าละครคืนนี้จะให้เล่นเรื่องอะไรจะไดัให้เขาเขียนป้ายโฆษณา ตัวละครก็จะได้ซ้อม หัวหน้าคณะจั่วไพ่ขึ้นมาแลบดู แล้วร้องสั่งชื่อเรื่องที่จะเล่นคืนนี้ ให้ไปค้นต้นฉบับในลังใส่บทดูเอาเอง แล้วซ้อมกันไปเองก็แล้วกัน บางวันหัวหน้าคณะกำลังเสียไพ่ พอมีคนมาถามก็ชักหัวเสีย  ตัดบทว่าให้ประกาศว่าคืนนี้งดการแสดงหนึ่งคืน ขอแก้ตัวก่อน เสียไปเยอะแล้ว ละครละเคินไม่เล่นมันแล้ว

            ตัวผมเองกับนางเอกละครมีความสนิทสนมกับพอสมควร ตอนเช้าบางวันเอาผ้าผูกผมของนางเอกมาผูกคอเดินไปกินกาแฟกับปาท่องโก๋ ผู้คนในตลาดที่เป็นแฟนละครจำผ้าผืนนั้นได้ก็พาค้อนกันควักด้วยความอิจฉา ตอนหลังกลัวว่านางเอกเขาจะเสียแฟนละครเสียเปล่าๆ เลยเลิกประพฤติเช่นนั้น

            ละครร้องที่เร่ไปแสดงตามชุมนุมชนทั่วประเทศก็อยู่ในสภาพเช่นนี้ ย้ายไปไหนทีก็ขนเอาฉากและอุปกรณ์การแสดงไปพร้อมด้วยลังหรือปี๊บใส่บทละคร ไปเช่าโรงเขาแสดง พอจะเริ่มแสดงก็เขียนป้ายติดไว้ที่ข้างรถม้า ให้ม้าลากไปตามตลาดพร้อมทั้งจ้างเด็กตีกลองตุ๊กๆไปตลอดทาง  เป็นการโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้บรรดาแฟนๆทั้งหลายได้ทราบ ไม่มีการใช้เครื่องขยายเสียงเพราะยังไม่มีใช้กัน ตรงข้ามกับสมัยปัจจุบัน จะขายส้มหรือสัปปะรดโลละสามบาทก็ใช้เครื่องขยายเสียงติดรถปิคอัพตระเวณไปตามตรอกซอกซอยจนหมาเห่าเกรียวกราวไปหมด

       
            โชคชะตาของผมหนีละครร้องไม่พ้น พออายุเข้ากลางคน เจ้านายเขาให้มาทำงานทีวี มาเจอดาราละครร้องเข้าสองคน คือ พี่สีนวล แก้วบัวสาย กับ มนัส บุณยะเกียรติ พี่สีนวลมาพากย์หนัง มนัสมาเล่นละคร ด้วยเลือดของนักดู (ฟรี) ละครร้อง ผมขอให้พี่สีนวลเล่นละครร้องทางทีวี พี่สีนวลปฏิเสธเป็นพัลวัน แกบอกว่ามันหมดสมัยละครร้องเสียแล้ว ขืนเล่นไปก็ไม่มีคนดู   มิหนำซ้ำเขาจะคลื่นไส้เอาเปล่าๆ แต่ผมกลับมีความเห็นตรงกันข้ามว่า ควรแสดงให้คนสมัยนี้ได้ดูกันบ้าง เพราะเป็นการละเล่นของไทยแท้ที่ผู้คนลืมกันหมดแล้ว คนรุ่นใหม่จะได้ดูเป็นการอนุรักษ์ของโบราณ

            คราวหนึ่งผมจัดรายการพิเศษ เนื่องในวันเฉลิมพระชนม์พรรษา รายการวันสำคัญเช่นนี้ผมมักจัดเอง  สิ่งละอันพรรณละน้อยเป็นเรื่องสนุกไม่เคร่งเครียด ระยะนี้ไม่มีใครจัดเสียแล้ว เพราะบรรดาแม่บ้านท่านจัดแทนเสียหมด พ่อบ้านเลยสบายไป ตอนที่ผมจัดนั้นผมเคี่ยวเข็ญพี่สีนวลให้จัดละครร้องสั้นๆเป็นตัวอย่างสักฉากหนึ่ง คราวนี้พี่สีนวลปฏิเสธไม่ได้ เราเลยได้ดูละครร้อง เรื่อง จันทร์เจ้าขา ของ "พรานบูรพ์" ตอนหนึ่งซึ่งใช้เวลาราว ๑๕ นาที โดยพี่สีนวลแสดงคู่กับมนัส ได้ฟังเพลงจันทร์เจ้าขาซึ่งร้องถูกแบบของ "พรานบูรพ์" แท้ๆเพลงนี้นักร้องที่ไม่ได้ซักซ้อมกันจริงๆ คว่ำกันมานักต่อนักแล้ว

            หลังจากรายการวันนั้น ปรากฏว่าได้มีผู้ชมขอร้องให้จัดละครร้องทางทีวีกันอย่างมากมายทั้งทางโทรศัพท์ และจดหมาย บางคนก้เคี่ยวเข็ญด้วยวาจาให้จัดให้ได้ ด้วยเหตุนี้ ละครร้องคณะ "เกียรติแก้ว" จึงบังเกิดขึ้นทางทีวี

            ชื่อคณะนี้เป็นชื่อใหม่เอี่ยมซึ่งผมคิดขึ้นโดยใช้นามสกุลของพี่สีนวลและมนัสมารวมกัน ปัญหาต่างๆลุล่วงไปหมด ดนตรีไม่ต้องห่วง คณะของพ่อ แจ๋ว วรจักร ไปได้สบาย ตัวละครส่วนใหญ่พร้อมแล้ว เพราะนอกจากผู้ก่อตั้งสองคนแล้วยังมีละครร้องเก่าหลงเหลืออยู่หลายคน บทละครก็พอหาได้จากคนเก่าๆ บางเรื่องหาต้นฉบับไม่เจอพี่สีนวลก็เขียนขึ้นมาใหม่จากความทรงจำแล้วนึกเพลงใส่เอาตามความเหมาะสม ตลกตามพระตามนาง ก็มี สาหัส บุญหลง  สมควร กระจ่างศาสตร์ จำรูญ หนวดจิ๋ม ยืนพื้นอยู่แล้ว สำคัญอยู่ที่ว่าจะให้พี่สีนวลและมนัสเป็นพระเอกนางเอกอยู่ตลอดกาลได้ยังไง เพราะวัยมันไม่ให้เสียแล้ว

            หลังจากเลือกเฟ้นกันนานก้ได้คุณ สุพรรณ บูรณะพิมพ์ อาสาเป็นพระเอก และเคี่ยวเข็ญ กิ่งดาว ดารณี เป็นนางเอก

            การแสดงละครร้องนั้นยุ่งยากกว่าแสดงละครธรรมดาอยู่มาก เพราะตัวละครต้องร้องเพลงและตีบทตามเนื้อร้องไปด้วย การซักซ้อมจึงพิถีพิถันมาก  ก่อนการแสดงหลายวันตัวละครต้องมาตกลงกันก่อนว่าใครแสดงเป็นตัวอะไร พี่สีนวลจะร้องเพลงทุกเพลงในเรื่องบันทึกเทปเอาไว้ แล้วแจกจ่ายเทปให้ตัวละครเอาไปซ้อมเอาเองที่บ้าน พอใกล้วันแสดงจริงก็มาซ้อมกันที่สถานี วันนั้นเสียงเพลงกระหึ่มไปทั้งวัน

            ถึงวันแสดงจริง ต้องแสดงกันสดๆ ตอนเช้าซ้อมในห้องไม่มีฉาก ตอนบ่ายซ้อมใหญ่กับฉากจริง ๆ พี่สีนวลกำกับเพลง ตามธรรมดาใครจะร้องเพลงตอนไหน ดนตรีจะขึ้นนำก่อน แต่สำหรับพี่สีนวลนั้นแกร้องึข้นมาก่อนดนตรี  และแกขึ้นเสียงถูกบันไดเสียงทุกเพลง ทั้งนี้เพราะแกจำเสียงดนตรีได้แม่นยำ และที่กำชับนักหนาคือ เสียงของบทต้องถูกต้อง เช่นร้องว่า "...จะไปไหน" ดนตรีลงเสียงสูงตรงคำท้าย จะร้องว่า "ไปไน้" ไม่ได้เด็ดขาด หรือเสียงต่ำจะลง "ไปไหน่" ก้ไม่ได้อีก  จะต้องเอื้อนให้เป็น "ไปไหน" ให้ได้ ถ้าร้องไม่ได้พี่สีนวลจะขยิกขา ในขณะที่พี่สีนวลแอบหยิกขาอยู่นั้น คุณสุพรรณจะสอนท่าทางมือไม้ว่าจะวางอย่างไร ถ้าทำผิดคุณสุพรรณจะแอบหยิกขาอีกข้างหนึ่ง และในขณะนั้นคุณสาหัสจะช่วยเน้นเรื่องการเข้าออกฉากพร้อมมุขต่างๆ ถ้าไม่ถูกใจแกไม่หยิกขา แต่แกตะโกนว่าเอาเจ็บๆ

            นางเอกคณะเกียรติแก้วโดนครูรุมอยู่ถึงสามคนได้สักพักเดียวก็เกิดเบรคแตกร้องไห้โฮขึ้นมาพร้อมทั้งวิ่งตื๋อออกไปนอกห้องส่ง ต้องมีคนออกไปปลอบโยนกันอยู่พักใหญ่จึงยอมเข้ามาซ้อมต่อจนจบ

            สำหรับคุณ สาหัส บุญ-หลง นั้นสอนใครได้ทุกอย่าง พอถึงตัวเองต้องร้องเพลงบ้างก็สั่นไปทั้งตัวและอ้อนวอนพี่สีนวล ขอร้องเพลงเดียวเท่านั้น หรือไม่ก็ขอยกเพลงออกไปเสียเลย แต่พี่สีนวลไม่ยอม แกบอกว่าต้องทรมานตาหัดมันมั่ง

            คราวหนึ่งคณะเกียรติแก้วแสดงเรื่องนางพญางูขาวหรืออะไรทำนองนี้ พี่สีนวลแสดงเป็นพระเอกเสียเอง นางเอกนั้นตอนกลางคืนเป็นงู กลางวันเป็นคน หรือกลางคืนเป็นคน กลางวันเป็นงู ผมก็จำได้ไม่ถนัด จำได้แต่ว่าช่างฉากเขาเอาลวดมาขดแล้วเอากระดาษปะเป็นงูตัวใหญ่มาก เอาสีเขียนลวดลายจนน่าเกลียดน่ากลัว ตามปกติพี่สีนวลเป็นคนบ้าจี้อยู่แล้ว แกบ้าจี้ชนิดที่ไม่ตะโกนถึงส่วนไหนของร่างกายมนุษย์ แต่แกทำเสียงงั่กๆ พร้อมทั้งทำตามคนจี้ทุกอย่าง เช่น แกกำลังถือไม้อยู่ มีคนมาจี้แล้วบอกว่าให้ตีหัว แกจะตีหัวคนที่อยู่ข้างหน้าทันที ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นใครก็ตาม ตอนซ้อมกับเจ้างูตัวนั้นมีคนจี้แกตลอดเวลา ว่าให้ตีงูตัวนั้น แกก็หวดจนงูกระดาษงอมไปเหมือนกัน พอถึงตอนแสดงจริงตอนกลางคืน พี่สีนวลเหลียวเห็นงูตัวนั้นแกก็ร้องงั่กๆ จนเล่นเกือบไม่เป้นเรื่อง กว่าจะจบละครเรื่องนั้นเล่นเอาเหงื่อแตกไปตามๆกัน และละครเรื่องนั้นก็เละตุ้มเป๊ะไม่เป็นท่า แกถึงกับสาปส่งว่าจะไม่แสดงเรื่องประเภทนี้อีกต่อไป

            ละครร้องคณะเกียรติแก้ว  แสดงสองเดือนครั้งอยู่นานหลายปี ระยะหลังหาโฆษณาสินค้าไม่พอค่าใช้จ่าย ต้องควักเนื้ออยู่ตลอดเวลา พอตัวละครรู้ว่าหัวหน้าคณะขาดทุนก็พร้อมใจกันลดค่าตัวลงมาพอเป็นค่ารถ บางครั้งขาดทุนมากๆ ตัวละครก็เล่นฟรี คือ ไม่รับค่าตัวเลย ยิ่งกว่านั้นบางคนยังปวารณาตัวว่า เล่นแล้วจะแถมเงินให้หัวหน้าคณะอีก พี่สีนวลเห็นท่าจะทนไม่ไหวเลยขอยุบคณะกราบลาพระเดชพระคุณไปเสียเลย

            เมื่อละครร้องคณะเกียรติแก้วอำลาจอแก้วไปแล้วก็เป็นอันว่า ปิดฉากละครประเภทนี้ไปจากวงการบันเทิงของเมืองไทย เหลือแต่ตัวตลกเขาเอามาล้อเลียนเล่นเท่านั้นเอง อนิจจา อะไรที่เกิดแล้วจะต้องดับอย่างนี้เหมือนกันหมดละหนอ


ที่มา ต่วยตูน เดือนกรกฎาคม ๒๕๓๐
ปีที่ ๑๖ เล่มที่ ๑๑

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น