...+

วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2553

หลัก เกณฑ์ของการ ป้องกันตัว โดยชอบ ด้วยกฎหมาย

เรื่อง ประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๖๘
หลัก เกณฑ์ของการ ป้องกันตัว โดยชอบ ด้วยกฎหมาย

๑. มีภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้าย อันละเมิดต่อกฎหมาย นั่นคือ
ภยันตรายที่เกิดขึ้นนั้นผู้กระทำไม่มีอำนาจตามกฎหมายจะทำได้
หากผู้ก่อภัยนั้นมีอำนาจทำได้โดยชอบ ท่านก็ไม่มีสิทธิจะป้องกัน เช่น
เมื่อท่านทำผิดกฎหมายและตำรวจจะเข้ามาจับท่าน
ท่านจะอ้างว่ามีภยันตรายเกิดขึ้น
และขอป้องกันด้วยการกระทืบตำรวจที่มาจับไม่ได้
หรือท่านไปหาเรื่องทำร้ายชกต่อยคนอื่นเขา
พอเข้าเกิดฮึดสู้ขึ้นมาเอาคืนบ้าง
ท่านก็เลยถือโอกาสว่ามีภยันตรายเกิดขึ้นแล้ว เลยใส่สารพัด (ทั้งบาจา
ไนกี้ คอมแบท ฯลฯ) แล้วอ้างว่า ที่ยำ...เอ้ย..ทำไปเพราะ
ป้องกันตนเองจากการฮึดสู้ของมัน อย่างนี้
ไม่ได้เลยนะครับ...ท่านจะมีสิทธิป้องกันก็ต่อเมื่อภยันตรายที่เกิดนั้น
ท่านไม่ได้เป็นผู้ก่อขึ้น และเป็นภยันตรายจากการกระทำผิดกฎหมาย
อีกทั้งผู้กระทำไม่มีอำนาจตามกฎหมายที่จะกระทำเช่นนั้นต่อท่านได้
....เอ้า...ดูกรณีตัวอย่างจากคำพิพากษาฎีกาสัก เล็กน้อย

คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๙๖๑/๒๕๒๘ น. ๖๗๔ การวิวาทหมายถึงการสมัครใจเข้า

ต่อสู้ ทำ ร้ายกันหากฝ่ายใดเพลี่ยงพล้ำแก่อีกฝ่ายหนึ่งจะกระทำโต้ตอบกลับไปโดยอ้าง
ป้องกันมิได้ เพราะตนมีส่วนผิดในการที่สมัครใจเข้าวิวาทต่อสู้กันเสียแล้ว

๒. ภยันตรายนั้น ใกล้จะถึง แม้ท่านจะมีภยันตรายอันละเมิดต่อกฎหมายเกิดขึ้น

ตาม ข้อ ๑ แล้วก็ตาม ก็อย่าเพิ่งนอนใจว่าท่านจะมีสิทธิป้องกันได้
กล่าวคือท่านจะมี สิทธิ ป้องกันตัว ได้ต่อเมื่อภยันตรายนั้น
เป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง
คือภัยที่เกิดขึ้นกระชั้นชิดถึงขนาดที่ไม่มีหนทางอื่นที่จะขจัดปัดเป่าภัย
นั้นได้ นอกจากการป้องกันตัวเอง เช่น
ท่านถูกจี้ชิงทรัพย์บนสะพานลอยแสนเปลี่ยวไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่แถวนั้น
ท่านย่อมสามารถป้องกันตนเอง(ป้องกันตัว)ได้ แต่ถ้าท่านกำลังเดิน ๆ อยู่
เห็นคนไม่น่าไว้ใจเดินสวนมา คิดในใจว่าเขาต้องมาจี้เอาทรัพย์จากท่านแน่ ๆ
ท่านเลยเข้าไปตื้บเขาเสียก่อน เช่นนี้ ท่านจะอ้างป้องกันตนไม่ได้
เพราะแม้เขาจะมีเจตนามาชิงทรัพย์ท่านจริง ๆ
แต่เขายังไม่ได้ทำอะไรท่านเลยแค่เดินอยู่เฉย ๆ
จึงถือว่าภยันตรายนั้นยังไม่ใกล้จะถึง
ท่านควรรีบแจ้งตำรวจให้จับเขาแทนที่จะลงมือเสียเอง
หรือเขาชิงทรัพย์ไปจากท่านแล้ว หนีไปจนพ้นกลับไปกินข้าวกับเมียแล้ว
ท่านจะติดตามไปเจอ ท่านก็ต้องเรียกตำรวจจับ จะจัดการเสียเอง
โดยอ้างป้องกันไม่ได้อีกเช่นกัน เพราะภัยตรายนั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว
ไม่ใช่ภยันตรายที่ใกล้จะถึงอีกเช่นกัน

๓. ผู้กระทำจำต้องกระทำเพื่อ ป้องกันสิทธิของตน ให้พ้นจากภยันตรายนั้น อันนี้

ไม่ ยาก อะไร เมื่อมีภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอัน
ละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายกันใกล้จะถึงดังที่กล่าวตามข้อ ๑ และ ๒
แล้ว ท่านก็สามารถป้องกันตนเองได้ ตามแต่สถานการณ์
อันนี้ผู้เขียนสอนไม่ได้ ท่านผู้อ่านต้องหาความรู้เอาเอง
จากบรรดาครูมวยต่าง ๆ หรือ จะใช้เครื่องทุ่นแรงก็ได้ไม่ว่ากัน จะเป็นมีด
ไม้หน้าสาม สเปรย์พริกไทย หรือสากกะเบือ ฯลฯ แต่ที่สำคัญที่สุดคือ
การป้องกันดังกล่าวต้องทำไปพอสมควรแก่เหตุ
อย่างไรจะถือว่าเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุตามมาดูข้อ ๔...

๔. การกระทำ ป้องกันตัว ตามสมควรแก่เหตุ ก็คือ แม้
กฎหมายจะให้สิทธิแก่ประชา ชนผู้ประสบอันตรายป้องกันตนเองได้
แต่ก็ไม่ได้ให้เสียจนหาขอบเขตไม่ได้ จน กลายเป็นการป้อง
กันผสมกับความโกรธแค้น บันดาลโทสะ หรือสะใจ เช่น
ท่านกำลังเดินอยู่บนสะพานลอย มีคนขี้ยาคนหนึ่งเอามีดมาจี้เอวท่าน
ขู่เข็ญให้ท่านส่งทรัพย์ให้ โอเค...ตามกรณีนี้ท่านมีสิทธิป้องกันตนเองได้
เพราะมีภยันตรายอันเกิดจากการละเมิดกฎหมาย เป็น
ภยันตรายที่กระชั้นชิดแล้ว เอาละครับ ! ตอนนี้ท่าน
มีสิทธิที่จะใส่มันได้อย่างเต็มที่เลย ตุ่บ....
พลั่ก....พลั่ก...โป๊ก...โป๊ก...เอ๋ง...หลังจากที่ท่านใส่มันจนหมอบแทบเท้าท่านแล้ว
อย่า ! ซ้ำเป็นอันขาด เพราะทันทีที่ไอ้เลวนั่น มันหมอบหรือหนีไปแล้ว
ถือว่าภยันตรายนั้น ได้ผ่านไปแล้ว ท่าน ต้องเรียกตำรวจมาดำเนินการต่อ
มิฉะนั้น การป้องกันของท่านจะกลายเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ
จนท่านอาจต้องเข้าไปอยู่ในตะรางเป็นเพื่อนมันก็ได้ (
หากท่านตื้บซ้ำจนมันตาย แม้ท่านจะคิดว่าไอ้....นี่มันสมควรตายก็ตาม
ท่านจง เก็บความแค้นนั้นไว้
ปล่อยให้เป็นเรื่องของกฎหมายที่จะดำเนินการกับมัน อะ..มิต...ตะ...พุดดดด....
เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวรนะโยม)

เรื่อง ประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๖๘ สุดท้าย
อาจ มีบางท่านสงสัยว่า กรณีที่ท่านไม่เป็นมวย แต่มีเครื่องทุ่นแรง
ท่านจะใช้มันได้ขนาดไหนเพียงไรนั้น เรื่องนี้ มีทฤษฎีที่สำคัญ 2 ทฤษฎีคือ

1. ทฤษฎีส่วนสัด
คือต้องพิจารณาว่าอันตรายที่จะพึงเกิดขึ้นถ้าหากจะไม่ป้องกัน
จะได้ส่วนสัดกับอันตรายที่ผู้กระทำได้กระทำเนื่องจากการป้องกันนั้นหรือไม่
เช่น มีคนมาตบหน้าท่าน ท่านจะใช้มีดแทงเขาตายไม่ได้
เพราะความเจ็บเนื่องจากการถูกตบหน้า เมื่อมาเทียบกับความตายแล้ว
ไม่ได้ส่วนสัดกัน ดังนั้น การเอามีดแทงเขาตายนี้
เป็นการกระทำไปเกินสมควรแก่เหตุ ผู้กระทำไม่มีอำนาจกระทำได้

2. ทฤษฎีวีถีทางน้อยที่สุด
ตามทฤษฎีนี้ถือว่าถ้าผู้กระทำได้ใช้วิถีทางน้อยที่สุดที่จะทำให้เกิดอันตราย
ก็ถือว่าผู้กระทำได้กระทำไปพอสมควรแก่เหตุแล้ว เช่น ก.
เป็นง่อยไปไหนไม่ได้ ข. จึงเขกศรีษะ ก. เล่นโดยเห็นว่า ก.
ไม่มีทางกระทำตอบแทนได้เลย นาย ก. ห้าม ปรามเท่าใด ข. ก็ไม่เชื่อ ฟัง
ถ้าการที่ ก. จะป้องกันมิให้ ข. เขกศรีษะทีวิธีเดียวคือใช้มีดแทง ข. ต้อง
ถือว่าการที่ ก. ใช้มีดแทงนี้เป็นการกระทำไปพอสมควร แก่เหตุ
เพราะเป็นวิถีทางน้อยที่สุดที่จะป้องกันได้

แล้วท่านอาจสงสัยว่า ความ เห็นตามทฤษฎีที่ไม่ตรงกันนี้ ท่านควรยึดถือตาม

ทฤษฎี ไหน ผู้เขียนขอตอบว่า ไม่รู้...แล้วแต่ดวงละกัน...เพราะ
ผู้เขียนไม่อาจไปรู้ใจศาลท่านได้ว่าท่านจะยึดตามทฤษฎีไหน
การพิจารณาว่าการกระทำแค่ไหนเป็นการสมควรแก่เหตุนั้น
ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาลท่าน ผู้เขียนบอกได้แต่เพียงว่า อย่า !!! ซ้ำ
อย่า !!! ทำ เพราะความโกรธแค้น รับรองว่าศาลท่านปราณีแน่นอน

แต่ถ้าท่านพลั้งมือเล่นมันหนักเกินไป หรือเผลอซ้ำไปแล้วล่ะ ทำไงดี อันนี้ผู้เขียนก็

แนะ นำได้ แต่เพียงว่าถ้าที่ท่านทำไปนั้น ปราศจากความแค้นส่วนตัว
แต่เป็นการพลั้งมือ การกระทำของท่านย่อมเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ
ถือเป็นการกระทำผิดกฎหมาย อย่างไรก็ตาม กฎหมายกำหนดให้ศาลมีอำนาจใช้
ดุลพินิจลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้เท่าใดก็ได้ แต่ถ้าการกระทำไป
เกินสมควรแก่เหตุนั้น เกิดขึ้นเพราะความตื่นเต้น ตกใจ หรือความกลัว
ศาลจะไม่ลงโทษเลยก็ได้

อย่างไรก็ตามแม้ท่านผู้อ่านจะมีสิทธิป้องกันตนเอง ก็ตาม ผู้เขียนก็เห็นว่ากรณีที่

ควร ป้องกันก็คือท่านอยู่ในฐานะเป็นต่อไอ้พวกมารสังคมอย่างมากชนิด
เซียนมวยให้ ๑ ต่อ ๑๐ เช่น มันมามือเปล่า ท่านมีมีด หรือมันมีมีด
ท่านมีปืน มันมีคนเดียวสองเท้า ท่านมี ๕ คน ๑๐ เท้า
จึงอาจน่าจะเสี่ยงป้องกันดู หากไม่เช่นนั้นแล้ว ท่านอย่าฝืนป้องกัน
ให้ยอม ๆ ไปเถอะ ทรัพย์สินนอกกายหาใหม่ได้ แต่แขนขาของท่าน
ถ้าขาดหายไปหรือโดนเสียบจนพรุนแล้ว คงหาใหม่ได้ยาก

ขอขอบคุณ ข้อมูลการ ป้องกันตัว จาก "สภาทนายความ"

http://www.facebook.com/l/a3aa0;www.lawyerscouncil.or.th/infor/lin57.htm

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น