...+

วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2553

อุทาหรณ์จากการยัดเยียดการเรียนเกินไป ทำให้เด็กสติขาด

เรื่องจริงที่ใหญ่ที่สุดในชีวิต

หวัดดีค่ะ...
ก่อนอื่นจะเล่าเรื่องให้ฟังค่ะ...เพิ่งได้รับทราบมาเหมือนกันจากปากของเพื่อนทั้งน้ำตา...และคิดว่ามีประโยชน์ไม่มากก็น้อย...เพื่อนคนนี้ไม่ได้ติดต่อมานานประมาณเกือบๆ
4 ปีเห็นจะได้...
คือไม่สนิทเท่าไรแต่พูดคุยกันได้และตอนนี้เพื่อนมีลูกแล้วค่ะ...แต่มีเพื่อนน้อย
> เพื่อนแต่งงานกับวิศวกร(สามี)ที่เก่งมากค่ะและตัวเพื่อนเองก็จบมหาลัยเอกชนก็เกียรตินิยมอันดับ
> 2 ด้านภาษาต่างประเทศค่ะ คือเหมาะสมกันถึงไม่รวยมาก แต่ก็เกินปานกลางนะคะ
พอแต่งงานก็ไม่ได้ติดต่อใคร แต่ทราบว่ามีลูก ณ.ปัจจุบันก็ 7 ขวบกว่าแล้วค่ะ
ดิฉันได้โทรไปหาเพื่อน เพระตอนนี้เราก็มีลูก 4 ขวบกว่าค่ะ
ก็หาข้อมูลเรื่องการเรียนในนี้เป็นหลัก
และอาศัยถามคนอื่นด้วยและไม่อายที่จะถามด้วยเพราะคิดว่ายิ่งรู้มาก ก็ยิ่งดี
จึงได้โทรไปหาเพื่อนค่ะและถามเรื่องลูก สิ่งที่ได้รับ คือ การปล่อยโฮอย่างแรง
> ร้องไห้จะเป็นจะตายทีเดียวนั้น เราก็ตกใจ
> เฮ้ยแกเป็นไรวะ เป็นไร....
>
> มันบอกว่ามันอึดอัด มันจะบ้าอยู่แล้วปรึกษาใครก็ไม่ได้ทุกวันนี้มันถูกตราหน้าว่าเป็นคน
> ผิด...'ผิดอย่างร้ายกาจ'
> จากครอบครัวสามี และแม่ตัวเอง มันปรึกษาใครก็ไม่ได้
> เพราะพื้นฐานคือ...ทั้งสามีและเพื่อนเป็นคนเสียเงินเท่าไรเท่ากัน
> แต่อายหรือไม่สมบูรณ์ไม่ได้ดังนั้น มันจึงไม่ปรึกษาใครเลย
> เพราะมันอายและไม่อยากให้ใครดูถูกมัน

> เรื่องคือ...
> ลูกชายเข้าเรียนตอน 3 ขวบ กว่านิดๆ ได้เข้า เรียนในระดับโรงเรียนดังเลย
> ค่าเทอมเป็นแสน คอมฯพร้อม
> เพื่อนดี สังคมดูดี เพอร์เฟ็กและโรงเรียนเป็นที่หมายตามาก ค่ะ
> ที่นี้โรงเรียนดัง ก็พ่อแม่ต่างก็ผลักและดันกันสุดฤทธิ์(มันบอกอย่างนี้ค่ะ)
> เงินพร้อมซะอย่าง ก็คุยกันต้องติวอย่างนั้น ต้องครูคนนี้ ฝรั่งคนนี้
> ต้องเรียนนี้เสริม เจ๋งค่ะ
> เพื่อนก็เป็นเช่นนั้น
>
> ที่นี้... ลูกเรียนวันจันทร์- ศุกร์ ยัน 6 โมงเย็นและเป็นอย่างงี้
มาตั้งแต่ อนุบาล 1 ถึง 3... เข้านอน ไม่เกิน 3 ทุ่ม
> เพราะต้องตื่นเช้า ไปส่ง ตื่นตอน... ตี 5 ครึ่ง
> เพราะเพื่อนมีบ้านในหมู่บ้านใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่นอกเขตและห่างจากโรงเรียนค่อนข้างมาก
> ออกจากบ้านไม่เกิน 6 โมงเช้าเท่านั้น และไปถึงโรงเรียนประมาณเกือบ 7 โมง
>
> วันเสาร์...เรียนพิเศษเสริม เริ่ม 8โมงเช้าถึง บ่ายโมง และ
ตอนบ่าย 3 เรียนว่ายน้ำ จึงได้กลับบ้าน
>
> ส่วนวันอาทิตย์...ครึ่งวันเช้าเรียนที่สถาบันคุมองต์เสริมครึ่งวันหลังผักผ่อน...
ตอน 1 ทุ่มวันอาทิตย์ ต้องทบทวนงานและเตรียมความพร้อมเพื่อไปเรียนวันจันทร
ไม่เกิน 3 ทุ่มเข้านอน
>
> และเหตุการณ์ที่มันเล่าแบบสะเทือนใจตอนหลังคือ....ลูกไม่มีเพื่อนในหมูบ้านเลยสักคนเดียว...
เพราะไม่ได้คุยกับใครอยู่แล้วสังคมเมืองของแท้ ปั่นแต่จักรยานของเค้าเท่านั้น
> วันนั้น...วันอาทิตย์ลูกก็ปั่นจักยานไม่ยอมเข้าบ้านแม่ก็เรียกให้มาอาบน้ำได้แล้ว
> 6 โมงเย็นแล้ว เตรียมกินข้าว
> และทบทวนการบ้าน.ลูกก็ไม่ฟังเพื่อนและสามีโมโห บอกว่า 'เข้าบ้านเดียวนี้
> เข้าบ้านเลย ทำไมดื้อ อย่างนี้ ยิ่งโตยิ่งดื้อ'
> (เพื่อนว่าลูก) จะไม่ให้ขี่จักรยานอีกต่อไป
> ตัวสามีก็ไปดึงจักรยานออกจากลูกและแม่มาจับลูกเข้าบ้าน
> สามีบอกว่า...ป๋าจะโยนจักรยานทิ้งซะถ้าทำอย่างนี้อีก ลูกชายเข้าไปกอดขาพ่อ...
> และยกมือไหว้ป๋า อย่าทำ หนูไม่มีเพื่อนที่ไหน
> จักรยานคือ เพื่อนของหนู หนูมีจักรยาน เป็นเพื่อนเท่านั้น...ป๋าอย่าทำนะ
> ทั้งเพื่อนและสามีก็ไม่ใส่ใจ อะไร
> เพียงต้องการให้เข้าไปอ่านหนังสือเท่านั้น
>
> และ...อีกเหตุการณ์หนึ่งกว่าจะจับใจความได้ มันร้องไห้ไม่หยุด
> เพื่อนร้องไห้เหมือนจุดพลุเลย...
> ลูกกลับจากบ้านคุยกับพ่อและแม่ อยากดูอุลตร้าแมน มดเอ๊กช์
> บ้างเพื่อนๆคุยกันที่โรงเรียน...เค้าไม่รู้เรื่องเลย
> เพื่อนยังบอกว่าที่บ้านไม่มีทีวีหรือไง(เด็กอนุบาลนะค่ะ)ทำให้เค้าไม่
> มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนๆ...
> เค้าได้ดูแต่การ์ตูนเสริมความรู้เช่น ถ้าดู UBC ก็ประมาณ ดอร่า หมาบลู
> ประมาณนี้...สามีและเพื่อนบอกว่า
> ลูกอย่าทำตัวไร้สาระได้หรือเปล่า ตอนนี้เพื่อนๆลูกอยากทำอะไรก็ปล่อยเค้าไป
การ์ตูนมีแต่ความรุนแรง ไม่เสริมความรู้อะไรเลย
> เราได้เปรียบ...เราใช้เวลาทบทวนและเรียน...ในขณะที่คนอื่นเค้าไร้สาระ...ลูกลองคิดดู...โตขึ้น
> ลูกก็จะเป็นนายของคนพวกนี้ และคนพวกนี้จะไม่เหนือลูกเด็ดขาด
การสอนจะประมาณนี้ตลอด...
แต่เพื่อนบอกว่าเค้าและสามีทำดีที่สุดและให้ในสิ่งที่ดีที่สุดที่คนทั่วไปบางทีก็ให้ไม่ได้ด้วยซ้ำไป...
>
> ที่นี้หนักสุด... ต้องติวเข้า ป. 1 ที่นี้เวลาเล่นแทบน้อยมาก...แต่ก็ได้
> ติดที่ ป. 1 ตามที่หวังไว้
> แต่ก็ต้องเรียนเสริมเหมือนเดิม...ฯลฯ
> จนถึงวันที่ลูกทนไม่ได้...จนลูกโกรธจนตัวสั่น... และพูดว่า "เค้าจะไม่เป็นคนดี...
> เค้าเบื่อที่สุดแล้ว...เค้าอยากเล่นฟุตบอล...เค้าอยากวิ่งเล่น...
> อยากดูการ์ตูน...อยากอ่านขายหัวเราะให้พ่อแม่อนุญาตอ่านให้ฟัง...
> เค้าเกลียดพ่อและแม่...ทำไมต้องบังคับ... ทำไมต้องอาย...ทำไมเค้าจะเป็นคน
> ชั่ว..."(เพื่อนมันบอกว่าลูกพูดจนลิ้นพันกัน ตัวสั่นไปหมด จับลำดับคำพูดยาก
> (ป1)
> อะไรก็พูดๆๆๆๆ ออกมา ร้องไห้หน้าแดง กำหมัด ขว้างข้าวของ เสียงดัง
> ในระหว่างนั้นสามีและเพื่อน ก็ใช้เสียงดังเพื่อหยุดพฤติกรรม
> แต่ไม่เป็นผล ยิ่งดัง ก็ยิ่งดังใส่ จนเด็กเป็นลม คงสะสมมานาน
>
> พอผ่านไปสักระยะ...
> จนทางโรงเรียนมีจดหมายมาถึงเพื่อเชิญผู้ปกครองไปพบพอไปถึงโรงเรียน
> ทางครูบอกว่า...ตอนนี้น้อง มีอาการเหม่อลอย...ไม่มองกระดาน...
> และไม่มีปฎิสัมพันธ์กับเพื่อนเลยแม้แต่คนเดียว...ให้ทำอะไรทำได้หมดแต่ทำไปอย่างให้จบไปไม่มีอารมณ์ร่วมแม้แต่น้อย บางครั้งก็มีน้ำตาเอ่อ...
> แต่ไม่ไหลออกมาเป็นระยะและพูดน้อยลงใช้สายตาและท่าทางคิดมากขึ้น....ฯลฯ
> เพื่อนและสามีไม่ยอมรับและไม่เชื่อ ก็สักพักใหญ่ๆ จึงไปพบหมอที่สมิติเวช
> หมอแจ้งว่า...น้องกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างแรง
> บวกกับเก็บกดภายในสิ่งที่ฝืนความรู้สึกมานาน...จนระเบิดออกมาเหมือนคนเสียสติ
> เค้าไม่ได้บ้า...หรือพิการทางสมอง...แต่เค้าปิดกั้นทุกสิ่งทุกอย่างเอง...
> ไม่รับเอง...ไม่เอาเอง... ซึ่งตรงนี้น่าวิตกคือแล้วเมื่อไรเค้าจะรับ
> และเปิดใจกลับมาเหมือนเดิม
สมาธิและจิตใจได้ถูกตัดด้วยตัวเค้าเอง...เค้าอยากอยู่แต่ในโลกจินตนาการที่เค้าคิดว่านั้นคือความสุขของเค้า...ไม่อยากออกมาเลยด้วยซ้ำ...
คงต้องใช้เวลามากเพราะถ้า เรารู้ว่าเค้าสมาธิสั้น... เรามีทางแก้
ถ้าเค้าเป็นดาวน์...เรารู้วิธี
แต่เค้าเลือกเองที่จะ ปิดตัวเองอย่างเด็ดขาด...
ถ้าปล่อยไว้จะกลายเป็นคนวิกลจริตทางความคิดในอนาคต
ทุกวันนี้ผลคือ...สามีก็ยอมรับในระดับหนึ่ง
แต่ก็เริ่มโทษภรรยา มากกว่าโทษตัวเอง
ตอนนี้มันรับกรรมเต็มๆ ลูกไม่สามารถเรียนได้แล้วคะ...ต้องพบจิตแพทย์เด็กโดยตรง
ถึงตรงนี้มันบอกว่า มันเรียกลูกกลับมาไม่ได้แล้วจริงๆ มันเศร้ามากค่ะ
มันก็กำชับไม่ให้ดิฉันบอกใครเพระมันอาย...

แต่เรื่องนี้มีความรู้มากไม่ใช่เป็นเรื่องที่น่าอาย...เมื่อทุกท่านได้อ่านเรื่องนี้จบแล้ว
อย่าเก็บเรื่องนี้เอาไว้คนเดียว...กรุณาส่งเมลล์
ไปบอกกับใครก็ได้หรือญาติพี่น้องของเราก็ได้เผื่อว่าเหตุการณ์ที่เล่ามานี้จะได้ไม่เกิดกับบุคคลที่
ท่านรัก...เป็นรายต่อไป ..........
Praew

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น